แกนนำอีสานกู้ชาติ ขึ้นเวทีพันธมิตรฯลำดับความตึงเครียดบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา ระบุ “ฮุนเซน” สั่งเพิ่มกำลังตรึงเขาพระวิหาร ยั่วยุทหารไทยตบะแตก หวังเป็นข้ออ้างฟ้องยูเอ็น จวก “รัฐบาลแม้ว” ไม่เด็ดขาด จุดกำเนิดความขัดแย้งในปัจจุบัน เผยอีก “น้องสาวแม้ว” เจอโห่ไล่ หลังโผล่นุ่งขาวทำพิธีบนปราสาทพิมายเมืองย่าโม
คลิกที่นี่ เพื่อฟัง นายไทกร พลสุวรรณ ปราศรัย
เมื่อวันที่ 10 กรกฎาคม 2551 เวลาประมาณ 01.30 น. นายไทกร พลสุวรรณ แกนนำอีสานกู้ชาติ ขึ้นเวทีปราศรัยเพื่อสรุปสถานการณ์ล่าสุดบริเวณพื้นที่โดยรอบเขาพระวิหาร โดยระบุว่า ขณะนี้มีกองกำลังกัมพูชาพร้อมอาวุธครบมือมาปักหลักอยู่บริเวณปราสาทพระวิหารประมาณ 1,000 นาย รวมกับที่มาปักหลักในพื้นที่หมู่บ้านโกอุย ใต้หน้าผาของปราสาทพระวิหารอีก 5 กองพัน มีรถถัง T 54 จำนวน 8 คัน จอดเรียงรายอยู่ตามแนวป้องกันบริเวณถนนทางเข้าหมู่บ้านโกอุย หมู่บ้านไผ่ และหมู่บ้านอมโก
นอกจากนี้ยังมีคำสั่งจาก จ.พระวิหาร ให้กองโจรขเมรแดงและอาสาสมัครที่ปักหลักอยู่ในเมืองอะลองเวง จำนวน อีก 4 กองร้อย เคลื่อนพลไปที่ปราสาทพระวิหาร รวมทั้งสั่งการให้ กองร้อยอาร์พีจี (จัดกำลังเลียนแบบทหารเวียดนาม จะมีอาร์พีจีเป็นอาวุธ) สังกัด จ.อุดรมีชัย เดินทางไปตั้งค่ายพักแรมตรงข้ามค่ายทหารพรานบริเวณช่องผ่านแดนพระพาลัย อ.ขุนหาญ จ.ศรีสะเกษ ห่างจากปราสาทพระวิหารประมาณ 20 กิโลเมตร ขณะที่ถัดมาอีก 10 กิโลเมตร บริเวณช่องโตนอาว มีกองทหารสังกัด กองพันลาดตระเวน จ.อุดรมีชัย ตั้งค่ายพักแรมอยู่ประมาณอีก 500 คน ห่างจากประสาทพระวิหาร 10 กิโลเมตร
นายไทกร กล่าวว่า เข้าใจแล้วใช่หรือไม่ว่า สมเด็จฯ ฮุนเซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชา คิดอย่างใดกับประเทศไทย สมเด็จฯ ฮุนเซน ต้องการปลุกกระแสรักชาติของชาวกัมพูชา หวังชนะการเลือกตั้งวันที่ 27 กรกฎาคมนี้ ด้วยคะแนนแบบถล่มทลาย สมเด็จฯ ฮุนเซน ไม่เคยสนใจเลยว่าพื้นที่แนวชายแดนนั้นอยู่กันอย่างสงบ สั่งให้กองร้อยอาร์พีจี 200 นายไปปักหลักอยู่ห่างจากค่ายทหารไทยประมาณ 300 เมตร ทั้งๆ ที่มีทหารพรานไทยดูแลค่ายเพียง 5 คน แสดงให้เห็นว่า กัมพูชามีการเคลื่อนกำลังในลักษณะยั่วยุ ต้องการให้ทหารไทยต้องลงมือ เพื่อที่จะหาความชอบธรรมในการไปฟ้องสหประชาชาติ หวังให้ทหารของสหประชาชาติมาควบคุมพื้นที่เขาพระวิหาร ซึ่งกัมพูชาอ้างตลอดเวลา เป็นเขตแดนของกัมพูชา
