อดีตแกนนำ นปก.ยังไม่เลิกตีฝีปากผ่าน PTV ขุดเรื่องเก่าโจมตี “คุณหญิงจารุวรรณ” อ้างเอาลูกชายมาเป็นเลขาฯ ไม่เหมาะ เพราะอาจเอื้อประโยชน์ขึ้นเงินเดือนให้กันเอง-เรียกร้อง “พลังแม้ว” ส่งผู้สมัครชิงเก้าอี้ผู้ว่าฯ กทม.เล่นลิ้น หวั่น “อภิรักษ์”ไม่มีคู่แข่งจนส้มหล่นได้เป็นผู้ว่าฯ อีกสมัย
วันนี้ (21 ส.ค.) รายการเพื่อนพ้องน้องพี่ พีทีวีภาคพิเศษ ออกอากาศทางโทรทัศน์ดาวเทียมเอ็มวี 5 ดำเนินรายการโดย นายวีระ มุสิกพงศ์ อดีตกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทย นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี นายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.สัดส่วนกลุ่ม 6 พรรคพลังประชาชน และ นายก่อแก้ว พิกุลทอง หนึ่งในผู้บริหารสถานีโทรทัศน์พีทีวี
เนื้อหาในรายการช่วงแรก ผู้ดำเนินรายการยังคงใช้ข้อมูลเก่าที่เคยมีการชี้แจงไปแล้วมาโจมตี คุณหญิงจารุวรรณ เมณฑกา ผู้ว่าสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน(สตง.)ว่า กระทำการอย่างไม่เหมาะสม ในกรณีที่เอาบุตรชายมาดำรงตำแหน่งเป็นเลขานุการของตัวเอง ซึ่งแม้คุณหญิงจารุวรรณจะอ้างว่าบุตรชายของตัวเองมีวุฒิการศึกษาสูงหรือมีความรู้ความสามารถ เหมาะกับการดำรงตำแหน่งมากเพียงใดก็ไม่ใช่ประเด็นที่จะยกขึ้นมาโต้เถียงได้
เพราะประเด็นของความไม่เหมาะสมในกรณีนี้ อยู่ที่การเอาคนที่มีความสัมพันธ์กับตัวเองเป็น มาดำรงตำแหน่งต่างหาก เพราะมันจะส่งผลต่อการพิจารณาขึ้นเงินเดือน หรือเลื่อนตำแหน่ง ฯลฯ เพราะเมื่อเอาคนที่มีความสัมพันธ์กับตัวเองมาดำรงตำแหน่ง การคิดหรือตัดสินใจใดๆ ก็ต้องมีการโน้มเอียง หรือเอื้อประโยชน์ให้กันอยู่แล้ว
อย่างไรก็ตาม กรณีที่ให้บุตรชายมาเป็นเลขานุการส่วนตัวนั้น คุณหญิงจารุวรรณ เคยชี้แจงว่า เหตุใดกลุ่ม นปก.ต้องมาตรวจสอบแต่ตนคนเดียว เพราะคนอื่นๆ ก็ทำกัน ไม่ว่าจะเป็นนายมีชัย ฤชุพันธุ์ อดีตประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ที่ให้บุตรสาวมาเป็นเลขานุการ รวมถึงนายสุชน ชาลีเครือ อดีตประธานวุฒิสภาซึ่งปัจจุบันไปอยู่กับพรรคพลังประชาชน ก็ให้น้องภรรยามาเป็นเลขานุการเช่นเดียวกัน ซึ่งตำแหน่งนี้ต้องเลือกคนที่ไว้ใจได้ การให้โอกาสคนที่ทำงานด้วยความซื่อสัตย์สุจริตผิดด้วยหรือ ซึ่งบุตรชายก็ไม่ได้ตกงานแต่อย่างใด เป็นถึงวิศวกร
