“พิภพ” ยกกระแสพระราชดำรัส เตือนสติรัฐบาลใช้เงินอย่างคุ้มค่า อย่าสักแต่โปรยนโยบายประชานิยมผลาญงบประมาณโดยไม่จำเป็น ทั้งที่ประเทศไทยกำลังอยู่ในภาวะขัดสน เศษงบเกิน 3 หมื่นล้านบาทแทนที่จะเก็บคงคลัง กลับใช้ไล่ที่เด็ก-ชาวบ้าน สนองตัญหานักการเมืองอยากได้รัฐสภาใหม่
คลิกที่นี่ เพื่อฟัง นายพิภพ ธงไชย ปราศรัย
วานนี้ (21 ส.ค.) นายพิภพ ธงไชย แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย กล่าวบนเวทีพันธมิตรฯ สะพานมัฆวานรังสรรค์ว่า เชื่อว่านายเตช บุญนาค รมว.ต่างประเทศ เป็นคนดี เคยเป้นรุ่นน้องเป็นปลัดกระทรวงที่ดี แต่วันนี้ต้องมาเป็นนายของตัวเองที่กระทรวงต่างประเทศต้องมีมิติและความคิดที่จะต้องรักษาชาติ ศาสน์ กษัตริย์ ซี่งเชื่อว่านายเตชมีเต็มเปี่ยม แต่ปัญหาคือ การที่ต้องมาอยู่ภายใต้นายที่ไม่ดีอย่างนายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี ที่เป็นนอมินีของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อันนี้จะเป็นปัญหาของท่าน
นายพิภพ ได้กล่าวย้ำถึงข้อเตือนที่พันธมิตรฯ ได้เคลื่อนขบวนไปที่กระทรวงการต่างประเทศเมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา คือ อย่าทำตัวเหมือนเป็นทนายหน้าหอให้กับพ.ต.ท.ทักษิณเหมือนนายนพดล ปัทมะ และอย่าอ่อนข้อกับกัมพูชา ซึ่งมีเล่ห์เหลี่ยมจะเอาเขาพระวิหารไม่พอจะเอาปราสาทตาเมือนธมอีก
ทั้งนี้ นายพิภพได้กล่าวถึงกระแสพระราชดำรัส พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่ทรงมีกับคณะผู้บริหารธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) และคณะกรรมการบริหารสมาคมธนาคารไทยเมื่อวานนี้ (20 ส.ค.) ว่า ทำให้เราต้องเกิดความสำนึกว่าจะทำอะไรเพื่อสนองพระราชดำรัส เมื่อก่อน 19 ก.ย.49 ระหว่างที่เราชุมนุมไปถึงจุดที่พ.ต.ท.ทักษิณโงนเงนแล้ว ก็ทรงมีพระราชดำรัสว่าประเทศชาติกำลังประสบปัญหามากที่สุดในโลก และพระองค์ทรงชี้แนะให้ตุลาการมาแก้ไขปัญหานี้ แล้วปรากฏว่าตุลาการ ประธานศาลรัฐธรรมนูญ ประธานศาลปกครองสูงสุด ประธานศาลฎีกา ก็รับสนองพระบรมราชโองการประชุมประมุขศาลทั้งหมด แล้วผลตุลาการภิวัตน์ก็คือวันนี้มีคดีที่ตัดสินไปแล้วหนึ่งคดี พันธมิตรฯ ก็สนองพระราชดำรัสอย่างเต็มที่ ช่วยทำให้เกิดงานและตุลาการมั่นใจ รวมทั้ง คตส.มั่นใจที่จะหาข้อมูลส่งอัยการและศาล ก็ได้ผลเห็นทันตาจนสองคนนั้นต้องหนีไปต่างประเทศ