ทั้งนี้ แกนนำอีสานกู้ชาติได้ชี้ให้เห็นว่า ถ้ายึดถือตามแผนที่ที่กัมพูชาเอาไปฟ้องสหประชาชาติ กล่าวหาไทยรุกล้ำดินแดนนั้น ไทยก้ต้องเสียดินแดนบริเวณผามออีแดง บ้านภูมิสลอน ไล่เชื่อมต่อไปแนวเขตชายแดนตั้งแต่ อ.ภูสิงห์ อ.ขุนหาญ ไปจนถึงช่องจอม จ.สุรินทร์ ถึง อ.ตาพระยา จ.สระแก้ว จะหลีกเลี่ยงความขัดแย้งไม่ได้ เพราะในเมื่อทั้งสองประเทศใช้มาตราส่วนไม่เหมือนกัน กัมพูชาใช้มาตราส่วน 1 : 200,000 ไทยใช้มาตราส่วน 1 : 50,000 แสดงให้เห็นว่า แผนที่แนวเขตชายแดนไทยนั้นละเอียดมากกว่าแผนที่ของกัมพูชา เพราะไทยพึ่งทำแผนที่ล่าสุดไปเมื่อไม่กี่ปี แต่กัมพูชาทำเมื่อ ค.ศ.1904
“ที่ต้องเล่าให้ฟัง เพื่อที่จะตอกย้ำว่า ในวันที่ 21 กรกฏคาม บริเวณโรงแรมอินโดจีน จ.สระแก้ว พล.อ.บุญสร้าง เนียมประดิษฐ์ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด ทำหน้าที่แทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ไปเจรจาแทนรัฐบาลกับ พล.อ.เตีย บัญ รัฐมนตรีกลาโหมกัมพูชา ทั้งนี้ พล.อ.บุญสร้าง ย้ำไว้อย่างชัดเจน จะไม่พูดถึงแนวเขตชายแดนระหว่างไทยกับกัมพูชา แต่จะพูดถึงอย่างเดียว คือ เรื่องการทหาร ซึ่งมีหน้าที่พูดอย่างเดียวว่า ถ้าทหารและประชาชนกัมพูชาไม่ออกจากแผ่นดินของราชอาณาจักรไทย กองทัพไทยต้องใช้กำลังบังคับและผลักดันออกไป”
นายไทกร กล่าวต่อว่า มีบางคนบอกว่า พันธมิตรฯ ไปยั่วยุให้เกิดความขัดแย้งระหว่างไทยกับกัมพูชา และอาจมีการปะทะกัน ด้วยกำลังอาวุธระหว่างทหารทั้งสองฝ่าย แต่เมื่อไปสอบถามทหาร กลับได้รับคำตอบเดียวกัน คือ พร้อมทำหน้าที่ปกป้องแผ่นดินไทย ปกป้องชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ถ้ากลัวตายไม่มีใครกล้าเป็นทหาร หากประเทศไทยมีทหารขี้ขลาด กลัวตาย เราจะเอาทหารไว้ทำอะไร นอกจากเอาไว้ดายหญ้าเพียงอย่างเดียว ฉะนั้น มั่นใจได้เลย ถึงแม้ทหารไทยจะเสียเปรียบในเรื่องชัยภูมิพื้นที่ เพราะทางยุทธศาสตร์และยุทธวิธีทางการทหาร ทหารไทยจะเสียเปรียบ เนื่องจากมุมยิงที่สูง ต่างกับทหารกัมพูชาที่มีมุมยิงที่ต่ำลง ใครยิงต่ำยิงกดคนนั้นได้เปรียบ แต่เชื่อเถอะว่า ความสามารถของหน่วยทหารกองกำลังสุรนารีจะไม่ทำให้คนไทยผิดหวังแน่นอน
