อดีต “ม็อบไข่แม้ว” แค้น ป.ป.ช.รับคดี “ครม.หุ่นเชิดขายชาติ” โต้ผ่าน NBT หากรับคดีนี้แล้ว ต่อไปจะเกิดบรรทัดฐานในการพิจารณคดีใหม่ จี้ เอาผิดเรื่องซื้อเครื่องบินสมัย รบ.ขิงแก่ มาเป็นคดีด้วย เพราะเข้าหลักเกณฑ์เดียวกัน-ไล่งับ ป.ป.ช.ไม่หยุด อ้างไร้สปิริต แนะ เอา “เพ็ญ” เป็นแบบอย่างที่เมื่อมีปัญหาก็ยอมลาออกแต่โดยดี แล้วไม่กลับไปข้องเกี่ยวกับงานที่เคยรับผิดชอบอีก
เมื่อเวลา 22.00-23.00 น.วานนี้ (22 ก.ค.) รายการ “ความจริงวันนี้” ทางเอ็นบีที ซึ่งมาอยู่ในผังรายการแทน “ข่าวหน้าสี่” อย่างกะทันหัน ได้ออกอากาศเป็นครั้งที่ 2 โดยมี นายวีระ มุสิกพงศ์ อดีตกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทย เป็นผู้ดำเนินรายการ และผู้ดำเนินรายการร่วมคือ นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และ นายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.สัดส่วนกลุ่ม 6 พรรคพลังประชาชน
โดยช่วงต้นรายการ ผู้ดำเนินรายการได้กล่าวถึงเรื่องของ สปิริต อ้างว่า ถือเป็นสิ่งสำคัญที่ทุกคนควรจะยึดถือ ซึ่งหลายๆ คนก็มีกัน เช่น นายจักรภพ เพ็ญแข อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ก็ถือเป็นบุคคลหนึ่งที่มีสปิริต ซึ่งตนได้สัมผัสมาแล้วกับตัวเอง นั่นคือ ก่อนหน้าที่จะมาเริ่มจัดรายการนี้ ตนได้เคยชวน นายจักรภพ มาร่วมจัดรายการด้วย แต่ นายจักรภพ ก็ปฏิเสธโดยให้เหตุผลว่า แต่ก่อนตนเคยเป็น รมว.ที่ดูแล ควบคุมสถานีโทรทัศน์เอ็นบีที แต่หลังจากได้ลาออกจากตำแหน่งแล้ว ก็อยากจะยุติบทบาทอย่างเด็ดขาด เพราะคงดูไม่เหมาะนัก หากจะยังไปดำเนินรายการที่สถานีโทรทัศน์เอ็นบีทีอีก ซึ่งสิ่งนี้เองแสดงให้เห็นถึงสปิริตของนายจักรภพได้เป็นอย่างดี
ซึ่งแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง กับ คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ หรือ ป.ป.ช.ที่ถึงแม้จะถูกหลายฝ่ายจับตามอง และลงความเห็นแล้วว่ามีที่มาอย่างไม่ถูกต้อง เพราะไม่ได้รับโปรดเกล้าฯ แต่วันนี้ ป.ป.ช.กลับออกมาตอบว่า สามารถดำรงตำแหน่งได้โดยชอบธรรม เพราะสำนักงานราชเลขาธิการ ได้แจ้งว่า คณะกรรมการ ป.ป.ช.ที่ คปค.ได้มีประกาศฉบับที่ 19 แต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่ง ย่อมถือได้ว่า มีผลสมบูรณ์บังคับใช้ได้ตามกฎหมาย เนื่องจากขณะนั้น คปค.มีฐานะเป็น รัฎฐาธิปัตย์ มีอำนาจเด็ดขาดแต่เพียงผู้เดียว ประกาศ หรือคำสั่งของ คปค.ต่างๆ ย่อมมีผลบังคับใช้โดยชอบตั้งแต่ต้น จึงไม่จำเป็นต้องได้รับโปรดเกล้าฯ ซึ่งเรื่องนี้ถือเป็นสิ่งที่บ่งบอกได้ว่า ป.ป.ช.ไม่มีสปิริตเลยแม้แต่น้อย ทั้งที่ก็รู้ว่าตัวเองมาอย่างไม่ถูกต้อง แต่ก็ไม่ยอมยุติการทำงาน แถมยังมาอ้างว่าทำถูกต้องแล้ว
ทั้งนี้ ผู้ดำเนินรายการซึ่งเป็นอดีต นปก.ได้ยกกรณี นายจักรภพ ขึ้นมาเปรียบเทียบ เนื่องจากนายจักรภพได้ประกาศลาออกจากตำแหน่งรัฐมนตรี คณะกรรมการสอบสวนของตำรวจมีมติชี้มูลความผิด นายจักรภพ ฐานหมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์ กรณีที่ นายจักรภพ ไปพูดที่สมาคมผู้สื่อข่าวต่างประเทศในไทยเมื่อปลายเดือนสิงหาคม 2550 ซึ่งมีนายตำรวจไปแจ้งความดำเนินคดีเมื่อเดือน มี.ค.2551 ที่ผ่านมา แต่ นายจักรภพ อ้างว่า ตนไม่ผิด โดยกล่าวหาคนที่แจ้งความว่ามีเบื้องหลังทางการเมือง และจงใจแปลความหมายให้คลาดเคลื่อนจากสิ่งที่นายจักรภพต้องการจะสื่อความหมาย
