พันธมิตรฯประณามรัฐบาล-“เหลิม” ส่งสัญญาณ กุ๊ยการเมืองในต่างจังหวัด รุมทำร้ายประชาชนที่ใช้สิทธิตามรัฐธรรมนูญชุมนุมโดยสงบ ระบุ พฤติกรรมสุดป่าเถื่อน ที่ อุดรฯ-บุรีรัมย์ สุดป่าเถื่อน เตือนหากไม่ทำหน้าที่รักษาความสงบอาจลุกลามบานปลาย ย้ำปรับ ครม.ไปก็ไร้ประโยชน์ หมดความเชื่อถือแล้ว
วันนี้ (24 ก.ค.) เมื่อเวลา 18.30 น. นายสุริยะใส กตะศิลา ผู้ประสานงานกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย แถลงถึงสถานการณ์การใช้ความรุนแรงในภาคอีสาน ว่า จากการตรวจสอบที่ จ.อุดรธานี และ จ.บุรีรัมย์ ทั้งสองจังหวัดมีการเผชิญหน้ากัน ระหว่างกลุ่มพันธมิตรฯ และกลุ่มต่อต้าน ซึ่งขณะนี้ที่ จ.อุดรธานี นั้น กลุ่มพันธมิตรฯ ไม่สามารถเปิดเวทีปราศรัยได้ เนื่องจากชมรมคนรักทักษิณ ปลุกระดมคนมาปิดล้อมเวที และเผาจอโปรเจกเตอร์ รวมทั้งทำร้ายร่างกายกลุ่มพันธมิตรฯ โดยมีผู้บาดเจ็บสาหัสกว่า 10 คน อยู่ในห้องไอ.ซี.ยู.1-2 คน เนื่องจากถูกฟัน และถูกค้อนทุบศีรษะ ซึ่งอาจทำให้เสียชีวิตได้ และยังมีผู้บาดเจ็บอีก 40-50 คน เราจึงได้ประสานให้ผู้ปราศรัยกลับกรุงเทพฯ
ส่วนที่ จ.บุรีรัมย์ มีการใช้กำลังจัดตั้งมีผ้าคลุมหน้าเหมือนกองโจร บุกเข้ามายิงปืนขึ้นฟ้าปิดล้อมเวที และทุบตีชาวบ้าน ส่วนที่ จ.มหาสารคาม นายการุณ ใสงาม ถูกยิงหนังสติ๊กเฉียดคิ้วเย็บ 3 เข็ม ขณะที่แนวร่วมพันธมิตรฯหญิงคนหนึ่ง ถูกก้อนหินทุบกะโหลกรักษาตัวอยู่ที่ โรงพยาบาลขอนแก่น
นายสุริยะใส กล่าวว่า จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นต้องประณามรัฐบาล โดยเฉพาะ รมว.มหาดไทย ที่หละหลวมในการทำหน้าที่ ซึ่งเป็นไปได้ว่าสมรู้ร่วมคิดระหว่างฝ่ายปกครองกับแกนนำมวลชนในต่างจังหวัด ร่วมทั้งตำรวจะตั้งแต่ระดับผู้ว่าฯลงมาก็เพิกเฉยต่อสถานการณ์ โดยเฉพาะที่ จ. อุดรธานี มีการปลุกระดมผ่านวิทยุชุมชน ถึง 3-4 วัน ก่อนการปราศรัย ถือเป็นความป่าเถื่อน ดังนั้น ตราบใดที่รัฐบาลนี้ยังบริหารงานอยู่ สถานการณ์อาจพัฒนาเป็นสงครามย่อยในแต่ละจังหวัดได้ รวมทั้งกลุ่มพันธมิตรฯ รู้สึกโกรธแค้น และรับไม่ได้ที่ผู้มาร่วมชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรฯ ถูกทำร้ายทั้งๆ ที่เรายึดมั่นในสันติวิธีตลอดเวลา ทั้งในส่วนกลาง และต่างจังหวัด รวมทั้ง 5 แกนนำก็ได้ทำหนังสือถึงผู้ว่าฯ และผู้บังคับการตำรวจในทุกจังหวัด ที่มีการจัดกิจกรรมอย่างเป็นทางการถึง 75 ฉบับ ตรงนี้จึงน่าจะเป็นการสร้างสถานการณ์ เพื่อโอบล้อมการขยายตัวของพันธมิตรฯ