นอกจากนี้ นายไทกรยังเชื่อว่า สาเหตุที่กองกำลังของทั้งสองประเทศต้องมาเผชิญหน้ากัน มาจากการบริหารงานผิดพลาดของรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เริ่มต้นเมื่อปี 2546 กองกำลังสุรนารี เห็นแล้วว่า กองกำลังติดอาวุธ และคนกัมพูชา เข้ามาปักหลักยึดพื้นที่บริเวณอุทยานแห่งชาติเขาพระวิหาร เป็นการรุกร้ำเขตแดนแผ่นดินและอำนาจอธิปไตยของราชอาณาจักรไทย จึงทำเรื่องผ่านมา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมตามขั้นตอนไปถึงนายกรัฐมนตรี ขอใช้กำลังทางทหาร ผลักดันชาวกัมพูชาและทหารกัมพูชาออกจากเขตแดนไทย
แต่เชื่อหรือไม่ พ.ต.ท.ทักษิณ กลับสั่งให้ทหารยุติการปฏิบัติการดังกล่าว เช่นกันเมื่อครั้งที่กองกำลังติดอาวุธของว้าแดงยิงปืนใหญ่ เข้ามาในเขตพระราชทาน โครงการในพระราชดำริที่ จ.เชียงราย กองทัพภาคที่ 3 ได้ตอบโต้อย่างรุนแรงเพื่อผลักดัน และย้ำห็เห็นว่า ว้าแดงไม่มีสิทธิ์ยิงปืนใหญ่เข้ามาในเขตไทย ผลลัพท์ที่กองทัพได้ พ.ต.ท.ทักษิณ ออกมาตำหนิ แมทัพภาคที่ 3 อย่างรุนแรง กล่าวหากระทำการแบบโอเวอร์รีแอ็กต์ (Over react)
“ตั้งแต่ พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นนายกรัฐมนตรี จิตใจไม่เคยรักษาผลประโยชน์ รักษาศักดิ์ศรีของชาติไทยแม้แต่ครั้งเดียว สนใจแต่ผลประโยชน์ในพม่า และกัมพูชา แล้วอย่างนี้เราจะไม่ให้เรียกว่า คนขายชาติได้อย่างไร สรุปให้เห็นว่า ปัญหาชาติบ้านเมือง ทั้งการโกงบ้านโกงเมืองชนิดแหลกลาญ จงใจขายอธิปไตย เอื้อให้ต่างชาติ ล้วนทำไปเพื่อสนองประโยชน์จของ พ.ต.ท.ทักษิณ และครอบครัวทั้งนั้น”
นายไทกร กล่าวในช่วงท้ายด้วยว่า เวลาบ่าย 4 โมงของวันที่ 19 ก.ค.มีรถตู้โฟล์คสวาเกน ราคาคันละ 4 ล้านบาทอย่างดี 3 คัน วิ่งไปจอดที่ปราสาทหินพิมาย อ.พิมาย จ.นครราชสีมา คนที่อยู่ในรถ เป็นทั้งผู้หญิงผู้ชาย มีคนคุ้มกันอย่างดี ในรถนั้นทุกคนล้วนแต่งชุดนุ่งขาวห่มขาว ประสงค์ไปทำพิธีอะไรสักอย่างหนึ่ง บริเวณปราสาทหินพิมาย และหนึ่งในนั้นเป็นน้องสาวคนสุดท้องของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชาวบ้านจำได้ เลยกรูกันออกมาขับไล่ พร้อมตะโกนคำว่า “ออกไป ไอ้พวกขายชาติ” พวกชุดนุ่งขาวห่มขาวที่ลงมาจากรถเห็นท่าไม่ดี จึงรีบวิ่งหางจุกตูกขึ้นรถโฟล์คสลาเกนคันดังกล่าวกลับไปทันที