“สาธิต” จวกข้อเสนอ “เหลิม” โหวตกลับนายกฯ “หมัก” ปชป.โต้ “หมัก” ยกข้อตกลงไอเอ็มเอฟมาพูด ต่างกรรมต่างวาระคนละ รธน.หวังบิดเบือนแก้ตัวน้ำขุ่นๆ โยนบาปให้คนอื่น ระบุยิ่งดิ้นยิ่งเจ็บ แขวะอย่าเอาสีข้างเข้าถู
วันนี้ (13 ก.ค.) นายสาธิต ปิตุเตชะ รองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีที่ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รมว.มหาดไทย เสนอให้ นายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี ลาออกเพื่อให้โหวตกลับมาใหม่ว่า ไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นข้อเสนอของคนจบดอกเตอร์ เป็นข้อเสนอที่ไร้สาระ ถ้านายกฯ ลาออกแล้ว การเลือกคนกลับเข้ามาใหม่ก็ไม่ควรเป็นคนเดิม เพราะถ้ายังเป็นคนเดิมก็ไม่มีเหตุที่นายสมัครจะต้องลาออก หาก ร.ต.อ.เฉลิมต้องการให้รัฐมนตรีและครม.พ้นผิด การลาออกของนายกฯ ไม่ก็ไม่ทำให้พ้นความผิดไปได้ จึงไม่ใช่สักแต่คิดและพูด แต่ควรนึกถึงผลระทบความเชื่อมั่นของนักลงทุนและประชาชนที่มีต่อ ครม. การพูดอะไรควรไตร่ตรองให้ดี
ส่วนกรณีปราสาทพระวิหารที่ ร.ต.อ.เฉลิม ระบุว่า กระทรวงการต่างประเทศเสนอมาอย่างไร ครม.ก็ทำอย่างนั้น แต่ถ้า ครม.และรัฐมนตรีจะผิดก็ต้องเป็นเรื่องที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอมาอย่างแล้วรัฐมนตรีทำอีกอย่างจึงจะเรียกว่าผิด ถ้าเป็นอย่างนั้นให้อธิบดีหรือปลัดกระทรวงเป็นรัฐมนตรีก็ได้ ดังนั้น ประเทศนี้ก็ไม่ต้องมีรัฐมนตรี แต่คนที่เป็นรัฐมนตรีเมื่อข้าราชการประจำเสนออะไรมาก็ต้องอาศัยข้อมูลรอบด้านและใช้เป็นเหตุผลในการตัดสินใจบนพื้นฐานของประโยชน์ของประเทศ และประชาชนได้ประโยชน์สูงสุด อย่างไรก็ตาม ที่มีข่าวว่า ร.ต.อ.เฉลิมจะหลุดจากตำแหน่งในการปรับ ครม.ครั้งนี้ ตนคิดว่าสมควรและเหมาะสมแล้วที่พรรคพลังประชาชนจะตัดสินแล้วให้ ร.ต.อ.เฉลิม ไปเลี้ยงหลานที่บ้าน หรือเลี้ยงลูกที่ฝั่งธนฯ
นายสาธิต กล่าวอีกว่า ขอฝากให้ ร.ต.อ.เฉลิม ไปดูกรณีที่ดิน จ.ภูเก็ต ที่ถูกโยกย้ายนอกฤดูกาลภายหลังจากที่พรรคประชาธิปัตย์อภิปรายไม่ไว้วางใจเรื่องที่ดินเกาะราชาใหญ่ และออกที่ดินทับที่สาธารณะ ว่าเป็นการใช้อำนาจรัฐไปกลั่นแกล้งข้าราชการหรือไม่
ด้าน นายอลงกรณ์ พลบุตร รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า ที่นายกฯ บอกในรายการสนทนาประสาสมัคร มีการบิดเบือนข้อเท็จจริและกล่าวเท็จจงใจใส่ร้ายพรรคประชาธิปัตย์กรณีที่มีการยื่นถอดถอนนายนพดล ปัทมะ รมว.ต่างประเทศ ทั้งๆ ที่พรรคประชาธิปัตย์ยื่นถอดถอนก่อนที่นายนพดลจะลาออกเป็นการดำเนินการต่อเนื่องมาจากการอภิปรายไม่ไว้วางใจ เนื่องจากการกระทำดังกล่าวศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่าเป็นการกระทำที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญอันเป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศ และเป็นไปตามกรอบของรัฐธรรมนูญเป็น พรรคประชาธิปัตย์ไม่ได้มีจุดประสงค์ร้าย ดังนั้น เมื่อทำผิดรัฐธรรมนูญก็ไม่สมควรที่ดำรงตำแหน่งต่อไปและควรได้รับโทษสูงสุด ซึ่งนายกฯ ควรจะยอมรับคำตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญ ยอมรับความผิด ซึ่งพรรคได้เคยเสนอแนะไปก่อนหน้านี้แล้วว่าการขึ้นทะเบียนมรดกโลกปราสาทพระวิหารควรเป็นการดำเนินการร่วมกันของสองประเทศ แต่ปรากฏว่ารัฐบาลกลับปล่อยให้ทางกัมภูชา ไปขึ้นทะเบียนฝ่ายเดียวจนสร้างวิกฤตให้รัฐบาลเสรียนภาพสั่นคลอน ประชาชนสองประเทศไม่เข้าใจกัน ซึ่งเป็นเพราะรัฐบาลดื้อดึงไม่ฟังเสียงฝ่ายค้าน นักวิชาการ สื่อมวลชนติติง ดังนั้น รัฐบาลต้องรับผิดชอบต่อปัญหาที่เกิดขึ้น
