ป.ป.ช.มีมติรับคำร้องพันธมิตรฯ-ส.ว.ที่ให้ดำเนินคดีอาญากับรัฐบาล “หุ่นเชิด” ฐานขายชาติ โดยเตรียมนำเรื่องเข้าสู่การพิจารณาโดยด่วน “วิชา” ย้ำ ป.ป.ช.เป็นองค์กรตามรัฐธรรมนูญโดยสมบูรณ์ ลั่นจะยืนหยัดล้างคนโกงโดยไม่หวั่นไหว
เมื่อวันที่ 15 ก.ค. นายวิชา มหาคุณ กรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) กล่าวว่า ป.ป.ช.ได้มีมติรับคำร้องของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย และ น.ส.รสนา โตสิตระกูล ส.ว.กทม.พร้อมด้วย นายสมชาย แสวงการ ส.ว.สรรหา ที่ได้มายื่นคำร้องต่อ ป.ป.ช.ขอให้ดำเนินคดีอาญากับคณะรัฐมนตรี (ครม.) อธิบดีกรมสนธิสัญญาและกฎหมาย และข้าราชการกระทรวงการต่างประเทศที่เกี่ยวข้อง ปลัดกระทรวงการต่างประเทศ เจ้ากรมแผนที่ทหาร เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ และ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ในกรณีที่ ครม.ได้มีมติเมื่อวันที่ 17 มิ.ย.ให้ความเห็นชอบคำแถลงการณ์ร่วมไทย-กัมพูชา กรณีประสาทพระวิหาร ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ซึ่งต่อมาตุลาการรัฐธรรมนูญได้มีคำวินิจฉัยที่ 6-7/2551 ลงวันที่ 8 ก.ค.ว่า คำแถลงการณ์ร่วมดังกล่าวเป็นหนังสือสัญญาที่อาจมีบทเปลี่ยนแปลงอาณาเขตของประเทศ ซึ่งต้องได้รับความเห็นชอบของรัฐสภาตามรัฐธรรมนูญมตรา 190 วรรคสอง
นายวิชา กล่าวว่า เมื่อ ป.ป.ช.ได้มีมติรับคำร้องแล้วจึงมอบหมายให้พนักงานเจ้าหน้าที่นำไปรวมประมวลรายละเอียดข้อเท็จจริงข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้องแล้วเสนอให้คณะกรรมการ ป.ป.ช.พิจารณาโดยด่วนอีกครั้ง
นายวิชา กล่าวอีกว่า นอกจากนี้ คณะกรรมการ ป.ป.ช.ขอชี้แจงกรณีที่มีการกล่าวหาว่า ป.ป.ช.ไม่มีสิทธิถอดถอน ครม.เพราะเป็นองค์กรที่ไม่ถูกต้องตามกฎหมาย เนื่องจากไม่ได้ถวายสัตย์ปฏิญาณก่อนเข้ารับหน้าที่ ว่า หลังจากที่คณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (คปค.) ได้มีประกาศ คปค.ฉบับวันที่ 19 ลงวันที่ 22 ก.ย. 2549 ให้ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542 มีผลบังคับใช้ต่อไป โดยให้งดการบังคับใช้บทบัญญัติเกี่ยวกับการสรรหาคณะกรรมการ ป.ป.ช.และได้แต่งตั้งคณะกรรมการ ป.ป.ช.ประกอบด้วย นายปานเทพ กล้านรงค์ราญ ประธานกรรมการ ป.ป.ช.และกรรมการอีก 8 คน แล้วนั้น
