xs
xsm
sm
md
lg

“ครม.” เพิ่งรับทราบ ศาล รธน.ชี้ขาดแถลงไทย-เขมรขัดรัฐธรรมนูญ

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ศุภรัตน์ นาคบุญนำ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในการประชุม ครม.วานนี้ (22 ก.ค.) ครม.ได้รับทราบตามที่สำนักงานศาลรัฐธรรมนูญได้เสนอคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญเรื่องประธานวุฒิสภาและประธานสภาผู้แทนราษฎรส่งความเห็นของสมาชิกวุฒิสภา และสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยชี้ขาดเกี่ยวกับคำแถลงการณ์ร่วมไทย-กัมพูชา ฉบับลงวันที่ 18 มิถุนายน 2551 เป็นหนังสือสัญญาที่ต้องได้รับความเห็นชอบของรัฐสภาตามรัฐธรรมนูญมาตรา 190 ซึ่งศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาแล้วเห็นคำแถลงการณ์ร่วมไทย-กัมพูชา ที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศได้ดำเนินการเจรจากับประเทศกัมพูชาก่อนที่จะได้มีการลงนามคำแถลงการณ์ร่วมดังกล่าว พึงเล็งเห็นได้ว่าหากลงนามคำแถลงการณ์ร่วมไป ก็อาจก่อให้เกิดการแตกแยกกันทางด้านความคิดเห็นของคนในสังคมทั้งสองประเทศ อีกทั้งอาจก่อให้เกิดวิกฤติแก่ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศไทยกับประเทศกัมพูชา อันมีผลกระทบต่อความมั่นคงทางสังคมอย่างกว้างขวาง คำแถลงการณ์ร่วมดังกล่าว จึงเป็นหนังสือสัญญาที่อาจมีบทเปลี่ยนแปลงอาณาเขตประเทศไทย จึงเป็นหนังสือสัญญาที่รัฐธรรมนูญ มาตรา 190 วรรคสอง กำหนดให้ต้องได้รับความเห็นชอบของรัฐสภา

สนอง ก.คลัง อนุมัติกฎกระทรวงรับมาตรการ 6 เดือน

น.ส.ศุภรัตน์ นาคบุญนำ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงผลการประชุม ครม.ว่า ครม.อนุมัติร่างประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง ลดอัตราภาษีสรรพสามิต (ฉบับที่...) (การปรับลดอัตราภาษีสรรพสามิตน้ำมันและผลิตภัณฑ์น้ำมัน ตาม 6 มาตรการ 6 เดือน ฝ่าวิกฤตเพื่อคนไทยทุกคน) รวม 3 ฉบับ ที่คณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ 2 ตรวจพิจารณาแล้ว และให้ดำเนินการต่อไปได้

นางสาวศุภรัตน์ กล่าวอีกว่า คณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ 2 เสนอว่า 1.ได้ตรวจพิจารณาร่างประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง ลดอัตราภาษีสรรพสามิต (ฉบับที่...) (การปรับลดอัตราภาษีสรรพสามิตน้ำมันและผลิตภัณฑ์น้ำมัน ตาม 6 มาตรการ 6 เดือน ฝ่าวิกฤตเพื่อคนไทยทุกคน) เสร็จแล้วมีการแก้ไขบัญชีท้ายประกาศให้สอดคล้องกับบทอาศัยอำนาจมาตรา 103 แห่งพระราชบัญญัติภาษีสรรพสามิต พ.ศ.2527 และที่แก้ไขเพิ่มเติม โดยกำหนดให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังโดยอนุมัติของคณะรัฐมนตรีเป็นผู้ประกาศกำหนดหลักเกณฑ์และเงื่อนไขเพิ่มเติมอัตราภาษีสรรพสามิตที่ลดลงและยกเว้นในรอบระยะเวลา 6 เดือน เพื่อให้สอดคล้องกับระยะเวลาที่คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติในหลักการ รวมทั้งเพิ่มเติมวันที่และอัตราภาษีที่ลดลงและยกเว้นภายหลังจากครบระยะเวลา 6 เดือนแล้ว นอกจากนั้นเป็นการแก้ไขเล็กน้อยเฉพาะถ้อยคำ

2.ได้พิจารณาเห็นว่า การกำหนดหลักเกณฑ์และเงื่อนไขในการลดอัตราหรือยกเว้นภาษีสำหรับสินค้าใดๆ เป็นอำนาจของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังโดยอนุมัติของคณะรัฐมนตรีที่จะกำหนดและประกาศในราชกิจจานุเบกษาตามมาตรา 103 จึงได้นำประกาศกรมสรรพสามิต เรื่อง หลักเกณฑ์และเงื่อนไขในการลดอัตราภาษีสำหรับแก๊สโซฮอล์ ลงวันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2548 และประกาศกรมสรรพสามิต เรื่อง หลักเกณฑ์และเงื่อนไขในการลดอัตราภาษีสำหรับน้ำมันดีเซลที่มีไบโอดีเซลผสมลงวันที่ 23 กันยายน 2548 ที่กรมสรรพสามิตได้ประกาศใช้อยู่ในปัจจุบันมาจัดทำในรูปของร่างประกาศกระทรวงการคลัง จึงได้เสนอร่างประกาศดังกล่าว รวม 3 ฉบับมาเพื่อดำเนินการ