อย่างไรก็ตาม จากการแปลของทีมงานพรรคประชาธิปัตย์ ตลอดจนนักวิชาการด้านภาษาศาสตร์ สรุปตรงกันว่า นายจักรภพ จงใจหมิ่นพระบรมเดชานุภาพอย่างแน่นอน ซึ่งในที่สุดตำรวจก็มีความเห็นดังกล่าว และดำเนินคดีกับนายจักรภพ แต่ได้ให้โอกาสนายจักรภพอย่างมากในการเลือกวันเข้ารับทราบข้อกล่าวหา โดยไม่ต้องออกหมายเรียกหรือหมายจับ และจนขณะนี้คดีก็ยังไม่คืบหน้า
ส่วนกรณี ป.ป.ช.นั้น คนที่เปิดประเด็นตคนแรก คือ นายสมัคร ที่พูดผ่านรายการตอนเช้าวันอาทิตย์ หลังจากนั้น ก็มีคนในพรรคพลังประชาชนและเครือข่าย นปก.ออกมารับลูกอย่างต่อเนื่อง ทั้งการให้สัมภาษณ์ การพูดออกรายการทางพีทีวี และการเข้าชื่อยื่นถอดถอน ป.ป.ช.โดยคนในเครือข่าย นปก.ซึ่งจนขณะนี้ยังไม่มีองค์กรที่มีอำนาจชี้ขาดลงความเห็นว่า ป.ป.ช.มีที่มาไม่ถูกต้องตามที่ผู้ดำเนินรายการกล่าวอ้าง
นอกจากนี้ ผู้ดำเนินรายการยังได้กล่าวถึงกรณีที่ประชุม ป.ป.ช.วันนี้ มีมติรับคำร้อง ดำเนินคดีอาญากับคณะรัฐมนตรี (ครม.) อธิบดีกรมสนธิสัญญาและกฎหมาย และข้าราชการกระทรวงการต่างประเทศที่เกี่ยวข้อง ปลัดกระทรวงการต่างประเทศ เจ้ากรมแผนที่ทหาร เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ และ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ในกรณีที่ ครม.ได้มีมติเมื่อวันที่ 17 มิ.ย.ให้ความเห็นชอบคำแถลงการณ์ร่วม ไทย-กัมพูชา กรณีประสาทพระวิหาร ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ซึ่งต่อมาตุลาการรัฐธรรมนูญได้มีคำวินิจฉัยว่า คำแถลงการณ์ร่วมดังกล่าวเป็นหนังสือสัญญาที่อาจมีบทเปลี่ยนแปลงอาณาเขตของประเทศ ซึ่งต้องได้รับความเห็นชอบของรัฐสภาตามรัฐธรรมนูญมตรา 190 วรรคสอง
โดย นายวีระ และทีมงานกล่าวว่า หาก ป.ป.ช.มีมติรับคำร้องในเรื่องดังกล่าว ต่อไปจะเป็นบรรทัดฐานให้การทำคดีอื่นๆ ต้องเปลี่ยนไป เช่น กรณีที่กองทัพอากาศ ในสมัยรัฐบาลสุรยุทธ์ จุลานนท์ ไปจัดซื้อเครื่องบินแบบรัฐบาลต่อรัฐบาล ก็ต้องเข้าหลักความผิดในมาตรา 190 ด้วย เพราะมีผลผูกพันต่องบประมาณของประเทศอย่างมีนัยสำคัญ ดังนั้น ก็ต้องนำเรื่องดังกล่าวขออนุมัติต่อรัฐสภาด้วย ดังนั้นคงต้องเรียกร้องไปยังศาล รธน.และ ป.ป.ช.ด้วยว่า การตัดสินเรื่องที่เหมือนกัน ก็ต้องใช้บรรทัดฐานเดียวกันด้วย
สิ่งที่พวกตนกล่าวมาทั้งหมด ก็เพื่อต้องการชี้ให้ประชาชนเห็นว่า รธน.50 เป็นปัญหาต่อการบริหารประเทศมากเพียงใด เรียกได้ว่าหากยังไม่มีการแก้ไข รธน.ฉบับนี้ต่อไปไม่ว่ากระทรวง หรือกองทัพใด จะไปทำสัญญาต่างๆ กับต่างประเทศ ก็คงไม่กล้าทำแล้ว เพราะไม่รู้ว่าท้ายที่สุดแล้ว จะต้องกลับมารับความผิดในประเทศหรือไม่
ทั้งนี้ จะเห็นว่า ยังคงมีการตะแบงเรื่องมาตรา 190 ของรัฐธรรมนูญว่าเป็นปัญหาในการบริหารประเทศต่อไป แม้ว่าโดยเจตนารมณ์ของมาตราดังกล่าวนั้น ต้องการให้การลงนามกับต่างประเทศต้องผ่านความเห็นชอบของรัฐสภาเฉพาะกรณีที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนในเรื่องเขตแดน อำนาจอธิปไตย ส่งผลกระทบต่อความมั่นคง โดยเฉพาะกรณีการลงนามในเขตการค้าเสรีกับต่างประเทศ ที่เคยสร้างปัญหาเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อนในช่วงรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ที่แอบงุบงิบลงนามกันโดยที่ประชาชนไม่มีส่วนรับรู้ด้วย
ส่วนกรณีที่ยกเรื่องการซื้อเครื่องบินรบในรัฐบาล พล.อ.สุรยุทธ์ มากล่าวอ้างว่า อาจจะเข้าข่ายมาตรา 190 นั้น ถ้ามีข้อสงสัยก็สามารถที่จะยื่นต่อศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยได้ เหมือนกับกรณีแถลงการณ์ร่วม ไทย-กัมพูชา แต่ผู้ดำเนินรายการกลับนำมาพูดแบบตีฝีปาก เพื่อที่จะสำทับว่ารัฐธรรมนูญมาตรานี้ ทำให้เกิดปัญหา