ผบ.สูงสุด ชี้กรณี พล.อ.ปฐมพงษ์ ปราศัยร่วมกับพันธมิตรฯ เป็นสิทธิตามระบอบประชาธิปไตย และอนุญาตให้เป็นพิเศษ ยันไม่ได้แต่งเต็มยศขึ้นเวที แต่ติงการใส่เครื่องแบบแสดงความคิดอาจทำให้องค์กรเสียเอกภพ ระบุทหารทุกคนจงรักภักดีและหวงแหนประเทศชาติ แต่อาจไม่ได้แสดงออก เชื่อ “หมัก” เข้าใจ แต่อาจต้องเข้าชี้แจง
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังจากที่ศาลรัฐธรรมนูญได้วินิจฉัยให้แถลงการณ์ร่วมไทย-กัมพูชาขัดรัฐธรรมนูญมาตรา 190 และศาลฎีกาแผนกคดีเลือกตั้งได้พิพากษาให้ นายยงยุทธ ติยะไพรัช ได้ใบแดงในคดีทุจริตเลือกตั้ง รวมทั้งยังมีคดีต่างๆ ที่ทยอยออกมาอย่างต่อเนื่อง จนส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพต่อรัฐบาลนั้น ปรากฏว่ามีความเคลื่อนไหวที่น่าสนใจตลอดวันที่ 9 ก.ค.ที่ผ่านมา โดยในช่วงบ่าย นายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม ได้เรียก พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผบ.ทบ.เข้าพบที่ทำเนียบรัฐบาล แม้จะมีการระบุว่าเป็นการหารือเรื่องสถานการณ์ภาคใต้ แต่คาดว่าจะมีการหารือเกี่ยวกับสถานการณ์การเมืองที่เกิดขึ้นในขณะนี้
มีรายงานด้วยว่า ในช่วงเช้าวันเดียวกัน สำนักงานเลขานุการ รมว.กลาโหม ได้แจ้งไปยังกองทัพอากาศว่า นายสมัครต้องการเดินทางมาตรวจเยี่ยมกองทัพอากาศ ในเวลา 13.00 น. วันที่ 10 ก.ค.นี้ ทั้งที่ก่อนหน้านี้ยังไม่มีกำหนดการออกมา อย่างไรก็ตาม มีการวิเคราะห์ว่ารัฐบาลได้พยายามให้สนับสนุนทุกเหล่าทัพในการสนับสนุนงบประมาณในการพัฒนาอาวุธยุทโธปกรณ์มากขึ้นในงบประมาณปี 2552 ท่ามกลางภาวะที่รัฐบาลต้องได้รับการกดดันอย่างหนักจากหลายเรื่อง
ที่สนามบินทหาร กองบิน 6 เมื่อเวลา 17.00 น.วันเดียวกัน พล.อ.บุญสร้าง เนียมประดิษฐ์ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด กล่าวถึงกรณีที่ พล.อ.ปฐมพงษ์ เกษรศุกร์ ประธานคณะที่ปรึกษากองบัญชาการทหารสูงสุด ใส่เครื่องแบบเต็มยศขึ้นปราศรัยบนเวทีพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยว่า พล.อ.ปฐมพงษ์ ไม่ได้ใส่เครื่องแบบเต็มยศ เพราะคำว่าเครื่องแบบเต็มยศหมายถึงเครื่องแบบที่เข้าร่วมพิธีสวนสนามทหารรักษาพระองค์ ซึ่งได้อ่านรายงานที่ส่งขึ้นมาบอกว่าใส่เครื่องแบบเต็มยศ ตนก็คิดว่า พล.อ.ปฐมพงษ์ คงไม่ถึงขนาดนั้น แต่การสวมเครื่องแบบทหารขึ้นไปก็ต้องพิจารณาดูความเหมาะสมด้วย