รองโฆษกกล่าวอีกว่า สำหรับสาระสำคัญของร่างประกาศ คือ 1. ร่างประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง ลดอัตราภาษีสรรพสามิต (ฉบับที่...) มีสาระสำคัญในการลดอัตราภาษีสรรพสามิตน้ำมันแก๊สโซฮอล์ และน้ำมันดีเซลที่มีไบโอดีเซลผสม 2.ร่างประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง หลักเกณฑ์ และเงื่อนไขในการลดอัตราภาษีสำหรับแก๊สโซฮอล์ พ.ศ.2551 มีสาระสำคัญในการกำหนดหลักเกณฑ์ และเงื่อนไขในการลดอัตราภาษีสำหรับน้ำมันแก๊สโซฮอล์ และ 3. ร่างประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง หลักเกณฑ์ และเงื่อนไขในการลดอัตราภาษีสำหรับน้ำมันดีเซลที่มีไบโอดีเซลผสม พ.ศ. .... สาระสำคัญเป็นการกำหนดหลักเกณฑ์ และเงื่อนไขในการลดอัตราภาษีสำหรับน้ำมันดีเซลที่มีไบโอดีเซลผสม

โยนเรื่อง “กกต.-ศาล-ส.ว.,ส.ส.” ของบเพิ่มให้สำนักงบฯ พิจารณา

นอกจากนี้ ครม.มอบหมายให้สำนักงบประมาณพิจารณาการเสนอขอเพิ่มงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2552 ของสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.), สำนักงานศาลยุติธรรม, สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภาและสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรให้สอดคล้องกับแนวทาง หลักเกณฑ์การเสนอขอเพิ่มงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2552 รวมถึงกำลังเงินงบประมาณของประเทศ แล้วนำเสนอครม.พิจารณาให้ความเห็นชอบรายละเอียดคำขอเพิ่มงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2552 ในภาพรวมของประเทศ เพื่อนำเสนอคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2552 พิจารณาต่อไป

ทุ่มเงินพันล้านพัฒนาหอสมุดแห่งชาติ ผูกพันงบฯ 3 ปี

ผู้สื่อข่าวรายงานว่าคณะรัฐมนตรีรับทราบรายงานผลการดำเนินการตามแผนพัฒนาหอสมุดแห่งชาติให้เป็นแหล่งเรียนรู้ที่ทันสมัย ครั้งที่ 2 ระหว่างเดือนมกราคม 2551 - มิถุนายน 2551 ตามที่กระทรวงวัฒนธรรมเสนอ สรุปเป้าหมายของโครงการคือให้ก่อสร้างอาคารหอสมุดแห่งชาติ ท่าวาสุกรี หลังใหม่ 1 อาคารระยะเวลาดำเนินการ 3 ปี ได้รับการจัดสรรงบประมาณ (ปี 2551 - 2553) ดังนี้ ปีงบประมาณ 2551 จำนวน 112,540,000 บาท ปีงบประมาณ 2552 จำนวน 225,073,000 บาท ปีงบประมาณ 2553 จำนวน 225,074,000 บาท

นอกจากนี้ ในส่วนของการพัฒนางานสารสนเทศเพื่อการจัดเก็บและให้บริการองค์ความรู้ของหอสมุดแห่งชาติ ใช้งบประมาณ พ.ศ.2553 จำนวน 222,730,000 บาท และปรับปรุงอาคารหอสมุดแห่งชาติ ท่าวาสุกรี หลังเดิม ใช้งบประมาณ พ.ศ.2553 จำนวน 286,750,000 บาท ทั้งนี้คาดว่าจะดำเนินการแล้วเสร็จ ภายในปีงบประมาณ 2554

ต่ออายุเลขาฯ สมอ.อีก 1 ปี

น.ส.วีรินทร์ทิรา นาทองบ่อจรัส รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงผลการประชุมคณะรัฐมนตรีว่า ครม.อนุมัติตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ ให้นายไพโรจน์ สัญญะเดชากุล ดำรงตำแหน่งเลขาธิการ (นักบริหาร 10) สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม ต่อไปอีก 1 ปี (ต่อครั้งที่ 1) ตั้งแต่วันที่ 21 เมษายน 2551 ถึงวันที่ 20 เมษายน 2552
วีรินทร์ทิรา นาทองบ่อจรัส
กำลังโหลดความคิดเห็น