“องอาจ” โต้ “หมัก” อย่าบิดเบือนการทำหน้าที่ซักฟอกปราสาทพระวิหาร ไม่เกี่ยวเปลี่ยนขั้วการเมือง เชื่อเข้าข่าย รธน. เตือนอย่าโยนผู้ร้ายให้ “ขิงแก่” ยอมรับกระแสข่าวปฏิวัติตัวเองมีมูล ตัดทอนเจ้าของหุ่นเชิดหนีกระบวนการชั้นศาล
วันนี้ (6 ก.ค.) นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีนายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี ออกมาระบุว่ามีการนำเรื่องปราสาทพระวิหารมาถล่มในสภา จนก่อให้เกิดการปุกปั่น ยุยง เพื่อหวังผลทางการเมืองว่า เรื่องนี้ทุกภาคส่วนของสังคมให้ความสำคัญ ไม่ใช่พรรคนำไปถล่มหรือหวังผลทางการเมืองแต่อย่างใด เรื่องนี้เกิดขึ้นก่อนที่พรรคประชาธิปัตย์จะอภิปรายในสภา แต่ที่สังคมให้ความสนใจเพราะการดำเนินการของรัฐบาลมีวาระซ่อนเร้น มีการดำเนินการอย่างไม่ชอบมาพากล จะเห็นได้ว่าการอภิปรายของพรรคประกอบด้วยเหตุผลที่ชัดเจน และมีข้อมูลที่สามารถพิสูจน์ได้ ดังนั้น นายกรัฐมนตรีอย่างนำเรื่องนี้มาบิดเบือน กล่าวใส่ร้ายพรรคการเมืองที่ทำหน้าที่อย่างถูกต้อง และต้องขอบคุณพรรคประชาธิปัตย์ที่ได้นำข้อมูลมาให้รับทราบ มากกว่าการออกมากล่าวตำหนิติเตือน
นายองอาจ กล่าวว่า การดำเนินการของรัฐบาลเข้าข่ายขัดรัฐธรรมนูญมาตรา 190 โดยมีความพยายามบิดเบือนว่าการลงนามในแถลงการณ์ร่วมไทย-กัมพูชา ไม่น่าจะเข้าข่ายตามรัฐธรรมนูญมาตรา 190 เพราะสิ่งที่รัฐมนตรีต่างประเทศกล่าวอ้างว่าไม่ใช่สนธิสัญญา แม้ว่าในรัฐธรรมนูญจะไม่มีคำว่าสนธิสัญญา แต่หลายข้อความชัดเจนว่าหนังสือสัญญาใด ที่มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงอาณาเขต หรือกระทบอธิปไตยของไทย ตามกฎหมายระหว่างประเทศ จะต้องได้รับการเห็นชอบจากสภา และในมาตรานี้ระบุชัดเจนว่า การทำสัญญาใดๆ จะต้องไม่กระทบต่อเศรษฐกิจ สังคมของประเทศ เพราะนี่คือเจตนาของรัฐธรรมนูญมาตรา 190 เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์เหมือนกับการไปเซ็นสัญญาลงนามในเขตการค้าเสรี หรือเอฟทีเอ ดังนั้นจึงต้องผ่านความเห็นชอบของสภาก่อน เพราะที่ผ่านมาการลงนามเอฟทีเอไม่ได้ผ่านกระบวนการรัฐสภา ดังนั้น รัฐธรรมนูญใหม่จึงต้องหาทางป้องกันเพื่อไม่ให้เกิดความเสียหายต่อประเทศชาติในอนาคต
โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า ขณะนี้มีหลายคำถามที่ต้องการรอคำตอบจากรัฐบาล แต่จนถึงขณะนี้ยังไม่ได้รับความชัดเจน คือ 1.ทำไมรัฐบาลจึงรีบเออออห่อหมก ให้มีการลงนามในแถลงการณ์ร่วมเพื่อให้กัมพูชาขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเพียงฝ่ายเดียว ในช่วงเดียวกับที่มีการออกมาระบุจากคนกัมพูชาว่า อดีตนายกรัฐมนตรีของไทยจะเข้าไปลงทุนในกัมพูชา 2.ทำไมรัฐบาลปิดบังเอกสารสำคัญที่เกี่ยวข้องกับการขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหาร ซึ่งขณะนี้เริ่มมีเอกสารใหม่ๆ ทยอยออกมาตลอดเวลา โดยเฉพาะการลงนามของรัฐมนตรีต่างประเทศของไทยที่สนับสนุนกัมพูชา ที่รุงปารีส ในวันที่ 22 พ.ค.ก่อนที่จะมีการขอมติคณะรัฐมนตรีในช่วงกลางเดือน มิ.ย. และตรงกับข้อสังเกตที่ผู้นำฝ่ายค้านออกมาเปิดเผยว่าเป็นช่วงเดียวกันกับที่ต้องมีการเสนอเอกสารทั้งหมดให้คณะกรรมการมรดกโลกพิจารณาล่วงหน้าก่อน 6 สัปดาห์
นายองอาจ กล่าวว่า 3.ทำไมรัฐบาลรีบร้อนลงนามในแถลงการณ์เมื่อวันที่ 22 พ.ค.ก่อนที่จะมีการขอมติ ครม.จนเป็นเหตุให้กัมพูชาแนบเอกสารฉบับดังกล่าวเพื่อประกอบการพิจารณาของคณะกรรมการมรดกโลก และ 4.ทำไมรัฐบาลโดยรัฐมนตรีต่างประเทศ เพิ่งออกมาระบุว่า รัฐบาล พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ อดีตนายกรัฐมนตรี ให้การสนับสนุนอย่างแข็งขัน ในการขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหาร ตั้งแต่การประชุมคณะกรรมการมรดกโลกครั้งที่ 31 ที่ประเทศนิวซีแลนด์ หรือเพื่อต้องการโยนบทผู้ร้ายให้ผู้อื่นหรือไม่ ซึ่งความจริง รัฐบาล พล.อ.สุรยุทธ์ สนับสนุนอย่างแข็งขันที่จะให้ประเทศไทยและกัมพูชา ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกร่วมกัน แต่รัฐบาลชุดนี้ไม่ดำเนินการตาม กลับไปลงนามยินยอมให้กัมพูชาขึ้นทะเบียนเพียงฝ่ายเดียว ซึ่งทั้งหมดนี้รัฐบาลไม่สามารถตอบคำถามได้แม้แต่ข้อเดียว
นายองอาจ กล่าวถึงกระแสข่าวรัฐบาลจะปฏิวัตรัฐประหารตัวเอง เพราะเกรงว่าจะแพ้คดี ที่อยู่ในชั้นศาลและอาจจจะทำให้เจ้าของพรรคตัวจริงติดคุกว่า กระแสข่าวที่เกิดขึ้นน่าจะมีความเป็นไปได้ เพราะหลายคดีที่เกี่ยวข้องกับเจ้าของพรรคตัวจริง ขึ้นสู่การพิจารณาของศาล ที่อาจจะมีผลทำให้เจ้าของพรรคตัวจริงติดคุกได้ การปฏิบัติจึงเป็นเหมือนการหาทางออกเพื่อหนีความผิด เพราะขณะนี้ปรากฎหลักฐานชัดเจนหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นกรณีการให้สินบนศาล 2 ล้านบาท ที่ถูกจับได้ และกรณีของความพยามยามแก้ไขรัฐธรรมนูญ แต่ถูกประชาชนจับได้ไล่ทัน ดังนั้นจึงเป็นความพยายามของผู้ที่เป็นเจ้าของพรรคตัวจริงต้องการหาทางหลีกหลีความผิด ดังนั้นการปฏิวัติไม่น่าจะเกิดจากทหารเพียงฝ่ายเดียว อย่างไรก็ตาม พรรคประชาธิปัตย์ไม่สนับสนุนให้มีการปฏิวัติ และอยากให้ทุกอย่างเป็นไปตามครรลองของระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ซึ่งเป็นทางออกที่ดีที่สุดสำหรับสังคมไทย