ต่อมาผู้ดำเนินรายการ ได้ทำภารกิจหลักของตัวเอง นั่นคือ เมื่อกล่าวโจมตีฝ่ายที่ไม่เห็นด้วย หรือหน่วยงานที่ทำหน้าที่ตรวจสอบรัฐบาลแล้ว ต่อไปก็ต้องกล่าวสรรเสริญเยินยอรัฐบาล ซึ่งในวันนี้ ผู้ดำเนินรายการได้กล่าวถึงภารกิจของนายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี ว่า ในวันนี้ได้เดินทางไปยังจังหวัดเชียงรายอย่างกะทันหัน เพื่อไปตรวจเยี่ยมข้าราชการและผู้ปฏิบัติงานในพื้นที่ ซึ่งพวกตนมองว่าการที่นายสมัคร ทำเช่นนี้ เป็นการแสดงให้เห็นว่า นายสมัคร เป็นนายกรัฐมนตรีที่ทำงานอย่างจริงจัง อยากเห็นสภาพการปฏิบัติงานจริงของเจ้าหน้าที่ในพื้นที่ เรียกได้ว่า การทำงานแบบนี้เองที่เป็นสไตล์เฉพาะตัวของนายสมัคร ที่มีความเอาจริงเอาจัง แข็งขัน แต่บางมุมก็มีภาพความละเอียดอ่อนอยู่ด้วย เช่น กรณีที่เมื่อนายสมัครไปตรวจเยี่ยมทหารบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา นายสมัครก็ลงมือทำอาหารด้วยตัวเอง เพื่อเลี้ยงเหล่าทหาร เป็นต้น
อย่างไรก็ตาม กรณีเหตุการณ์ในภาคใต้ ซึ่งเพิ่งเกิดเหตุระเบิดที่ อ.สุไหงโก-ลก จ.นราธิวาส เมื่อคืนที่ผ่านมา เป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิต 2 คน บาดเจ็บถึง 30 คน นับเป็นเหตุการณ์ที่สะเทือนขวัญคนไทยในพื้นที่เป็นอย่างมาก แต่ผู้ดำเนินรายการไม่ได้อธิบายว่า ทำไมนายสมัครจึงไม่เดินทางไปดูแลประชาชนในพื้นที่เกิดเหตุ ซึ่งน่าจะต้องการการดูแลเอาใจใส่จากรัฐบาลมากกว่าปัญหาน้ำท่วมที่ จ.เชียงรายที่เริ่มลดระดับลงแล้ว
นอกจากนี้ ผู้ดำเนินรายการยังได้กล่าวถึงกรณีการลงสมัครชิงตำแหน่งผู้ว่าราชการกรุงเทพฯ ด้วยว่า น่าแปลกที่ผู้ลงสมัครชิงตำแหน่งในครั้งนี้ ไม่ค่อยมีการเปิดตัวหรือแนะนำตัว ให้ประชาชนรู้จักกันเท่าที่ควร เพราะเท่าที่เห็นก็มีแต่ นายอภิรักษ์ โกษะโยธิน ผู้ว่าฯ กทม.คนเก่าเท่านั้นที่ประกาศตัวอย่างชัดเจน และมีการประชาสัมพันธ์โดยทั่วไปแล้วว่าจะลงสมัครรับเลือกตั้งอีกสมัย
พวกตนจึงอยากเรียกร้องไปยังพรรคพลังประชาชน ด้วยว่า ในเมื่อพรรคประชาธิปัตย์ประกาศตัวอย่างชัดเจนแล้ว ว่า จะส่ง นายอภิรักษ์ เป็นตัวแทนลงสมัครชิงเก้าอี้ผู้ว่าฯ กทม.ดังนั้น พรรคพลังประชาชน ก็ควรที่จะเร่งส่งตัวแทนเข้าร่วมแข่งขันเสียที เพราะหากดำเนินการช้าไป ประเดี๋ยวส้มอาจจะหล่นใส่ นายอภิรักษ์ จนกลายเป็นผู้ว่าฯ กทม.สมัยที่ 2 ก็ได้ ทั้งนี้ นายวีระ ได้กล่าวเสริมว่า หากไม่ติดว่า ตนถูกตัดสิทธิ์ทางการเมือง 5 ปี ป่านนี้ตนคงลงสมัครชิงตำแหน่งผู้ว่าฯ กทม.อีกคนไปแล้ว เพราะเท่าที่เห็นตอนนี้ยังไม่มีใครเลยที่จะหาเสียงอย่างจริงจัง ตนจึงมองว่า หากใครมีความตั้งใจจริง แล้วหาเสียงด้วยนโยบายที่ดีอย่างเต็มรูปแบบ คงไม่ยากนักที่จะเอาชนะศึกเลือกตั้งครั้งนี้ได้