xs
xsm
sm
md
lg

รายงานพิเศษ : “กม.ติดหนวด” ...ผลงาน “เผด็จการตัวจริง”(พปช.)!!

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

สมัคร สุนทรเวช นายกฯ และ หน.พรรค พปช.อ้างว่า พันธมิตรฯ ต่อต้านการแก้ รธน.เพราะกลัวจะมีการแก้มาตรา 63 เรื่องการชุมนุม
อมรรัตน์ ล้อถิรธร...รายงาน

กรณี “สมัคร”นั่งเทียนเขียน รธน.มาตรา 63 ใหม่ และกรณี ส.ส.พปช.เสนอออกกฎหมายใหม่-ห้ามชุมนุมโดยไม่ได้รับอนุญาตและให้ จนท.สลายการชุมนุมได้โดยไม่ต้องรับผิดทั้งทางแพ่ง-อาญา ไม่สำคัญว่ามีการนัดหมายกันมาก่อนหรือไม่ หรือเกิดจาก “ใครรับลูกใคร”...สำคัญที่ว่า แนวคิดที่สอดรับกันเพื่อออก กม.เผด็จการ-กม.ติดหนวดดังกล่าว สะท้อน “ตัวตน”ของทั้ง หน.พรรคและลูกพรรคได้อย่างดีว่า เผด็จการพอกันเพียงใด และจะว่าไป การที่ ส.ส.พปช.อ้างว่า กม.ใหม่ดังกล่าว หยิบมาจากสมัย สนช. ก็น่าจะยิ่งตอกย้ำซ้ำอีกว่า ในเมื่อ พปช.ชี้หน้าว่ายุค คมช.-สนช.เป็นเผด็จการ แต่ถ้าเผด็จการอย่าง สนช.ยังตีตก กม.ดังกล่าว แต่ รบ.นี้กลับจะงัด กม.นั้นขึ้นมาใช้ให้ได้ อย่างนี้ถ้าไม่เรียกว่า “เผด็จการตัวจริง”แล้วจะให้เรียกว่าอะไร?

 คลิกที่นี่ เพื่อฟัง รายงานพิเศษ 

หลังนายสมัคร สุนทรเวช นายกฯ และรัฐมนตรีกลาโหม เกิดอาการเลือดขึ้นหน้าที่ตนและ ครม.ทั้งคณะถูก ส.ว.ยื่นถอดถอนต่อ ป.ป.ช.เมื่อเร็วๆ นี้ เนื่องจากกระทำการขัด รธน.กรณีรับรองแถลงการณ์ร่วมไทย-กัมพูชาฯ โดยไม่เสนอให้รัฐสภาเห็นชอบก่อน นายสมัครจึงไม่เพียงฟาดงวงฟาดงาใส่สถาบันศาล ไม่ว่าจะเป็นศาลปกครองที่สั่งระงับแถลงการณ์ร่วมไทย-กัมพูชาฯ หรือศาลรัฐธรรมนูญที่วินิจฉัยว่า แถลงการณ์ร่วมฯ ดังกล่าวขัด รธน.มาตรา 190 แต่เขายังลุกขึ้นมาสั่งลูกพรรคพลังประชาชนให้ออกมาเอาคืนด้วยการ “ฆ่า”ฝ่ายตรงข้ามด้วย!

เป็นที่น่าสังเกตว่า การเอาคืนของนายสมัครและพรรคพลังประชาชนต่อฝ่ายตรงข้าม ไม่ได้จำกัดอยู่แค่ ส.ว.บางกลุ่มหรือ ส.ส.ฝ่ายค้านอย่างพรรคประชาธิปัตย์เท่านั้น แต่ยังลามเลยไปถึงการเข้าชื่อเพื่อถอดถอนตุลาการศาลปกครองที่สั่งระงับแถลงการณ์ร่วมไทย-กัมพูชา รวมทั้งพยายามหาเหตุเพื่อกดดันให้ ป.ป.ช.ลาออก จะได้ไม่ต้องมาพิจารณาถอดถอนพวกตนออกจากตำแหน่ง ไม่เท่านั้น นายสมัครยังประกาศว่า ปัญหาและความวุ่นวายต่างๆ ที่เกิดขึ้น เกิดจาก รธน.ดังนั้นจะเดินหน้าแก้ รธน.ทันทีที่เปิดสภา(1 ส.ค.)