“อำนาจตุลาการเมื่อถูกใช้เพื่อแก้ปัญหาที่หนักที่สุดในโลกของประเทศไทย ก็จะทำให้ระบอบประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขสามารถเดินไปได้ ทำให้อำนาจตุลาการเป็นตัวของตัวเองและตรวจสอบสองอำนาจที่ฮั้วกันได้ คืออำนาจบริหารและนิติบัญญัติ โจทย์ของเราพันธมิตรฯและสังคมไทยคือต้องทำให้สองอำนาจนี้ฮั้วกันไม่ได้” นายพิภพ กล่าว
นายพิภพ กล่าวต่อว่า ผลของการฮั๊วทำให้มีการใช้เงินงบประมาณอย่างมากมาย แล้วพยายามทำให้งบประมาณเหลือเศษ3หมื่นล้านบาท ไปขับไล่ ร.ร.โยธินบูรณะและชุมนุมเกียกกายออกไป ทั้งๆที่ประเทศก็เป็นหนี้เป็นสิน เศรษฐกิจก็ตก
ทั้งนี้ นายพิภพ ได้อัญเชิญพระราชดำรัสพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ตอนหนึ่งความว่า
“..ขอให้ท่านทั้งหลายบริหารเงินไม่ให้หมด เพื่อให้ประเทศชาติมีเงินใช้ ขอขอบคุณที่มีความตั้งใจบริหารเงินของชาติไม่ให้หมดไป ให้มีใช้ ขอบใจที่เหน็ดเหนื่อยเรื่องการเงิน ซึ่งเป็นงานหนัก และสามารถปฏิบัติงานด้านการเงินเป็นที่เรียบร้อยไม่ให้บ้านเมืองล่มจม แม้ตอนนี้ใกล้ล่มจมแล้ว ซึ่งอาจใช้เงินไม่ระวัง เพราะใช้เงินไม่ระวัง..”
จากนั้น นายพิภพ ได้ระบุว่า เหตุที่อัญเชิญกระแสพระราชดำรัสตอนนี้มา ก็เพื่อจะบอกว่า ที่เราจะไป ร.ร.โยธินฯ วันจันทร์นี้ (25 ส.ค.) ก็เพื่อชี้ประเด็นนี้ให้เห็นว่า คุณฮั้วงบประมาณแผ่นดิน พยายามจัดงบฯ ให้เหลือเศษ 3 หมื่นล้านบาท แทนที่จะเก็บเศษเหลือนี้ถนอนไว้ใช้ต่อไป กลับไปพยายามไล่เด็กนักเรียน และชุมนุมเกียกกายออกไปโดยไม่จำเป็นต้องสร้างรัฐสภาใหม่ นี่เป็นการใช้เงินอย่างไม่ระมัดระวัง ซึ่งจะเป็นเหตุให้ชาติล่มจมได้
นายพิภพ ยังได้ยกตัวอย่างเมื่อครั้งรัชกาลที่ 3 ที่มีการใช้เงินอย่างระมัดระวังและมีเงินถุงแดงที่ส่งต่อมาจนถึงรัชกาลที่ 5 และเป็นเหตุให้เราสามารถรักษาแผ่นดินไว้ได้เมื่อครั้งที่ตะวันตกมารุกราน ฉะนั้น วันนี้เราจะต้องออกมาดำเนินตามแนวพระราชดำรัส ซึ่งทรงมีผ่านคณะผู้ดูแลเงินคือคณะผู้ว่าฯ ธปท. ถ้าคณะผู้ว่าฯ ธปท.ดำเนินตามพระราชดำรัส ก็อาจไม่มีพลังพอจะไปขวางการดำเนินงานและโปรเจคใหญ่ๆ ของรัฐบาล พลังฝ่ายพันธมิตรฯจะต้องรวมตัวกันเพื่อสนับสนุนแนวพระราชดำรัสนี้อีกครั้งและเพื่อให้ผู้ว่าฯ ธปท.มีกำลังใจและพลังงานที่จะไม่ให้รัฐบาลใช้เงินอย่างไม่ระวัง แต่ตราบใดที่รัฐบาลนี้ยังอยู่ เราเชื่อไม่ได้ว่าเขาจะใช้เงินอย่างระวัง
