“สนธิ” กล่าวเทิดพระคุณแม่เนื่องในวันมันแม่แห่งชาติ เผยสุดเสียใจที่วันนี้ไม่มีแม่อยู่แล้วและเคยทำผิดต่อแม่ ได้แต่ภาวนาขอให้ได้เกิดเป็นแม่ลูกกันอีก เชื่อสิ่งที่เป็นสิริมงคลที่สุดในชีวิต คือ การเอาน้ำล้างเท้าแม่มารดหัวตัวเอง เตือนคนรุ่นหลังรักแม่และดีกับแม่ให้มากที่สุด ก่อนที่จะไม่มีแม่ให้รัก
คลิกที่นี่ เพื่อฟัง นายสนธิ ลิ้มทองกุล กล่าวถึงพระคุณแม่
วันที่ 12 สิงหาคม 2551 เนื่องในวันเฉลิมพระชนมพรรษา สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ และวันแม่แห่งชาติ พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยได้ปรับเปลี่ยนกิจกรรมการชุมนุมจากการรณรงค์ทางการเมืองมาเป็นการเทิดพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ และการรำลึกถึงพระคุณของแม่ ซึ่งกิจกรรมในช่วงกลางคืน 5 แกนนำฯ ได้ขึ้นเวทีปราศรัยเพื่อพูดถึงเรื่องราวเกี่ยวกับแม่ของแต่ละคน เริ่มจากนายสนธิ ลิ้มทองกุล ที่ขึ้นเวทีเมื่อเวลาประมาณ 22.50 น.
นายสนธิ กล่าวว่า วันนี้ซึ่งเป็นวันเฉลิมพระชนมพรรษา สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ หรืออีกนัยหนึ่งก็คือวันแม่แห่งชาติ ดังนั้น ตนจึงอยากจะขอพูดถึงเรื่องแม่ของตัวเองสักเล็กน้อยว่า หากแม่ยังมีชีวิตอยู่ในตอนนี้ก็อายุ 86 ปีแล้ว แต่น่าเสียดายที่แม่ของตนจากไปด้วยโรคมะเร็งถุงน้ำดีเมื่อ 20 กว่าปีที่แล้ว ซึ่งวันนั้นเป็นวันที่จำได้ดีว่าอยู่ที่ จ.ภูเก็ต ได้รับโทรศัพท์ให้รีบกลับมาเพื่อดูใจแม่ที่กรุงเทพฯ แต่ถึงจะรีบเพียงใดที่สุดตนก็มาไม่ทัน แต่น้องๆ ของตนได้เล่าให้ฟังว่า พอมีคนกระซิบที่ข้างหูแม่ว่าตนมาถึงแล้วกำลังจะขึ้นบันไดมาหา แม่จึงหลับตาแล้วจากไปอย่างสงบเพราะลูกมาหาแล้ว ซึ่งจนถึงวันนี้ตนก็มีรูปของแม่อยู่ที่ทำงาน ทุกเช้าจะนำดอกมะลิไปบูชาและไหว้ที่รูปของแม่ทุกครั้งแล้วก็ได้แต่อธิษฐานว่าอยากเกิดเป็นลูกของแม่อีก
นายสนธิ กล่าวว่า การที่คนเราจะเกิดมาเป็นแม่ลูกกันได้ คงต้องมีความผูกพันกันในชาติก่อน จึงทำให้ได้เกิดมาเจอกันอีก เช่นเดียวกับพี่น้องพันธมิตรฯ ที่มาร่วมกันต่อสู้ในครั้งนี้ ถึงแม้ตนจะไม่รู้จักชื่อทุกคน แต่ตนก็เชื่อว่าในอดีตเราคงเคยรู้จักกัน “ใครจะไปรู้ ชาติก่อนพวกเราอาจจะเคยร่วมรบมาด้วยกันก็ได้ ถึงทำให้ชาตินี้เราได้มาต่อสู้ร่วมกันอีก”