แต่เมื่อผู้ชุมนุมกลุ่มพันธมิตรฯ เรือนแสนออกมาคัดค้าน วิปรัฐบาลจึงได้ซื้อเวลาด้วยการเลื่อนการยื่นญัตติแก้ไข รธน.ออกไปเป็นวันที่ 18 ส.ค. ขณะที่นายสมัคร “จอมปูดข่าว-จอมกุข่าว”(เช่น กุข่าวว่าจะมีคนรอจับตนที่สนามบินหลังกลับจากต่างประเทศ ,กุข่าวว่าพันธมิตรฯ มีแผนยึดศาลากลางจังหวัดเพื่อให้ทหารออกมาปฏิวัติ) ก็ออกมากุข่าวใหม่ว่า เหตุที่พันธมิตรฯ ต่อต้านการแก้ รธน.เพราะกลัวจะมีการแก้มาตรา 63 ซึ่งจะทำให้พันธมิตรฯ ชุมนุมไม่ได้

ไม่เพียงประเด็นมาตรา 63 จะถูกนายสมัครขุดขึ้นมาใช้อย่างปัจจุบันทันด่วนเพื่อดิสเครดิตพันธมิตรฯ แต่ยังน่าสังเกตด้วยว่า เนื้อหาใหม่ของมาตราดังกล่าว นายสมัครน่าจะเขียนขึ้นเอง เพราะมีลักษณะแปลกประหลาดไม่เคยปรากฏใน รธน.ฉบับใดของประเทศไทยมาก่อน และยังสะท้อนชัดเจนถึงเจตนาของนายสมัครที่ต้องการใส่ร้ายการชุมนุมของพันธมิตรฯ เพราะมาตรา 63 เวอร์ชั่นของนายสมัครระบุว่า “บุคคลย่อมมีสิทธิเสรีภาพในการชุมนุมโดยสงบและปราศจากอาวุธ โดยไม่มีการสร้างข้อมูลเท็จเอามากล่าวหา ไม่ปลุกระดมประชาชนให้หลงผิด ไม่ใช้สื่อโฆษณาชวนเชื่อ ไม่บังคับและไม่จ้างวานกลุ่มบุคคลใดๆ ให้มาร่วมชุมนุม”

ขณะที่มาตรา 63 ใน รธน.2550 ซึ่งเหมือนกับ รธน.2540(มาตรา 44)ระบุไว้ดีอยู่แล้วว่า “บุคคลย่อมมีเสรีภาพในการชุมนุมโดยสงบและปราศจากอาวุธ การจำกัดเสรีภาพจะกระทำมิได้ เว้นแต่โดยอาศัยอำนาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย เฉพาะในกรณีการชุมนุมสาธารณะ และเพื่อคุ้มครองความสะดวกของประชาชนที่จะใช้ที่สาธารณะ หรือเพื่อรักษาความสงบเรียบร้อยในระหว่างเวลาที่ประเทศอยู่ในภาวะสงคราม หรือในระหว่างเวลาที่มีประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินหรือประกาศใช้กฎอัยการศึก

นอกจากนายสมัครจะพยายามสกัดกั้นการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรฯ ด้วยการเนรมิตมาตรา 63 ขึ้นใหม่แล้ว ส.ส.พรรคพลังประชาชนจำนวนหนึ่งนำโดยนายจุมพฎ บุญใหญ่ ส.ส.สกลนคร ยังได้เสนอกฎหมายใหม่เพื่อให้สภาพิจารณา ชื่อว่า “พ.ร.บ.จัดระเบียบการชุมนุมในที่สาธารณะ”ซึ่งเนื้อหาของร่างกฎหมายดังกล่าว ที่มีอยู่ 20 มาตรา นอกจากจะสอดรับกับมาตรา 63 ของนายสมัครแล้ว ยังบ่งบอกถึงความเป็น “กฎหมายเผด็จการ”ที่ขัดต่อ รธน.และละเมิดสิทธิเสรีภาพในการจัดชุมนุมของประชาชนอย่างร้ายแรง!