พล.อ.บุญสร้าง กล่าวว่า แม้การไปร่วมกับทางพันธมิตรฯ เป็นการแสดงออกทางประชาธิปไตย ตนก็อนุญาตเป็นพิเศษเป็นคำพูดที่ให้สัมภาษณ์เช่นนี้ แต่ก็เป็นการรู้กันว่าต้องเป็นการไปร่วมโดยต้องไม่แต่งเครื่องแบบ และนอกเวลาราชการ ความจริงตนไว้ใจในความเป็นผู้ใหญ่ของทหารทั้งหลายว่าจะไปพูดเรื่องอะไรด้วย ซึ่งมันระบุอยู่ในระเบียบ ข้อบังคับ และคำชี้แจงต่างๆ ก็ไม่ว่ากัน แต่การสวมเครื่องแบบขึ้นไปพูดมันจะมีนัยเหมือนกัน มันเป็นความรู้สึกของความเหมาะสม
ผบ.สส.กล่าวว่า ตนเรียนเตรียมทหารมาเหมือนกับ พล.อ.ปฐมพงษ์ การจะสวมเครื่องแบบจะไปเดินตลาดซื้อเป็ด ซื้อปลามันทำไม่ได้ ซึ่งคงไม่เหมือนกัน ตรงนี้มันเป็นการแสดงออก บางคนอาจถือว่าเป็นเรื่องมีเกียรติมาก แต่การแสดงออกทางประชาธิปไตย หรือการสวมเครื่องแบบเป็นการแสดงสัญลักษณ์เช่นนี้ บางคนอาจเข้าใจว่าเป็นทหาร อาจเป็นตัวองค์กรหรือกองทัพ ถ้าหากมีเรื่องของการแสดงออก คนกลุ่มหนึ่งแต่งเครื่องแบบไปมันเหมือนเป็นตัวองค์กร คนอีกจำนวนไม่น้อยอาจไม่คิดอย่างนั้น คือคนในองค์กรเดียวกันมันก็เป็นการไม่ยุติธรรมกับคนที่ไม่เห็นด้วย ถ้าหากจะแสดงออกในเชิงความคิดไม่จำเป็นต้องแต่งเครื่องแบบ เพราะการแสดงความคิดไม่ได้มาจากเครื่องแบบ ชุดอะไรก็คิดได้ การแต่งเครื่องแบบนั้นก็แสดงออกถึงองค์กร คนส่วนใหญ่ในองค์กรอาจไม่คิดอย่างนั้น บางครั้งเราก็ต้องเคารพคนอื่นด้วย ไม่ใช่ไปยัดเยียด เมื่อมีความไม่เป็นเอกภาพทางพฤติกรรมแล้ว มันก็จะเสียความเป็นเอกภาพทางความคิดเชิงความรู้สึก ซึ่งเป็นเรื่องที่ร้ายแรง อย่างที่บอกว่าอย่าทำหินแตก เพราะฉะนั้นเอกภาพทางความคิด ทำให้เกิดเอกภาพในทางปฏิบัติ แต่ถ้าไม่มีเอกภาพทางการปฏิบัติ ก็ทำให้เสียเอกภาพทางความคิด และทำให้เสียเอกภาพทางด้านอื่นเช่นในยามสงคราม รบกับเขาก็แพ้
“ยืนยันว่าทหารทั้งหลายมีความจงรักภักดี มีความหวงแหนแผ่นดินจะไปแสดงออกหรือไม่แสดงออก เขาก็หวงแหน บางคนเขาก็บอกว่าเขาหวงแหนโดยการทำหน้าที่ที่ตนเองได้รับมอบในแต่ละวันให้ดีที่สุด ถ้าออกไปด้วยองค์กรทั้งหลายก็ไม่มีการเดินหน้า ถ้าหากต้องไปแสดงออกตลอดเวลา ประเทศจะเดินต่อไปได้อย่างไร ผมเชื่อว่าทหารทั้งหมด 90 เปอร์เซ็นต์เขาคิดอย่างที่ผมคิด เพราะฉะนั้นเขาจึงไม่แสดงออก เพราะโอกาสที่เขาแสดงออกในความจงรักภักดีมีอยู่แล้ว เมื่อมีศึกสงครามเขาต้องออกไป ทหารไทยไม่เคยถอยหนี ซึ่งการแสดงออกถึงความจงรักภักดีทหารไทยมีโอกาสแสดงออกมามากมาย และรักษามามากแล้ว แต่ถ้ามาบอกว่าไม่ออกไปแล้วไม่จงรักภักดีถือว่าไม่ยุติธรรมเลย และเป็นความคิดที่ผมไม่เห็นด้วย”