นายอลงกรณ์ กล่าวต่อว่า ในวันอังคารที่ 15 ก.ค. คณะกรรมการกิจการชายแดนของสภาฯ จะมีการประชุมกัน ซึ่งกรรมาธิการในส่วนของพรรคประชาธิปัตย์จะเสนอให้มีการพิจารนาเรื่องนี้ โดยเชิญกรมสนธิสัญญา กรมแผนที่ทหาร และนายปองพล อดิเรกสาร ประธานคณะกรรมการมรดกโลกไทยมาชี้แจง โดยเฉพาะประเด็นร่างแผนผังที่ปรับปรุงแล้ว ซึ่งเป็นพื้นที่ที่จะต้องจัดการร่วมของ 7 ชาติ แต่แปลกประหลาดที่ฝ่ายไทยไม่มีแผนผังดังกล่าวอยู่ในมือ การให้กัมพูชาขึ้นทะเบียนหมรกโลกฝ่ายเดียวจะส่งผลต่อการสูญเสียดินแดนและอธิปไตย ดังนั้น คณะกรรมาธิการจะตรวจสอบ และลงไปดูพื้นที่เพื่อรับฟังความคิดเห็นสร้างความเข้าใจ และสร้างความสัมพันธ์อันดีของทั้ง 2 ประเทศที่อาศัยอยู่บริเวณดังกล่าว
ด้าน นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า กรณีที่นายกฯ พูดพาดพิงพรรคประชาธิปัตย์สมัยที่เป็นรัฐบาลได้ทำข้อตกลงกับไอเอ็มเอฟหลายประการจนทำให้ประเทศมีปัญหา แล้วทำไมจึงไม่มีปัญหา แต่พอนายกฯ มาเป็นรัฐบาล และทำแถลงการร่วมกับกัมพูชากลับมีปัญหา จะเอากันขั้นติดคุกหรือประหารชีวิตนั้น ถ้าจำไม่ผิด สมัยที่รัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ทำข้อตกลงกับไอเอ็มเอฟมีความต้องการให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณา ปรากฏว่ามีการชี้ว่าการดำเนินการไม่ขัดต่อรัฐธรรมนูญและไม่ได้ทำอะไรผิดกฏหมาย ดังนั้นจะนำกรณีดังกล่าวมาเปรียบเทียบไม่ได้ เพราะเป็นการใช้รัฐธรรมนูญคนละฉบับ สมัยพรรคประชาธิปัตย์ให้รัฐธรรมนูญ 2540 แต่ปัจจุบันใช้ 2550 ซึ่งข้อเท็จจริงแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง เป็นการดำเนินการต่างกรรมต่างวาระ ดังนั้น นายกฯ อย่าเอาเรื่องที่ทำผิดพลาดมาเปรียบเทียบกับสมัยรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ เพราะเป็นการส่อเจตนาบิดเบือนข้อเท็จจริงให้ประชาชนเข้าใจผิด และมีความรู้สึกว่าท่านไม่ได้ทำผิด ทั้งๆ ที่การดำเนินการเป็นคนละเรื่องคนละแบบ คนละรัฐธรรมนูญ นี่คือการแก้ตัวแบบน้ำขุ่นๆ โยนบาปให้คนอื่น
“อย่าดิ้นให้มากไปกว่านี้ เพราะยิ่งดิ้นจะยิ่งทำให้ท่านและคณะติดกับดัก ยิ่งดิ้นยิ่งเจ็บ ถ้ารัฐบาลยอมรับความจริง ไม่ห่วงแต่ตัวเองปัญหาจะไม่เกิด แต่ปัญหาเกิดขึ้นในขณะนี้ เพราะดื้อเอาสีข้างเข้าถู ไม่รู้ว่าวันนี้ถลอกไปถึงกระดูกหรือยัง สงสัยจะเอาสีข้างเขาถูจนเห็นซี่โครง แล้วเอาซี่โครงไปต้มฟัก” นายองอาจกล่าว
นายอลงกรณ์ พลบุตร รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า การทำข้อตกลงกับไอเอ็มเอฟ เป็นการดำเนินการหลังจากรัฐบาล พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ลดค่าเงินบาท จนต้องลาออก พอรัฐบาลนายชวน หลีกภัย มาเป็นรัฐบาล ได้มรกอบกู้วิกฤติ ไม่รู้ว่านายสมัครฟั่นเฟือน หรือเลอะเลือนหรืออย่างไร ดังนั้น นายสมัครควรพูดบนข้อเท็จจริง เนื่องจากในขณะนี้กับปัจจุบันเกิดต่างกรรมต่างวาระต่างรัฐธรรมนูญ