เพราะกำหนดว่า ใครจะจัดชุมนุม ต้องขออนุญาตจากคณะกรรมการ(ถ้าใน กทม.คณะกรรมการฯ มีผู้บัญชาการตำรวจนครบาลเป็นประธาน ส่วนใน ตจว.มีผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นประธาน) พร้อมกำหนดให้คำตัดสินของคณะกรรมการฯ ถือเป็นที่สุด(ซึ่งเท่ากับดึงอำนาจศาลมาอยู่ที่คณะกรรมการ โดยที่ผู้ชุมนุมไม่สามารถอุทธรณ์ใดใดได้) ส่วนลักษณะการชุมนุม ห้ามชุมนุมบนถนน ,ห้ามตั้งเวทีปราศรัยกีดขวางการจราจร ,ห้ามใช้เครื่องขยายเสียง ,ห้ามถ่ายทอดการชุมนุม ,ห้ามเคลื่อนย้ายสถานที่ชุมนุม ฯลฯ หากใครจัดชุมนุมโดยไม่ได้รับอนุญาตจากคณะกรรมการฯ แม้การชุมนุมจะเป็นไปโดยสงบเรียบร้อย ก็ต้องได้รับโทษจำคุกไม่เกิน 6 เดือน ปรับไม่เกิน 60,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ หรือหากใครจัดชุมนุมโดยไม่ได้รับอนุญาต และเกิดความไม่สงบเรียบร้อย หรือมีเหตุอันอาจก่อให้เกิดความไม่สงบเรียบร้อย ก็ต้องได้รับโทษอีกเช่นกัน จำคุกไม่เกิน 3 ปี ปรับไม่เกิน 100,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ฯลฯ นอกจากนี้ ร่างกฎหมายดังกล่าว ยังติดดาบให้เจ้าหน้าที่หรือผู้ใช้อำนาจสามารถสลายการชุมนุมได้ โดยไม่ต้องรับผิดทั้งทางแพ่งและอาญา หากเป็นการกระทำโดยสุจริต...

ทั้งนี้ นอกจากนายสมัครและพรรคพลังประชาชนจะพยายามออกกฎหมายเพื่อห้ามชุมนุมแล้ว นายสมัครยังได้ผุดไอเดียจัดงานใหญ่ 5 งาน เช่น “งานวันแม่ถึงวันพ่อ”12 ส.ค.-5 ธ.ค.เป็นเวลา 116 วัน โดยอ้างว่า เพื่อให้เกิดความสามัคคีปรองดองในชาติที่กำลังแตกแยกกันอยู่ในขณะนี้ และเลือกที่จะใช้ลานพระบรมรูปทรงม้าเป็นสถานที่จัดงานด้วย ซึ่งหลายฝ่ายไม่เชื่อใจในเจตนาของนายสมัครเท่าใดนัก ว่าจริงใจที่จะให้เกิดความปรองดองแค่ไหน หรือเพียงต้องการกดดันให้กลุ่มพันธมิตรพ้นจากถนนราชดำเนิน-สะพานมัฆวานฯ ที่อยู่ใกล้ลานพระบรมรูปทรงม้าเท่านั้น!?!

ลองไปดูปฏิกิริยาจากฝ่ายต่างๆ ในสังคมว่าจะรู้สึกอย่างไรต่อแนวคิดของนายสมัครและพรรคพลังประชาชน ทั้งในแง่การออกกฎหมายใหม่ที่อ้างว่าแค่จัดระเบียบการชุมนุม รวมทั้งการจัดงานใหญ่เพื่อสร้างความปรองดองของคนในชาติ

นายนิติธร ล้ำเหลือ กรรมการสิทธิมนุษยชน สภาทนายความ ชี้ว่า นอกจากรัฐบาลจะไม่มีสิทธิออกกฎหมายที่จะจำกัดสิทธิในการชุมนุมแล้ว เนื้อหาของร่างกฎหมายดังกล่าวยังให้สิทธิขาดแก่รัฐและรัฐบาลในการอนุญาตหรือไม่อนุญาตให้จัดชุมนุม แถมยังให้อำนาจเจ้าหน้าที่สลายการชุมนุมได้โดยไม่ต้องรับผิด ซึ่งเท่ากับให้รัฐมี “กองกำลัง”ของตัวเองที่จะจัดการสลายการชุมนุมได้โดยไม่ต้องรับผิดชอบใดใด