เมื่อถามว่า ไม่เห็นด้วยกับ พล.อ.ปฐมพงษ์ ใช่หรือไม่ พล.อ.บุญสร้าง กล่าวว่า ในเชิงความคิด เราอยู่ในองค์กรเดียวกัน สนิทสนมพอสมควร ในเชิงความคิดอาจตรงหรือไม่ตรงกันบ้าง คงไม่เป็นไร แต่ถ้าเขาได้ยินตนพูดคงเข้าใจ
เมื่อถามว่าจะตักเตือนหรือไม่ พล.อ.บุญสร้าง กล่าวว่า ท่านเป็นจอมพลแล้ว ไม่อยากตักเตือนแล้ว เดี๋ยวท่านก็เกษียณ ทหารก็ไปกันเรื่อยแต่ไม่มาก แต่เขาไม่ได้ใส่เครื่องแบบไป อาจจะไปยืนฟัง แต่ถ้าขึ้นไปพูดต้องระวังเรื่องเนื้อหาเพราะมีกติกาอยู่
เมื่อถามว่า มีการมองว่าภริยาของ พล.อ.ปฐมพงษ์ อยู่พรรคประชาธิปัตย์อาจจะเกี่ยวเนื่องกับการเมือง พล.อ.บุญสร้าง กล่าวว่า ไม่รู้ ต้องถามว่าเขาคิดเช่นไร เขาคงไม่คิดในเชิงเกี่ยวข้องกับพรรคฝ่ายค้าน แต่ในเชิงความคิดคงต้องใช้เหตุผล
เมื่อถามว่า เหมาะสมหรือไม่ ที่ด่ารัฐบาลทั้งที่ นายกฯ ก็เป็นผู้บังคับบัญชา พล.อ.บุญสร้าง กล่าวว่า ก็เป็นเรื่องส่วนตัว แต่ถ้าเป็นเรื่องส่วนรวม กองทัพมีหน้าที่รับใช้รัฐบาล เราไม่ได้มีหน้าที่รับใช้พรรคการเมือง
ผู้สื่อข่าวถามว่า หนักใจหรือไม่ที่มีผู้ใต้บังคับบัญชาเช่นนี้ พล.อ.บุญสร้าง กล่าวว่า ไม่อยากพูดอะไร พูดไปก็ป่วยการ ลูกน้องตนมีร้อยแปดอยู่แล้ว แต่ทุกคนคิดว่าคงไม่มีปัญหาอะไรมากมาย คิดว่าเรื่องนี้นายกฯ เข้าใจดี เพราะผ่านอะไรต่ออะไรมาเยอะ บางเรื่องคนคิดว่าว่าตนต้องชี้แจง นอกจากบางครั้งที่กลัวท่านเข้าใจผิด แต่ท่านผ่านร้อนผ่านหนาวมามากแล้ว ท่านมองทหารในแง่ดีอยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องชี้แจง ท่านเข้าใจทะลุปรุโปร่ง ไม่จำเป็นเลย แต่เพื่อความสบายใจอาจจะไปก็ได้
เมื่อถามว่า จุดยืนของทหารหากรัฐบาลไม่สามารถประคับประคองสถานการณ์ได้ พล.อ.บุญสร้าง กล่าวว่า เรื่องการเมืองเป็นเรื่องซับซ้อนยุ่งยาก ตนเป็นทหารเดินดินและเพิ่งลงมาจากเครื่องบินด้วย เมื่อถามว่าทหารมีแนวคิดเข้าไปแก้วิกฤตการเมืองหรือ พล.อ.บุญสร้าง กล่าวว่า ทหารจะไปแก้วิกฤตอะไร คือ เราแค่ไม่สร้างวิกฤต แต่ไม่ใช่ไปแก้วิกฤต ด้วยการสร้างวิกฤต คงไม่ใช่อย่างนั้น