นักประวัติศาสตร์ “เทพมนตรี ลิมปพยอม” เปิดเอกสารเขมรนำเสนอต่อที่ประชุมมรดกโลก พบแผนที่เป็นคนละฉบับกับที่ “นพเหล่” นำมาเสนอต่อสื่อ อธิบดีกรมศิลปากร “เดโช สวนานนท์” ชี้ หากเอกสารดังกล่าวเป็นจริง ประวัติศาตร์จะซ้ำรอยไทยถูกเขมรสอดไส้ เสียประโยชน์อีกครั้ง
วานนี้ (7 ก.ค.) นายเทพมนตรี ลิมปพยอม นักวิชาการอิสระ ด้านประวัติศาสตร์ ให้สัมภาษณ์ในรายการ คมชัดลึก ทางสถานีโทรทัศน์เนชั่นแชนนัล ดำเนินรายการโดย จอมขวัญ หลาวเพชร ถึงกรณีการขอขึ้นทะเบียนเขาพระวิหารเป็นมรดกโลกของกัมพูชา ว่า ปราสาทเขาพระวิหารได้ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก เพราะทางกัมพูชาเตรียมเอกสารต่างๆ ที่ระบุว่า ไทยเห็นชอบ และสนับสนุนกัมพูชาขึ้นทะเบียนเขาพระวิหาร มีความสมบูรณ์มาก
ทั้งนี้ นายเทพมนตรี ได้นำเอกสารฉบับหนึ่ง ซึ่งอ้างว่าได้รับมาโดยบังเอิญจากคนรู้จักที่กัมพูชา และน่าเชื่อได้ว่าเป็นเอกสารฉบับจริงที่กัมพูชาจะนำไปเสนอต่อที่ประชุมคณะกรรมการมรดกโลก เพราะเป็นเอกสารที่มีตราประทับอย่างถูกต้องของทางการกัมพูชา โดยในเอกสารดังกล่าวได้จัดทำอย่างเป็นขั้นเป็นตอน ว่า ทางการกัมพูชาดำเนินการอย่างใดบ้าง และทางการไทยยอมรับโดยการเซ็นลงนามร่วมเอาไว้แล้ว พร้อมมีภาพผู้นำไทย และรัฐมนตรีต่างประเทศของไทย ไปเยือนกัมพูชาและจับมืออย่างสนิทสนม โดยเอกสารดังกล่าวได้บรรยายภาพ ว่า ทางการไทยได้ยินดีและเห็นชอบกับการขึ้นทะเบียนครั้งนี้แล้ว อีกทั้งในเอกสารดังกล่าวยังมีแผนที่ที่กัมพูชาเสนอขึ้นทะเบียนด้วย พบว่า เป็นแผนที่คนละฉบับกับที่ นายนพดล ปัทมะ รมว.ต่างประเทศ เคยนำเสนอให้สื่อมวลชนดู เพราะแนวเขตที่กัมพูชาเสนอขึ้นทะเบียน ได้กินพื้นที่ในดินแดนทับซ้อนส่วนหนึ่งด้วย ซึ่งหากเอกสารดังกล่าวเป็นเอกสารของจริง ไทยก็ต้องสูญเสียสิทธิ์ในพื้นที่ทับซ้อนดังกล่าวไปด้วย
ส่วนทางออกในเรื่องนี้ นายเทพมนตรี ยืนยันว่า ตนเคยเสนอแนะไปแล้ว ว่า ให้ นายปองพล อดิเรกสาร ในฐานะคณะกรรมการมรดกโลกของไทย ขอถอนตัวออกจากการเป็นภาคีสมาชิกของคณะกรรมการมรดกโลก และขอถอนโบราณสถานของไทยออกจากการเป็นมรดกโลก ซึ่งเชื่อว่าหากทำอย่างนี้ คณะกรรมการประเทศต่างๆ น่าจะหันมาฟังไทยบ้าง แต่หากไม่ทำเช่นนั้น โอกาสที่จะหยุดยั้งการขึ้นทะเบียนเขาพระวิหารก็คงไม่มีแล้ว และตอนนี้เท่าที่ได้ข่าวมาจากคนรู้จักที่กัมพูชา ก็ทราบว่า ตอนนี้ชาวกัมพูชาก็เตรียมฉลองกันล่วงหน้าแล้ว เพราะเขาเชื่อว่าการขอขึ้นทะเบียนครั้งนี้สำเร็จแน่นอน
ด้าน นานเดโช สวนานนท์ อดีตอธิบดีกรมศิลปากร กล่าวว่า หากเอกสารดังกล่าวที่ นายเทพมนตรี นำมาแสดงเป็นเอกสารที่กัมพูชานำไปเสนอต่อคณะกรรมการมรดกโลก ถือเป็นเรื่องที่น่าเป็นห่วงมาก เพราะคงเป็นที่แน่นอนแล้วว่ากัมพูชาคงขอขึ้นทะเบียนสำเร็จ และหากเป็นเช่นนั้นจริง ประวัติศาสตร์ก็จะกลับไปเหมือนกับปี 2505 ที่กัมพูชาทำการสอดไส้ นำภาพถ่ายการทำความร่วมมือต่างๆ ไปอ้างอิง แล้วบอกว่าไทยยอมรับแล้วว่าเขาพระวิหารเป็นของกัมพูชา ซึ่งนับเป็นเหตุการณ์ที่แสนเจ็บปวดของคนไทย ส่วนครั้งนี้หากเป็นเช่นนั้นจริง เมื่อกระทรวงการต่างประเทศ และ นายปองพล กลับมาถึงไทย คงต้องนำเอกสารทั้งหมดมาตีแผ่ต่อสื่อมวลชนและประชาชนให้ได้รับรู้ ว่าเกิดอะไรขึ้น