“การชุมนุมเนี่ย มันไม่สามารถที่จะไปออกกฎหมายมาเป็นการเฉพาะเพื่อจำกัดสิทธิในการชุมนุมได้ เพราะลำพังมาตรา 63 นั้นเนี่ย มันเป็นตัวกำหนดที่อนุญาตให้ประชาชนมารวมกลุ่มใช้สิทธิในการชุมนุมได้ ในเนื้อหามีเท่านั้นเอง ส่วนการใช้สิทธิอื่นๆ การสื่อสารอะไรพวกนี้มันก็เป็นสิทธิตาม รธน.ทั้งนั้น และเหล่านี้เป็นสิทธิขั้นพื้นฐาน และในบางเรื่องนั้น รธน.ก็ไม่อนุญาตให้ออกกฎหมายเป็นการเฉพาะ เช่น สิทธิในการพิทักษ์ ปกป้อง รักษา รธน.ปกป้องสถาบันกษัตริย์ ปกป้องชาติ แต่ถ้ามาดูตามร่างกฎหมาย(ของพรรค พปช.)เนี่ย แม้จะบอกว่าจัดระเบียบการชุมนุม แต่มันก็ไปกระทบต่อสิทธิอื่นๆ ที่รับรองและคุ้มครองไว้ตามบทบัญญัติ รธน. ในขณะเดียวกันในกรณีที่มีข้อกำหนด เช่น คณะกรรมการที่จะพิจารณาเรื่องการอนุญาตหรือไม่อนุญาตให้ชุมนุมเนี่ย ก็จะเป็นตัวแทนรัฐทั้งนั้น ไม่มีส่วนที่เป็นของหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้องและมีความเข้าใจมากกว่า เช่น กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ หรือกรมคุ้มครองสิทธิฯ หรือสภาทนายความที่เขามีด้านสิทธิมนุษยชน หรือองค์กรพัฒนาเอกชน ในพื้นที่ต่างๆ อันนี้ก็เท่ากับว่าระดับคณะกรรมการก็ไปอยู่ภายใต้การกำกับของรัฐบาลอยู่ดี และที่ผ่านมาก็ชัดเจนว่า เจ้าหน้าที่รัฐหรือข้าราชการและฝ่ายบริหารเองเนี่ย ก็มักจะไม่เห็นด้วยกับการใช้สิทธิของประชาชนในการชุมนุมเรียกร้องให้มีการตรวจสอบ”

“ส่วนลักษณะของการชุมนุมนั้น ลักษณะทางกายภาพเป็นเรื่องตามปกติที่ต้องใช้เครื่องขยายเสียง ที่อาจจะต้องไปใช้สิทธิบนพื้นถนนอะไรต่างๆ เพราะเขามุ่งตรงที่จะกดดันเรียกร้องให้ รัฐบาลดำเนินการแก้ไขปัญหา ฉะนั้นถ้ามันไม่มีมาตรการในการกดดันเลยเนี่ย การชุมนุมมันก็จะไม่มีทางเป็นผลได้เลย รัฐก็จะไม่ให้ความสำคัญ ไม่ให้ความสนใจกับเรื่องเหล่านี้เลย อันนี้ก็เป็นลักษณะเฉพาะของการชุมนุม ...ถึงที่สุดถ้าดูตาม(ร่างกฎหมายของพรรค พปช.)นี้ ก็เท่ากับรัฐบาลต่างหากจะเป็นผู้อนุญาตสุดท้าย ข้าราชการเองก็ต้องไปถามความเห็นรัฐบาลหรือดูอารมณ์รัฐบาลในขณะนั้นว่า เห็นด้วยกับการชุมนุมนี้มั้ย ถ้าไม่เห็นด้วย ก็ต้องดำเนินการไม่อนุญาตให้ชุมนุม เพราะมันก็จะมีผลต่อการเจริญเติบโตในหน้าที่การงาน(ของข้าราชการ) ในขณะเดียวกัน การอนุญาตให้มีการสลายการชุมนุมโดยไม่ต้องรับผิดทางแพ่ง-ทางอาญา กม.ฉบับนี้ก็ไม่ต่างกับกฎอัยการศึก ประกาศในภาวะฉุกเฉินหรือ พ.ร.บ.ความมั่นคง ถ้ากฎหมายฉบับนี้ผ่าน ก็เท่ากับว่า รัฐก็จะมีกองกำลังอีกกองกำลังหนึ่งต่างหากเลยเฉพาะ ที่ไม่ใช่ทหาร ไม่ใช่ตำรวจ เข้าไปสลายการชุมนุมได้โดยไม่ต้องรับผิดชอบใดใดทั้งสิ้น”