กรรมการ ป.ป.ช.ผู้นี้กล่าวอีกว่า สำนักงาน ป.ป.ช.ได้มีหนังสือลงวันที่ 3 พ.ย.2549 ถึงเลขาธิการ ครม.เพื่อขอให้นำความกราบบังคมทูลเพื่อทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งประธาน และกรรมการ ป.ป.ช.ที่ คปค.แต่งตั้งดังกล่าว ซึ่งสำนักเลขาธิการ ครม.ได้มีหนังสือลงวันที่ 20 ธ.ค.2549 แจ้งว่า ได้ขอให้สำนักงานราชเลขาธิการ นำความกราบบังคมทูลพระกรุณาโปรดเกล้าฯแต่งตั้งแล้ว ได้รับแจ้งว่า คณะกรรมการ ป.ป.ช.ที่ คปค.ได้มีประกาศฉบับที่ 19 แต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่ง ย่อมถือได้ว่า มีผลสมบูรณ์บังคับใช้ได้ตามกฎหมาย เนื่องจากขณะนั้น คปค.มีฐานะเป็น รัฎฐาธิปัตย์ มีอำนาจเด็ดขาดแต่เพียงผู้เดียว ประกาศ หรือคำสั่งของคปค.ต่างๆ ย่อมมีผลบังคับใช้โดยชอบตั้งแต่ต้น
นายวิชา กล่าวว่า นอกจากนี้ ประกาศ คปค.ฉบับที่ 31 เรื่อง การดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ของ ป.ป.ช.ลงวันที่ 30 ก.ย.2549 ข้อ 1.ได้บัญญัติว่า การยกเลิกรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยมิให้กระบวนการกระทบกระเทือนการบังคับใช้ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542 โดย พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542 ยังคงบังคับใช้ต่อไปจนกว่าจะมีกฎหมายแก้ไขเพิ่มเติมหรือยกเลิก และให้ถือว่า ป.ป.ช.ซึ่งได้รับการแต่งตั้งตามประกาศ คปค.ได้รับการสรรหาและแต่งตั้งโดยชอบตาม พ.ร.บ.ดังกล่าว และหลังจากนั้น เมื่อได้มีการประกาศใช้รัฐธรรมนูญชั่วคราว พ.ศ.2549 ก็ได้มับทบัญญัติมาตรา 36 ว่าบรรดาประกาศและคำสั่งของคปค.และคำสั่งของหัวหน้า คปค.ไม่ว่าจะประกาศหรือสั่งให้มีผลบังคับในทางนิติบัญญัติ ในทางบริหารหรือในทางตุลาการ ให้มีผลบังคับใช้ต่อไป
นายวิชา กล่าวว่า อีกทั้งรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 299 ได้บัญญัติให้กรรมการ ป.ป.ช.ซึ่งดำรงตำแหน่งในวันประกาศใช้รัฐธรรมนูญนี้ คงดำรงตำแหน่งต่อไปจนกว่าจะสิ้นสุดวาระ โดยให้เริ่มนับวาระตั้งแต่วันที่ได้รับแต่งตั้ง ดังนั้น จึงแสดงให้เห็นว่าคณะกรรมการ ป.ป.ช.ชุดนี้เป็นองค์กรตามรัฐธรรมนูญที่ได้รับการแต่งตั้งโดยชอบด้วยกฎหมายมาตั้งแต่ต้น
ประกอบกับนับตั้งแต่ที่ ป.ป.ช.ชุดนี้ได้ปฏิบัติหน้าที่ก็ได้มีผลงานในด้านต่างๆ เป็นอันมาก ไม่ว่าจะเป็นผลงานด้านการป้องกันการทุจริต การปราบปรามการทุจริต และการตรวจสอบบัญชีทรัพย์สินและหนี้สิน และได้แถลงผลงานเหล่านี้ให้สื่อมวลชนและสาธารณชนได้รับทราบเป็นระยะๆ มาโดยตลอด แสดงให้เห็นถึงการยืนหยัดที่จะปฏิบัติหน้าที่ให้เป็นไปตามหลักการของเจตนารมณ์ที่กำหนดให้มีคณะกรรมการ ป.ป.ช.เป็นองค์กรหลักในการป้องกันและปราบปรามการทุจริตของชาติ ทั้งนี้ ในการปฏิบัติหน้าที่ที่ผ่านมา คณะกรรมการ ป.ป.ช.ได้ทำงานโดยไม่หวั่นไหวต่อสิ่งที่มากระทบ และทำงานด้วยความโปร่งใส ตรวจสอบได้ตลอดมา