“ดูอย่างโครงการประชานิยม แทนที่จะคิดอ่านโครงการใหม่ที่ทำให้คนไทยมีงานทำ มีรายได้อย่างยั่งยืนทดแทน กลับใช้โครงการประชานิยมโปรยไปแล้วก้หายไป แล้วประชาชนก้ได้แค่ชั่วครั้งชั่วคราว แต่สุดท้ายก็อยู่ในสภาพไม่มีงานทำ ที่มีงานก็มีรายได้น้อย อย่างนี้เรียกว่าใช้เงินประชานิยมเพื่อการหาเสียงและไม่ระวัง การใช้เงินในการสร้างรัฐสภาใหม่ 3 หมื่นล้านบาท เป็นตัวอย่างความไม่จำเป็นและไม่เหมาะสม ในยุคที่เศรษฐกิจกำลังมีปัญหา เอาเงินนี้ไปสร้างงานให้ประชาชนยังดีกว่า” นายพิภพ กล่าว
อย่างไรก็ตาม นายพิภพยังได้ยกตัวอย่างนโยบายประชานิยมที่รัฐบาลนี้เตรียมจะดำเนินการ ไม่ว่าจะเป็นแถมยังมีโครงการเช่ารถเมล์ 6 พันคัน ที่ใช้งบประมาณถึง 1.1 แสนล้านบาท นี่ก็มีเหตุให้สงสัยว่าจะใช้เงินอย่างไม่ระมัดระวังและจะเกิดกำไรจากการซื้อรถชุดนี้เข้ากระเป๋านักการเมือง นอกจากนั้นยังมีโครงการดึงน้ำจากเขื่อนน้ำงึม โครงการทางหลวงพิเศษประมาณ 1.7 แสนล้านบาท แต่การเปลี่ยนรถไฟรางคู่แทนที่จะทำให้ประหยัดงบประมาณได้มากกลับไม่ทำ การขยายสนามบินสุวรรณภูมิ ฯลฯ
นายพิภพ กล่าวต่อว่า ฉะนั้นวันนี้หน้าที่ของเราจะต้องทำว่ารัฐบาลนี้ใข้เงินอย่างระมัดระวังอย่างไร ไม่ใช่ไม่ต้องการให้รัฐบาลพัฒนาประเทศ แต่งานพัฒนาประเทศประชาชนจะต้องตรวจสอบได้ และไม่มีข้อสงสัยว่าจะมีเงินใต้โต๊ะและเป็นโครงการที่เหมาะสมกับระบบเศรษฐกิจและใช้เงินอย่างระมัดระวัง เช่นต้องเปิดเผยข้อมูลโครงการที่งบประมาณเกิน 5,000 ล้านบาท อย่างกว้างขวาง ให้ประชาชนตรวจสอบได้ รวมทั้งมีการควบคุมงานประมูลที่โปร่งใส ซึ่งต้องถามว่ารัฐบาลนี้จะทำไหม นอกจากนั้น ยังจะมีโครงการและงบประมาณตามร่างกฎหมายงบฯสำหรับโครงการที่ไม่จำเป็นหรือไม่สุจริตหรือเป็นไปเพื่อหาเสียงทางการเมือง รวมทั้งต้องยกเลิกงบ ส.ส.คนละ 60 ล้านบาททันทีด้วย
นายพิภพ กล่าวอีกว่า พระราชดำรัสทำให้เรามีข้อคิดและมองเห็นประเด็นที่รัฐบาลกำลังดำเนินงานใช้เงินอย่างฟุ่มเฟือยและไม่ระมัดระวังซึ่งอาจจะทำให้ชาติใกล้ล่มจมได้ ฉะนั้นเป็นหน้าที่ของเราชาวไทยที่จะต้องสนองพระราชดำรัส จะต้องจัดการรัฐบาลชุดนี้ไม่ให้ใช้เงินจนชาติจะล่มจม ทางเดียวก็คือ พูดยังไงไม่ฟังก็ต้องไล่ท่าเดียว