นายนิติธร ยังตั้งข้อสังเกตด้วยว่า การชุมนุมที่ผ่านมา แม้ไม่มีกฎหมายเฉพาะ ก็ไม่เคยเกิดเหตุรุนแรง ส่วนเหตุรุนแรงที่เคยเกิดขึ้นกรณี 14 ตุลาฯ ,6 ตุลาฯ หรือพฤษภา ’35 นั้น เหตุเกิดจากรัฐไม่ชอบการชุมนุมทั้งนั้น ดังนั้น แทนที่นายสมัครและพรรคพลังประชาชนจะออกกฎหมายมาห้ามการชุมนุม ควรออกกฎหมายกำหนดวิธีการว่าเจ้าหน้าที่รัฐควรปฏิบัติต่อผู้ชุมนุมอย่างไรมากกว่า และว่า การแก้ไขปัญหาการชุมนุมนั้น ไม่ใช่เรื่องยาก แค่รัฐบาลรับฟังและนำสิ่งที่ผู้ชุมนุมนำเสนอไปแก้ไข ก็จบ

ด้าน อ.วิทยากร เชียงกูล คณบดีวิทยาลัยนวัตกรรมสังคม มหาวิทยาลัยรังสิต ก็ไม่เห็นด้วยเช่นกันที่พรรคพลังประชาชนเสนอให้ออกกฎหมายควบคุมการชุมนุม เพราะการชุมนุมเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานที่ทั่วโลกยอมรับ พร้อมเชื่อว่า ประชาชนคงไม่ยอมให้รัฐบาลออกกฎหมายดังกล่าวแน่ และว่า นายกฯ ไม่ควรแก้ปัญหาการชุมนุมของพันธมิตรฯ ด้วยการแก้ รธน.เพราะการชุมนุมของพันธมิตรฯ เป็นปัญหาของนายกฯ เอง ปัญหาไม่ได้อยู่ที่ รธน.

“ผมว่าคนคงออกมาคัดค้าน(กฎหมายใหม่ของพรรค พปช.) เพราะนี่มันเป็นสิทธิขั้นพื้นฐาน รธน.ฉบับนี้เข้าใจว่าคล้ายกับ รธน.2540 นะ เรื่องสิทธิในการชุมนุมเนี่ย ประเทศไหนๆ เขาก็ให้กัน และความจริงมันก็มีจำกัดเหมือนกันนะ ว่าการชุมนุมจะต้องไม่รบกวนเสรีภาพของคนอื่นอะไรต่างๆ อย่างที่เคยมีคนพวกครูไปฟ้องร้องอะไรต่างๆ เขาก็ยังฟ้องร้องได้ เพราะฉะนั้นก็ไม่มีเหตุผลที่จะต้องมาเปลี่ยน(กฎหมายที่มีอยู่เดิม) คือปัญหาที่เขา(นายสมัคร)แก้ไขการชุมนุมของพันธมิตรฯ ไม่ได้ มันเป็นปัญหาของเขาเอง ไม่ใช่ปัญหาเรื่อง รธน. (ถาม-มองเนื้อหา พ.ร.บ.จัดระเบียบชุมนุมในที่สาธารณะยังไง ที่ต้องขออนุญาตก่อน?) มันก็คงพยายามสกัดกั้น(การชุมนุม)มากขึ้น พยายามหากลวิธีที่จะทำให้มันยากขึ้น (ถาม-มองว่ากรณีที่คุณสมัครจะจัดงานใหญ่ 5 งานเพื่อความปรองดองในประเทศฟังได้มั้ย?) ผมว่าเขาก็คงทำได้ เพราะเขามีอำนาจ แต่ความชอบธรรมเนี่ย คนก็สงสัย อยู่ๆ คุณจัดกระทันหัน และพยายามที่จะไปจัดที่ลานพระบรมรูปทรงม้าด้วย สถานที่จัดเยอะแยะ ทำไมคุณต้องไปจัดตรงนั้นอะไรอย่างนี้ มันก็แปลก และจัดตั้งเป็น 100 กว่าวัน มันก็ประหลาดๆ”