ดังนั้น เราจะทวงถามความรับผิดชอบจากรัฐบาลในเรื่องนี้อย่างแนนอน เพราะกรณีนี้ไม่น่าจะใช่อุบัติเหตุทางการเมือง ทั้งนี้ พันธมิตรฯ ได้ออกแถลงการณ์แจ้งแกนนำทุกจังหวัดว่า จังหวัดไหนที่สถานการณ์ล่อแหลมขอให้งด แต่ถ้ามีความพร้อมเราก็สนับสนุน ซึ่งเราคงต้องระมัดระวังมากขึ้น ซึ่งยุทธการเป่านกหวีดครั้งสุดท้ายนั้น คงจะเกิดขึ้นในเร็วๆ นี้อย่างแน่นอน
ผู้สื่อข่าวถามว่า ที่มีการระบุว่า รมว.มหาดไทย และผู้ว่าฯร่วมมือกันนั้น จะมีการดำเนินการฟ้องร้องหรือไม่ นายสุริยะใส กล่าวว่า ขอดูข้อเท็จจริงก่อน แต่เหตุการณ์มันตอกย้ำ ว่า มีการเตรียมการ และมุ่งหมายเอาชีวิตแกนนำ ทั้งจากส่วนกลางที่ไปปราศรัย และในต่างจังหวัดมีการปลุกระดมถึงขั้น ว่า แผลละ 500 สองแผล 1,000 คนพวกนี้ไม่มีบัตรประชาชน ไม่ใช่คนไทยฆ่าได้เลย ตรงนี้ถือเป็นความรับผิดชอบของรัฐบาล โดยเฉพาะ มท.1 ซึ่งหากไม่รับผิดชอบเราก็ต้องดำเนินคดี ในข้อหาละเว้นการปฏิบัติหน้าที่และใช้อำนาจในทางมิชอบ
นายสุริยะใส กล่าวถึงการมอบตัวของ นายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย เมื่อเช้าด้วยว่า บรรยากาศในห้องสอบสวนเราพยายามยกข้อโต้แย้ง เรื่องการออกหมายจับ ว่า จะให้เหมือนกรณี ดา ตอร์ปิโด ไม่ได้ ซึ่งตำรวจก็ได้ถามฝ่ายผู้ต้องหาและทีมทนายว่ามีอะไรจะพูดหรือไม่ ตรงนี้เป็นการเปิดโอกาศให้เราได้พูด อย่างไรก็ตาม เท่าที่ดูตำรวจยังโยนกันไปโยนกันมาว่าใครเป็นหัวหน้าเจ้าของคดี และใครที่รับผิดชอบคดี แต่ตำรวจก็ยังถือว่ารับฟังความเห็นจากผู้ต้องหาพอสมควร ซึ่งจากนี้ไปก็เป็นการต่อสู้ในชั้นศาลตามปกติ
นายสุริยะใส กล่าวอีกว่า พรุ่งนี้ 10.00 น.เราจะไปชุมนุมที่หน้า ปตท.สำนักงานใหญ่ โดยจะพูดถึงเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อนใน ปตท.ที่มีนักการเมือง อดีตนักการเมือง และผู้บริหารหลายคนมาเกี่ยวข้อง เราจะเปิดโปง ให้สังคมเห็นว่า ปตท.ล้มเหลวในการแก้ปัญหาพลังงาน โดยเฉพาะราคาน้ำมันแพง ว่า ไม่ปกป้องผู้บริโภคและผลประโยชน์ของประชาชนอย่างไร รวมทั้งจะประกาศแนวทางว่า จะทวงคืน ปตท.อย่างไร ซึ่งขณะนี้ให้ฝ่ายกฎหมายศึกษาอยู่ โดยเป้าหมายสูงสุด คือ ส่งสัญญาณว่า เราต้องการ ปตท.กลับมาเป็นของคนไทยเหมือนเดิม
นายสุริยะใส กล่าวด้วยว่า การปรับ ครม.เพียงเพื่อตบตาประชาชน ไม่ใช่ทางออก แต่ยิ่งทำให้ปัญหาของประเทศ หมักหมมสะสมต่อไปความน่าเชื่อถือของรัฐบาลไม่มีแล้ว ดังนั้น การที่พยายามสร้างสถานการณ์ให้เกิดความขัดแย้ง ความรุนแรง ในจังหวัดต่างๆ นั้น เป็นการพยายามสร้างเงื่อนไข ให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ขอลี้ภัยทางการเมืองได้ใช่หรือไม่