ทั้งนี้ นายพิภพ ได้กล่าวถึงกรณี ร.ร.โยธินฯ เพิ่มเติมว่า การกระทำของโรงเรียนที่ปิดกั้นสิทธิเสรีภาพของนักเรียนคือใช้อำนาจนิยม ต้องถามโรงเรียนว่าจะมีนโยบายอย่างไร จะฝึกเด็กให้ชินกับอำนาจนิยมหรือให้ชินกับระบอบประชาธิปไตยที่มีการตรวจสอบและมีกระบวนการการมีส่วนร่วม ไมว่าเป็นเด็กหรือผู้ใหญ่ มิฉะนั้น ถ้าโรงเรียนทั่วประเทศใช้วิธีการจัดความสัมพันธ์ระหว่างครูกับเด็กแบบอำนาจนิยม เราจะไปหวังให้เด็กที่เติบโตมาแบบนี้ออกมาเป็นนักประชาธิปไตยที่กระตือรือร้นได้อย่างไร ในเมื่อกระบวนการเรียนการสอนมันนำไปสู่การเชื่อฟังผู้ใหญ่ การเชื่ออำนาจของผู้อำนวยการ การเชื่ออำนาจของนายกฯ การเชื่ออำนาจสั่งการของประธานสภาฯ เด็กซึ่งพยายามจะแหวกจากการใช้อำนาจนิยมของผู้ใหญ่ก็จะตั้งคำถามกับตัวเองว่าระบอบประชาธิปไตยดีจริงหรือ หรืออำนาจนิยมดีกว่า นี่คือการสร้างคุณค่าผิดๆ ให้กับเด็กแทนที่จะส่งเสริมกระบวนการรับฟังความคิดเห็น เกิดการไดอะล็อก ถกเถียงกัน
นอกจากนั้น นายพิภพยังได้กล่าวย้ำด้วยว่า การตีเด็กนักเรียนนั้น นอกจากจะเป็นการใช้อำนาจนิยมแล้วยังใช้ความรุนแรงด้วย ซึ่งในทางจิตวิทยาสมัยใหม่วิเคราะห์แล้วว่าจะมีผลเสียมากกว่าดี เพราะการตีของครูเกิดจากอารมณ์มากกว่าเหตุผล และถ้าเด็กที่ถูกตีรู้สึกไม่ผิดจะกลายเป็นปมที่เกลียดผู้ใหญ่ต่อไป ครูควรจะใช้วิธีพูดคุยกันด้วยเหตุผล ว่าการขาดเรียนไปประท้วงที่รัฐสภาถูกผิดอย่างไร ที่สำคัญกระทรวงศึกษาได้ออกระเบียบมานานแล้วว่าห้ามตีเด็กเด็ดขาด แล้วเรื่องนี้ รมว.ศึกษาธิการจะว่ายังไง
นายพิภพ กล่าวต่อว่า เด็กที่ร้องเรียนมาที่พันธมิตรฯเมื่อวานนั้น เขาต้องการข้อมูลเหตุผล แต่ไม่ใช่ไปปิดบังข้อมูลแล้วบอกเด็กว่าไม่ต้องสนใจอะไรทั้งสิ้น จริงอยู่เด็กอยู่ 6 ปีแล้วก็ไป แต่ชุมนุมเกียกกายล่ะเขาอยู่กันมานานแล้ว โรงเรียนก็ต้องไปอยู่ที่บริเวณที่สิ่งแวดล้อมเปลี่ยนไปหมด ไม่ปลอดภัย มียาเสพติด มีที่เผาศพ รัฐบาลและรัฐสภายังละเลยไม่ให้ทำศึกษาผลกระทบสิ่งแวดล้อม อยู่ดีๆ ก็ให้เซ็นเอ็มโอยู ให้ ผอ.ต้องยอมรับว่าย้ายโรงเรียนโดยไม่ถามความเห็น