อ.วิทยากร ยังมองความพยายามของรัฐบาลที่จะแก้ รธน.ด้วยว่า จนถึงขณะนี้ยังพยายามแก้ รธน.เพื่อปกป้อง พ.ต.ท.ทักษิณ ซึ่งแม้จะพยายามหามาตราอื่นมาผสมโรงด้วยในการแก้ รธน.เช่น แก้วิธีเลือกตั้ง ส.ส.และที่มาของ ส.ว. แต่จริงๆ แล้ว ต้องการแก้แค่ 2 เรื่องมากกว่า คือเรื่องยุบพรรค(มาตรา 237)และการตัดสินคดีของ พ.ต.ท.ทักษิณ(มาตรา 309)

ขณะที่นายวรินทร์ เทียมจรัส ส.ว.สรรหา ก็ชี้ว่า เจตนาของพรรคพลังประชาชนที่เสนอให้ออกกฎหมายใหม่ในการจัดระเบียบการชุมนุมฯ นั้น ก็เพื่อขัดขวางการชุมนุมโดยสงบและปราศจากอาวุธ ซึ่งถือว่าเป็นกฎหมายที่ขัดต่อ รธน.เพราะละเมิดหลักการของ รธน.ที่คุ้มครองสิทธิและเสรีภาพของประชาชนชาวไทยไว้ในมาตรา 4 ,26 ,27 ,28 ,29 ดังนั้นหากกฎหมายดังกล่าวสามารถผ่านสภาได้เพราะรัฐบาลมีเสียงข้างมาก แต่เมื่อมาถึงชั้นวุฒิสภา ตนก็จะยื่นให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความกฎหมายดังกล่าวแน่นอน

“หลักการสำคัญมันมีอยู่ว่า การออกกฎหมายที่จะตัดสิทธิของประชาชนเนี่ย จะทำได้ต้องเป็นกฎหมายที่เพื่อประโยชน์ในการรักษาความมั่นคง และทางเศรษฐกิจการเงินการคลัง ถ้าเป็นเรื่องการออกกฎหมายธรรมดาเนี่ย อย่างสมมติว่า เป้าหมายก็คือ ออกไม่ให้มีการชุมนุมโดยสงบ ปราศจากอาวุธ ผมถือว่าขัด รธน.นะ และขัดกับหลักการเรื่องสิทธิเสรีภาพทางการเมืองในการชุมนุมทางการเมือง เขาบอกว่าเขาชุมนุม คุณบอกเฮ้ย! ไม่ให้ ต่อไปนี้จะชุมนุมต้องมาขออนุญาตตำรวจก่อน แล้วเสรีภาพการชุมนุมมันจะอยู่ตรงไหนล่ะ (ถาม-นี่ยังไม่รวมกรณีที่ให้อำนาจ เจ้าหน้าที่สลายการชุมนุมโดยไม่ต้องรับผิดทางแพ่ง-อาญา?) ไม่ต้องรับผิดชอบ ไม่ต้องรับผิดทางอาญาทางแพ่ง ไปกันใหญ่เลย ก็คือกฎหมายเผด็จการน่ะ (ถาม-เชื่อมั้ยว่า ถ้ากฎหมายฉบับนี้ผ่านสภามาได้ พันธมิตรฯ ไปขอชุมนุม คงไม่ได้อยู่แล้ว?) ยังไงก็ตาม มันต้องมาที่วุฒิสภา ถ้าผมเห็นว่าไม่ชอบใช่มั้ย ผมก็ขอส่งตีความที่ศาลรัฐธรรมนูญว่าขัด รธน. ถ้าศาลรัฐธรรมนูญเห็นว่าขัด รธน.มัน(กฎหมายดังกล่าว)ก็จะตกไปเลย”