วันนี้ (24 ก.ค.) เมื่อเวลา 18.30 น. นายสุริยะใส กตะศิลา ผู้ประสานงานกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย แถลงถึงสถานการณ์การใช้ความรุนแรงในภาคอีสาน ว่า จากการตรวจสอบที่ จ.อุดรธานี และ จ.บุรีรัมย์ ทั้งสองจังหวัดมีการเผชิญหน้ากัน ระหว่างกลุ่มพันธมิตรฯ และกลุ่มต่อต้าน ซึ่งขณะนี้ที่ จ.อุดรธานี นั้น กลุ่มพันธมิตรฯ ไม่สามารถเปิดเวทีปราศรัยได้ เนื่องจากชมรมคนรักทักษิณ ปลุกระดมคนมาปิดล้อมเวที และเผาจอโปรเจกเตอร์ รวมทั้งทำร้ายร่างกายกลุ่มพันธมิตรฯ โดยมีผู้บาดเจ็บสาหัสกว่า 10 คน อยู่ในห้องไอ.ซี.ยู.1-2 คน เนื่องจากถูกฟัน และถูกค้อนทุบศีรษะ ซึ่งอาจทำให้เสียชีวิตได้ และยังมีผู้บาดเจ็บอีก 40-50 คน เราจึงได้ประสานให้ผู้ปราศรัยกลับกรุงเทพฯ
ส่วนที่ จ.บุรีรัมย์ มีการใช้กำลังจัดตั้งมีผ้าคลุมหน้าเหมือนกองโจร บุกเข้ามายิงปืนขึ้นฟ้าปิดล้อมเวที และทุบตีชาวบ้าน ส่วนที่ จ.มหาสารคาม นายการุณ ใสงาม ถูกยิงหนังสติ๊กเฉียดคิ้วเย็บ 3 เข็ม ขณะที่แนวร่วมพันธมิตรฯหญิงคนหนึ่ง ถูกก้อนหินทุบกะโหลกรักษาตัวอยู่ที่ โรงพยาบาลขอนแก่น
นายสุริยะใส กล่าวว่า จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นต้องประณามรัฐบาล โดยเฉพาะ รมว.มหาดไทย ที่หละหลวมในการทำหน้าที่ ซึ่งเป็นไปได้ว่าสมรู้ร่วมคิดระหว่างฝ่ายปกครองกับแกนนำมวลชนในต่างจังหวัด ร่วมทั้งตำรวจะตั้งแต่ระดับผู้ว่าฯลงมาก็เพิกเฉยต่อสถานการณ์ โดยเฉพาะที่ จ. อุดรธานี มีการปลุกระดมผ่านวิทยุชุมชน ถึง 3-4 วัน ก่อนการปราศรัย ถือเป็นความป่าเถื่อน ดังนั้น ตราบใดที่รัฐบาลนี้ยังบริหารงานอยู่ สถานการณ์อาจพัฒนาเป็นสงครามย่อยในแต่ละจังหวัดได้ รวมทั้งกลุ่มพันธมิตรฯ รู้สึกโกรธแค้น และรับไม่ได้ที่ผู้มาร่วมชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรฯ ถูกทำร้ายทั้งๆ ที่เรายึดมั่นในสันติวิธีตลอดเวลา ทั้งในส่วนกลาง และต่างจังหวัด รวมทั้ง 5 แกนนำก็ได้ทำหนังสือถึงผู้ว่าฯ และผู้บังคับการตำรวจในทุกจังหวัด ที่มีการจัดกิจกรรมอย่างเป็นทางการถึง 75 ฉบับ ตรงนี้จึงน่าจะเป็นการสร้างสถานการณ์ เพื่อโอบล้อมการขยายตัวของพันธมิตรฯ
