“วีระ มุสิกพงศ์” นำทีมเปิดตัวรายการใหม่ “ความจริงวันนี้” ออกอากาศทาง NBT วันแรก ขนแก๊ง นปก.“จตุพร-ณัฐวุฒิ” เป็นพิธีร่วมดำเนินรายการ อ้างเป็นช่องทางใหม่ให้ข่าวสารกับผู้ชม-ประเดิมวันแรกสนองนายใหญ่ ใส่ไฟ “ก.ก.ต.-ป.ป.ช.” มีที่มาไม่ชอบ ต้องลาออกและคืนเงินเดือน งานทุกอย่างที่ทำถือเป็นโมฆะ
นายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี พูดอย่างมีอารมณ์ทางรายการ “สนทนาประสาสมัคร” เมื่อวันอาทิตย์ที่ 20 ก.ค.ที่ผ่านมา โดยกล่าวหาว่าพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ปลุกระดมโจมตีเขาทุกวัน โดยถ่ายทอดสดทางเอเอสทีวี เพราะฉะนั้นเริ่มตั้งแต่วันจันทร์ที่ 21 ก.ค.เป็นต้นไป เขาจะใช้เวลาทางเอ็นบี ทุกวันจันทร์ถึงศุกร์วันละ 1 ชั่วโมง เริ่มตั้งแต่ 22.00 น. เพื่อตอบโต้พันธมิตรฯ อย่างทันควัน อย่างไรก็ตาม นายสมัคร ได้เปลี่ยนใจในเวลาต่อมา โดยจะให้ นายวีระ มุสิกพงศ์ อดีตแกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยขับไล่เผด็จการ (นปก.) มาจัดรายการแทน โดยอ้างว่าเนื่องจากติดปัญหาสัญญากับเอกชน ซึ่งเดิมช่วงเวลาดังกล่าวเป็นรายการ “ข่าวหน้าสี่” จะเปลี่ยนชื่อเป็นรายการ “ชาวสนามหลวง” โดยมี นายวีระ เป็นผู้ดำเนินรายการ และบางวันจะเชิญ นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และนายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.สัดส่วนกลุ่ม 6 พรรคพลังประชาชน ซึ่งเป็นอดีตแกนนำ นปก.เช่นกัน มาร่วมรายการ
ทั้งนี้ เมื่อถึงเวลา 22.00 น.วันนี้ (21 ก.ค.) เมื่อเริ่มรายการจริงๆ ปรากฏว่า รายการดังกล่าวใช้ชื่อว่า “ความจริงวันนี้” โดย นายวีระ มุสิกพงศ์ นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ และ นายจตุพร พรหมพันธุ์ ดำเนินรายการ
โดยในช่วงแรก นายวีระ มุสิกพงศ์ กล่าวแนะนำตัวว่า แต่เดิมตนมีอาชีพนักการเมืองที่จู่ๆ ก็จับพลัดจับผลู ถูกตัดสิทธิ์ทางการเมือง 5 ปี เพราะเป็นอดีตกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทย จึงใช้เวลาที่ว่างอยู่นี้มาดำเนินรายการทางการเมืองแทน ซึ่งแต่เดิมตนจัดรายการอยู่ทางสถานีโทรทัศน์พีทีวี แต่ตอนนี้ก็เป็นโอกาสอันดีที่ได้มาทำรายการที่สถานีโทรทัศน์เอ็นบีที จึงหวังเป็นทางเลือกหนึ่งให้ประชาชนได้รับทราบข่าวสารอีกช่องทางหนึ่ง นอกจากนี้ รายการดังกล่าวยังมีการถ่ายทอดสดสัญญาณเสียง ผ่านทางสถานีวิทยุ สวท.FM 92.5 และ AM 891 อีกด้วย
ในช่วงเริ่มรายการ ผู้ดำเนินรายการได้กล่าวถึงผลกระประชุมคณะกรรมการชายแดนไทย-กัมพูชา ว่า ถึงแม้จะยังไม่ได้ข้อสรุปออกมาอย่างชัดเจน แต่ก็ถือว่าเป็นผลดีที่ได้ข้อสรุปว่าทั้งสองประเทศจะไม่ใช้ความรุนแรงในการแก้ปัญหา ซึ่งข้อสำคัญ ก็คือ ขอให้พี่น้องประชาชน อย่าได้ไปเชื่อคำพูดยุแยงของคนบางกลุ่มที่พูดเอาแต่ความสนุกปาก โดยไม่คำนึงถึงความเดือดร้อนของบ้านเมือง
นอกจากนี้ ยังกล่าวโจมตีที่มาของ คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) และคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ว่า มีที่มาอย่างไม่ถูกต้อง เพราะไม่ได้รับการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ถือเป็นสิ่งที่ผิดกฎหมาย ดังนั้น ทั้งสององค์กรจึงไม่สามารถรับเงินเดือนได้ เพราะตาม พ.ร.บ.เงินเดือน ก็ระบุไว้ว่า องค์กรอิสระจะรับเงินเดือนได้ก็ต่อเมื่อได้รับการโปรดเกล้าฯ จึงตั้งคำถาม ต่อ ป.ป.ช.และ กกต.ว่า มีอำนาจอะไร มีความชอบธรรมอะไรในการมาทำงานสำคัญระดับประเทศ ถึงขนาดถอดถอนรัฐบาลที่มาจาการเลือกตั้ง และได้รับการโปรดเกล้าฯ ได้ อีกทั้งมีสิทธิอะไรมารับเงินเดือนที่เป็นภาษีของประชาชน