นายวรินทร์ ยังมองกรณีที่นายสมัครจะจัดงานใหญ่ “วันแม่ถึงวันพ่อ”เพื่อให้เกิดความปรองดองในชาติด้วยว่า เจตนาของนายสมัครคงต้องการไล่พันธมิตรฯ ให้ออกไปจากถนนมากกว่า ซึ่งคงยาก เพราะพันธมิตรฯ คงอ่านเกมออก และว่า จริงๆ ถ้านายสมัครอยากให้เกิดความปรองดอง ก็แค่หยุดราวีฝ่ายตรงข้ามที่ไม่เห็นด้วยกับตนก็เพียงพอแล้ว

ด้านนายบรรจง นะแส เลขาธิการคณะกรรมการองค์กรพัฒนาเอกชนภาคใต้ มองกรณีที่นายสมัครจะแก้ รธน.มาตรา 63 และพรรคพลังประชาชนเสนอออกกฎหมายจัดระเบียบการชุมนุมฯ ว่า เป็นความคิดที่ “เผด็จการ”และ “ถอยหลังลงคลอง”ซึ่งชาวบ้านคงไม่ยอมให้รัฐบาลออกกฎหมายดังกล่าวแน่ และว่า ยิ่งรัฐบาลพยายามปิดกั้นไม่ให้ประชาชนแสดงออกหรือเรียกร้องความเป็นธรรมด้วยการชุมนุม ก็จะยิ่งเป็นการเพิ่มแรงกดดันและความขัดแย้งให้มากขึ้น เพราะประชาชนจะไปแสดงออกด้วยวิธีที่รุนแรงแทน

“คือการชุมนุมเนี่ยมันเป็นการแสดงออกอย่างหนึ่ง อย่างผมอยู่ทางใต้ใช่มั้ย การไปห้ามการชุมนุมหรือไม่ให้ประชาชนได้แสดงออก ถ้ามันมีแรงกดดันหรือมีความขัดแย้งเนี่ย มันจะไปออกทางอื่นนะ เช่น ทางใต้อาจจะออกมาในแง่ไม่พอใจเจ้าหน้าที่ก็ไปทำร้าย ไปวางระเบิด ไปเผาโรงเรียน ทำตรงนี้ใช่มั้ย ในระบอบประชาธิปไตย ถ้าเขาไม่ได้รับความเป็นธรรม แทนที่จะไปขัดขวางหรือออกกฎหมายขัดขวางเนี่ย รัฐน่าจะออก กม.ส่งเสริมการชุมนุมด้วยซ้ำ จัดเวทีให้ จัดเครื่องเสียงให้ มีฝ่ายกองเลขาฯ คอยตามประเด็นข้อมูลที่เป็นข้อเรียกร้องหรือเป็นความเดือดร้อนของประชาชน การที่นายกฯ สมัครคิดเรื่องนี้ ผมคิดว่าถอยหลังเข้าคลองนะ และเป็นเรื่องที่ไม่ค่อยสร้างสรรค์เท่าไหร่ ผมไม่เชื่อว่าจะทำได้ ผมเชื่อว่าชาวบ้านไม่ยอม (ถาม-ดูเนื้อหาของ พ.ร.บ.จัดระเบียบการชุมนุมในที่สาธารณะยังไง ที่ต้องขออนุญาตก่อน ฝ่าฝืนมีโทษจำคุกและปรับ และให้เจ้าหน้าที่สลายการชุมนุมได้โดยไม่ต้องรับผิดทั้งทางแพ่งและอาญา?) ผมว่านี่มันเป็นแนวคิดเผด็จการ ถ้าเราพูดกันตรงไปตรงมา วันนี้(โทรทัศน์)ช่องเอ็นบีทีให้ ส.ส.ของพรรค พปช. คุณจตุพร พรหมพันธ์ กับรองโฆษกรัฐบาล(ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ)และคุณวีระ มุสิกพงศ์ ใช้สื่อในการเอาเปรียบฝ่ายตรงข้ามหรือฝ่ายที่ไม่เห็นด้วย ถ้าคุณแน่จริงก็ให้ฝ่ายพันธมิตรมีโอกาสได้ออกทีวีสาธารณะอย่างนั้นเหมือนกันสิ คือในขณะที่คุณพยายามออกกฎหมายห้ามไม่ให้ฝ่ายพันธมิตรได้แสดงออก แต่คุณกลับปล่อยให้(ส.ส.ตัวเอง)ใช้อำนาจรัฐใช้เครื่องมือของรัฐซึ่งเป็นของสาธารณะโดยรวมเนี่ย มาเคลื่อนไหว อย่างนี้ในความรู้สึกผม ไม่แฟร์”