ดังนั้น เราจะทวงถามความรับผิดชอบจากรัฐบาลในเรื่องนี้อย่างแนนอน เพราะกรณีนี้ไม่น่าจะใช่อุบัติเหตุทางการเมือง ทั้งนี้ พันธมิตรฯ ได้ออกแถลงการณ์แจ้งแกนนำทุกจังหวัดว่า จังหวัดไหนที่สถานการณ์ล่อแหลมขอให้งด แต่ถ้ามีความพร้อมเราก็สนับสนุน ซึ่งเราคงต้องระมัดระวังมากขึ้น ซึ่งยุทธการเป่านกหวีดครั้งสุดท้ายนั้น คงจะเกิดขึ้นในเร็วๆ นี้อย่างแน่นอน
ผู้สื่อข่าวถามว่า ที่มีการระบุว่า รมว.มหาดไทย และผู้ว่าฯร่วมมือกันนั้น จะมีการดำเนินการฟ้องร้องหรือไม่ นายสุริยะใส กล่าวว่า ขอดูข้อเท็จจริงก่อน แต่เหตุการณ์มันตอกย้ำ ว่า มีการเตรียมการ และมุ่งหมายเอาชีวิตแกนนำ ทั้งจากส่วนกลางที่ไปปราศรัย และในต่างจังหวัดมีการปลุกระดมถึงขั้น ว่า แผลละ 500 สองแผล 1,000 คนพวกนี้ไม่มีบัตรประชาชน ไม่ใช่คนไทยฆ่าได้เลย ตรงนี้ถือเป็นความรับผิดชอบของรัฐบาล โดยเฉพาะ มท.1 ซึ่งหากไม่รับผิดชอบเราก็ต้องดำเนินคดี ในข้อหาละเว้นการปฏิบัติหน้าที่และใช้อำนาจในทางมิชอบ
นายสุริยะใส กล่าวถึงการมอบตัวของ นายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย เมื่อเช้าด้วยว่า บรรยากาศในห้องสอบสวนเราพยายามยกข้อโต้แย้ง เรื่องการออกหมายจับ ว่า จะให้เหมือนกรณี ดา ตอร์ปิโด ไม่ได้ ซึ่งตำรวจก็ได้ถามฝ่ายผู้ต้องหาและทีมทนายว่ามีอะไรจะพูดหรือไม่ ตรงนี้เป็นการเปิดโอกาศให้เราได้พูด อย่างไรก็ตาม เท่าที่ดูตำรวจยังโยนกันไปโยนกันมาว่าใครเป็นหัวหน้าเจ้าของคดี และใครที่รับผิดชอบคดี แต่ตำรวจก็ยังถือว่ารับฟังความเห็นจากผู้ต้องหาพอสมควร ซึ่งจากนี้ไปก็เป็นการต่อสู้ในชั้นศาลตามปกติ
นายสุริยะใส กล่าวอีกว่า พรุ่งนี้ 10.00 น.เราจะไปชุมนุมที่หน้า ปตท.สำนักงานใหญ่ โดยจะพูดถึงเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อนใน ปตท.ที่มีนักการเมือง อดีตนักการเมือง และผู้บริหารหลายคนมาเกี่ยวข้อง เราจะเปิดโปง ให้สังคมเห็นว่า ปตท.ล้มเหลวในการแก้ปัญหาพลังงาน โดยเฉพาะราคาน้ำมันแพง ว่า ไม่ปกป้องผู้บริโภคและผลประโยชน์ของประชาชนอย่างไร รวมทั้งจะประกาศแนวทางว่า จะทวงคืน ปตท.อย่างไร ซึ่งขณะนี้ให้ฝ่ายกฎหมายศึกษาอยู่ โดยเป้าหมายสูงสุด คือ ส่งสัญญาณว่า เราต้องการ ปตท.กลับมาเป็นของคนไทยเหมือนเดิม
นายสุริยะใส กล่าวด้วยว่า การปรับ ครม.เพียงเพื่อตบตาประชาชน ไม่ใช่ทางออก แต่ยิ่งทำให้ปัญหาของประเทศ หมักหมมสะสมต่อไปความน่าเชื่อถือของรัฐบาลไม่มีแล้ว ดังนั้น การที่พยายามสร้างสถานการณ์ให้เกิดความขัดแย้ง ความรุนแรง ในจังหวัดต่างๆ นั้น เป็นการพยายามสร้างเงื่อนไข ให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ขอลี้ภัยทางการเมืองได้ใช่หรือไม่