ส่วนการที่มี ป.ป.ช.บางคนออกมาอ้างว่า พวกตนทำงานได้เพราะการแต่งตั้งอย่างถูกต้องจากหัวหน้าคณะรัฐประหารในขณะนั้น ซึ่งมีอำนาจเป็นรัฏฐาธิปัตย์ สามารถสั่งการได้นั้น ก็ต้องย้อนถามว่า แล้วตอนนี้หัวหน้าคณะรัฐประหาร ก็หมดอำนาจไปแล้ว เหตุใดองค์กรทั้งสองจึงยังมีความชอบธรรมในการทำงานอยู่ อีกทั้งอยากถามว่าการยึดอำนาจโดยหัวหน้ารัฏฐาธิปัตย์ที่กระทำไปเมื่อ 19 ก.ย.นั้น เป็นการยึดพระราชอำนาจของพระเจ้าแผ่นดินด้วยหรือไม่ หากไม่ องค์กรอิสระทั้งสองก็ไม่มีความชอบธรรมอีกต่อไป เพราะการโปรดเกล้าฯ ต้องเป็นอำนาจของพระเจ้าแผ่นดินเท่านั้น
ดังนั้น จึงสรุปได้ว่า กกต.และ ป.ป.ช.ไม่มีความชอบธรรมในการทำงาน ดังนั้น งานที่เคยทำมาทั้งหมดก็ต้องเป็นโมฆะไปด้วย ส่วนเงินเดือนที่เคยรับไปตั้งแต่เริ่มดำรงตำแหน่งก็ต้องส่งคืนหลวงทั้งหมด ซึ่งพวกตนก็คิดว่าทั้ง กกต.และ ป.ป.ช.ทุกคนก็เป็นผู้ใหญ่กันแล้ว การออกจากตำแหน่งเพื่อรักษาความสง่างาม น่าจะดีกว่า ให้ประชาชนต้องไปยื่นชื่อถอดถอน แต่ต้องย้ำว่าออกจากตำแหน่ง ไม่ใช่การลาออก เพราะองค์กรอิสระทั้งสอง ไม่ถือเป็น กกต.และ ป.ป.ช. มาแต่แรก ดังนั้น สิ่งที่ทำได้ ก็คือ เก็บของแล้วออกไปเฉยๆ โดยไม่ต้องลาออก เพราะแม้แต่การลาออกก็ไม่มีสิทธิทำ
พวกตนต้องขอย้ำเอาไว้ด้วยว่า สิ่งที่กล่าวทั้งหมดในวันนี้ ไม่ได้พูดเพราะมีอคติใดๆ กับ องค์กรอิสระทั้งสอง แต่ที่ต้องพูดก็เพื่อทวงความชอบธรรม รักษาความสง่างามขององค์กรอิสระ และที่สำคัญที่สุด ก็คือ คงไว้ซึ่งพระราชอำนาจของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เท่านั้น
อย่างไรก็ตาม กรณีนี้ผู้ดำเนินรายการทั้ง 3 ไม่ได้ชี้แจงกรณีที่เลขาธิการคณะรัฐมนตรีของรัฐบาล พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ ได้ทำหนังสือขอนำรายชื่อ ป.ป.ช.ทั้ง 9 คน ที่ได้รับการแต่งตั้งจาก คปค.ขึ้นทูลเกล้าฯ แต่ราชเลขาธิการได้มีหนังสือตอบกลับลงมาว่า ป.ป.ช.ทั้ง 9 คน ได้รับการแต่งตั้งโดยสมบูรณ์แล้ว เพราะ คปค.ที่ยึดอำนาจได้นั้นถือเป็นองค์รัฏฐาธิปัตย์
นอกจากนี้ ยังไม่ได้อธิบายว่า เหตุใดจึงเพิ่งมาโจมตี ป.ป.ช.หลังจากที่ ป.ป.ช.กำลังพิจารณาดำเนินคดีกับ ครม.ทั้งคณะ ฐานทำผิดรัฐธรรมนูญมาตรา 190 และทำให้ประเทศไทยสูญเสียอธิปไตยเหนือดินแดนกรณีลงนามแถลงการณ์ร่วมไทย-กัมพูชา สนับสนุนให้จดทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลกของกัมพูชาแต่เพียงฝ่ายเดียว
ทั้งนี้ เป็นที่น่าสังเกตว่า ถึงแม้รัฐบาลจะประกาศว่าจะไม่ใช้รายการนี้ตอบโต้กลุ่มพันธมิตรฯ และกลุ่มอื่นๆ ที่ไม่เห็นด้วยกับรัฐบาลแล้ว แต่รายการข่าวหน้าสี่ ที่ออกอากาศในเวลาดังกล่าว กลับถูกยุติการออกอากาศโดยไม่มีการแจ้งล่วงหน้า แล้วเปลี่ยนมาเป็น รายการความจริงวันนี้ ซึ่งเป็นรายการที่มีเนื้อหาสนับสนุนรัฐบาล และโจมตีกลุ่มที่ไม่เห็นด้วยกับรัฐบาลแทน
คลิกดูภาพนิ่ง คลิปวิดีโอและอ่านข่าว เหตุการณ์ นปก.นำม็อบถ่อยบุกบ้านประธานองคมนตรีเมื่อวันที่ 22 ก.ค. 2550