ส่วนกรณีที่นายสมัครจะจัดงานใหญ่ “วันแม่ถึงวันพ่อ”โดยอ้างว่าเพื่อสร้างความปรองดองในชาตินั้น นายบรรจง มองว่า แนวคิดจัดงานดังกล่าวเป็นเทคนิคทางการเมืองของนายสมัครเพื่อความอยู่รอดของตัวเองและรัฐบาลมากกว่า เพราะขณะนี้นายสมัครถูกต้อนจนมุม ไม่รู้จะไปออกทางไหน จึงพยายามหาทางออกทุกทาง อย่างไรก็ตาม ส่วนตัวแล้วเชื่อว่า สายเกินไปแล้วที่นายสมัครจะใช้เทคนิคทางการเมืองดังกล่าวเพื่อสกัดกั้นหรือสลายการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรฯ เพราะขณะนี้ชาวบ้านทั่วประเทศตื่นแล้ว รู้ทันรัฐบาลแล้วว่าเป็นอย่างไร ไร้จริยธรรมแค่ไหน!!

จุมพฎ บุญใหญ่ ส.ส.สกลนคร พรรคพลังประชาชน ผู้นำทีม ส.ส.ของพรรค ยื่นสภาให้พิจารณา กม.ติดหนวด โดยอ้างว่า แค่ต้องการจัดระเบียบการชุมนุม
จรัล ดิษฐาอภิชัย อดีตแกนนำ นปก.ออกมาหนุนรัฐบาลออก กม.สลายการชุมนุม ทั้งที่เมื่อครั้ง กม.นี้เข้าที่ประชุม สนช.ในยุค คมช.แกนนำ นปก.ยังพากันออกมาคัดค้าน กม.ดังกล่าว
พล.อ.สุจินดา คราประยูร ยังหลงกลิ่นเผด็จการสมัยพฤษภา 35 โดยล่าสุดวันนี้(6 ส.ค.)ได้ออกมาหนุนรัฐบาลนายสมัครให้ออก กม.สลายการชุมนุม
นิติธร ล้ำเหลือ กรรมการสิทธิมนุษยชน สภาทนายความ ชี้ รบ.ไม่มีสิทธิออก กม.จำกัดสิทธิในการชุมนุม.
อ.วิทยากร เชียงกูล คณบดีวิทยาลัยนวัตกรรมสังคม ม.รังสิต ไม่เห็นด้วยกับการออก กม.จำกัดสิทธิการชุมนุม เพราะเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานและทั่วโลกก็ยอมรับ
วรินทร์ เทียมจรัส ส.ว.สรรหา ชี้ กม.สลายการชุมนุม ขัด รธน.หากผ่านถึงชั้นวุฒิสภา ตนจะยื่นให้ศาล รธน.ตีความ
บรรจง นะแส เลขาธิการ คกก.องค์กรพัฒนาเอกชนภาคใต้ เตือน รบ.อย่าออก กม.ปิดกั้นการชุมนุม หาไม่แล้ว ปชช.อาจต้องเรียกร้องความเป็นธรรมด้วยวิธีที่รุนแรง
กำลังโหลดความคิดเห็น