นายสนธิ กล่าวต่อไปว่า ตนอยากจะฝากไปถึงทุกคนที่ยังมีแม่อยู่ว่าให้รักแม่ให้มากๆ เพราะวันที่คุณไม่มีแม่ให้รักให้กอด คุณจะเสียใจและก็คิดถึงแม่ ทั้งยังอยากให้ทุกคนทำดีกับแม่ให้มากๆ อย่าทำแบบตน ซึ่งสมัยหนุ่มๆ เคยเป็นลูกที่เลว เพราะไม่เห็นความสำคัญของแม่ จำได้ว่าทุกครั้งที่ตนกลับบ้านดึก แม่ทำกับข้าวไว้รอตอนดึกๆ แล้วก็นั่งสับปะหงก รอรับตน แต่เมื่อกลับถึงบ้านตนก็ไปต่อว่าแม่ว่าจะอยู่รอทำไม ซ้ำยังไม่ยอมกินข้าวที่แม่ทำไว้รอ เมื่อโตขึ้นตนจึงคิดว่า ตอนนั้นแม่คงน้ำตานองอยู่ในอก วันนี้ตนจึงอยากชดใช้ความผิดที่เคยพูดให้แม่เสียใจไว้ด้วยการตบปากตัวเอง ซึ่งก็ไม่รู้ว่าจะทดแทนได้หรือไม่
แต่อย่างไรก็ตาม ตนเชื่อว่าไม่ว่าลูกจะทำผิดแค่ไหน แม่ก็จะไม่เคยโกรธ ซึ่งนี่คือธรรมชาติของความเป็นแม่ เช่นเดียวกับแม่ของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ก็ตาม ตนเชื่อว่าหากแม่ของ พ.ต.ท.ทักษิณ ยังอยู่ไม่ว่า พ.ต.ท.ทักษิณ จะเลวยังไง คนอื่นจะมองเขาไม่ดีแค่ไหน แต่สำหรับแม่แล้วเขาก็ยังเป็นคนที่ดีที่สุดอยู่เสมอ เพราะความรักของแม่ ไม่มีคำว่าถูกหรือผิด
ทั้งนี้ ตนจึงอยากจะฝากไปยังน้องๆ หลานๆ ที่ยังเรียนกันอยู่ว่าให้รักแม่ และสำนึกถึงบุญคุณของแม่มากๆ อย่าให้เป็นแบบคนบางพวกที่พอพ่อแม่ ทำไร่ ทำนา อยู่ต่างจังหวัดเพื่อส่งเสียให้เรียนจบปริญญา แล้วพอวันรับปริญญา พ่อแม่ก็สู้อุตส่าห์ขนกันมาจากต่างจังหวัด แล้วแต่งตัวด้วยเสื้อผ้าที่สวยที่สุด ผ้าถุงใหม่ที่สุด แต่ลูกกลับอายที่แม่แต่งตัวไม่เลิศดหรูเหมือนแม่คนอื่นๆ แล้วก็ปล่อยให้แม่ไปยืนอยู่มุมๆ ไม่สนใจ ไม่มาถ่ายรูปกับแม่ เอาแต่ไปถ่ายรูปกับเพื่อนๆ อย่างนี้เป็นสิ่งที่ใช้ไม่ได้
“ถ้าคุณกล้าจริง คุณต้องกล้ากราบเท้าแม่ตอนที่คุณอยู่ในชุดครุยรับปริญญา เอาหน้าผากคุณกราบลงไปที่เท้าที่เปื้อนหรือสกปรกจากเศษดินที่ท่านเหนื่อยที่เลี้ยงดูคุณมา” นายสนธิกล่าว
นอกจากนี้ นายสนธิยังฝากไปถึงเรื่องของวันเกิดที่เด็กสมัยนี้มักจะกระเหี้ยนกระหือรือที่จะจัดงานเลี้ยงเพื่อสังสรรค์กับเพื่อนฝูง จากนี้ไปตนในฐานะที่เป็นอา หรือลุง ของเด็กๆ อยากแนะนำว่าวันเกิดปีต่อไป ขอให้ตื่นมาแต่เช้าแล้วชวนแม่ทำกับข้าวเพื่อไปใส่บาตรด้วยกัน จากนั้นเมื่อกลับมาถึงบ้านก็ประนมมือ บอกกับแม่ วันเกิดของหนูคือวันที่แม่คลอดหนูมา ถ้าไม่มีแม่ก็คงไม่มีหนู แล้วก็คุกเข่ากราบเท้าแม่ แล้วเอาน้ำมาล้างเท้าให้แม่ให้สะอาด เช็ดให้แห้ง แล้วนำน้ำล้างเท้าของแม่นั้นมารดหัวตัวเอง นั่นแหละคือศิริมงคลที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ซึ่งตนอยากให้ทุกคนเชื่อว่า ไม่มีอะไรยิ่งใหญ่ไปกว่า การกตัญญูรู้คุณของแม่ และการรักแม่นั้นต้องรักทุกวัน ไม่ใช่รักแค่วันแม่เพียงวันเดียว เพราะเมื่อตอนที่แม่เลี้ยงลูกมา แม่เลี้ยงมาทุกวันไม่เคยหยุด