“ภูวดล” แฉเอกสารกัมพูชาขอขึ้นทะเบียน “เขาพระวิหาร” เป็นมรดกโลก ตอกหน้า “นพดล” ขายชาติ-โยนบาปให้ “รัฐบาลสุรยุทธ์” ระบุชัดคำตัดสินของศาลโลกให้แค่ตัวปราสาทเท่านั้น ย้ำหากไร้ “พันธมิตรฯ” ปัญหาเรื่องสิทธิบริเวณพื้นที่ทับซ้อนถูกขายไม่มีเหลือ
คลิกที่นี่ เพื่อฟัง ดร.ภูวดล ทรงประเสริฐ ปราศรัย
เมื่อเวลาประมาณ 00.30 น.วันนี้ (5 ก.ค.) ดร.ภูวดล ทรงประเสริฐ อาจารย์ประจำคณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ขึ้นปราศรัยบนเวทีพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย หน้าทำเนียบรัฐบาล โดยกล่าวถึงเอกสารที่คณะรัฐมนตรีของประเทศกัมพูชาร่างขึ้นเพื่อเสนอปราสาทเขาพระวิหารขึ้นเป็นมรดกโลกว่า ก่อนที่ตนจะกล่าวถึงเอกสารของคณะรัฐมนตรีประเทศกัมพูชาได้พิมพ์ขึ้นเมื่อเดือนที่ผ่านมา ขออธิบายถึงภูมิหลัง คือ ประเทศไทยก่อนเมื่อก่อน ค.ศ.ที่ 13 นั้น จริงๆ แล้วมีอยู่อาณาจักรซึ่งอยู่ภายใต้อาณาจักรขอมโบราณ แต่ท้ายที่สุดอาณาจักรขอมเสื่อมลง เพราะเชื่อในลัทธิฮินดู และลัทธิมหายานมากเกินไป จนอาณาประชาชนเดือดร้อน
“ประเด็นคือ เมื่อมีการสถาปนาอาณาจักรสุโขทัย บังเอิญรัฐไทย ซึ่งชนชั้นปกครองมีสายตาอันยาวไกล ได้มีสัมพันธ์กับเจงกีสข่าน และกุบไลข่าน ทำให้เจริญรุ่งเรือง ขณะที่ขอมโบราณ หรือบรรพชนของเขมรเสื่อมลง จนรัฐไทยมีศักยภาพที่แข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ จนถึงที่สุดได้ครอบครองดินแดนเขมรโบราณ ต่อเนื่องมาจนถึงสมัยอยุธยา ขณะเดียวกันรัฐไทยก็เหมือนกับรัฐพม่า ที่สำคัญพม่าไปขับไล่มอญ แต่เราคบกับประเทศมหาอำนาจมาตั้งแต่ในอดีต ซึ่งเราช่วยกุบไลข่านยึดพม่ามาแล้วถึง 2 ครั้ง จนเป็นรอยแผลกับพม่ากับไทยโกรธกันมาจนถึงยุคหลัง” ดร.ภูวดล ระบุ
ส่วนปัญหาปัจจุบันของประเทศไทยกับประเทศกัมพูชานั้น ดร.ภูวดล กล่าวว่า เป็นปัญหาหมักหมมเนื่องจากความไร้เถียรภาพทางการเมืองของกัมพูชาก่อนที่จะได้รับเอกราช ซึ่งประเทศฝรั่งเศสเมื่อยึดประเทศกัมพูชาแล้ว เขาเอาคนเวียดนามมาควบคุมผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจ ทั้งนี้กัมพูชาเป็นประเทศที่อุดมสมบูรณ์มาก ซึ่งมีปลามากมายในทะเลสาบเขมร ท่องเรือกันวันหนึ่งจากพนมเปญจนถึงเสียมราฐ ประเด็นคือ ประวัติศาสตร์กัมพูชาถูกขนาบด้วยอิทธิพลของเวียดนาม และของไทย ซึ่งฝรั่งเศสอาศัยจุดอ่อนดังกล่าวมาเขมือบผลประโยชน์ในกัมพูชา โดยดินแดนตั้งแต่ไซ่ง่อนลงไปจนถึงพรมแดนทางใต้ จริงๆ แล้วคือดินแดนกัมพูชาในอดีต
“เอกสารข้อเท็จจริงเรื่องปราสาทเขาพระวิหารเป็นเรื่องใหญ่ คือ เอกสารข้อเท็จจริงที่มีอยู่นี้ เผยแพร่ทั่วโลกแล้ว และสามารถพิมพ์ออกมาได้จากเว็บไซต์ ทั้งนี้ก่อนที่เขาพระวิหารจะเป็นปัญหาระหว่างประเทศ เพราะการเมืองไร้คุณธรรม เนื่องจากชนชั้นการปกครองไทยบัดซบ ขายชาติ ขายแผ่นดิน ประเด็นก็คือ เมื่อศาลโลกตัดสินไปแล้วว่าตัวปราสาทเขาพระวิหารเป็นของกัมพูชาเมื่อ พ.ศ.2505 ขณะเดียวกัน ปัญหาเรื่องมรดกโลกซึ่งเป็นผลมาจากการประชุมกรณีข้อตกลงเมื่อ ค.ศ.1972 จึงทำให้เกิดประเทศสมาชิกที่เห็นพ้องต้องกัน ซึ่งกลายเป็นองค์การยูเนสโกในที่สุด” ดร.ภูวดล กล่าว
แฉ “คนขายชาติ” ตั้งหลักแหล่งอยู่ที่เชียงใหม่
ดร.ภูวดล กล่าวอีกว่า จริงอยู่คดีที่นำเข้าพิจารณาของศาลโลกนั้น เอกสารของของกัมพูชาได้ย้ำให้เห็นว่า กรณีปราสาทเขาพระวิหารได้มีการนำสู่ศาลโลก โดยประเทศกัมพูชาได้เรียกร้องเฉพาะปราสาทเขาพระวิหารนั้นเป็นของกัมพูชา ฉะนั้น เมื่อศาลโลกตัดสินเมื่อวันที่ 15 มิ.ย.2505 ศาลได้ตัดสินว่าปราสาทเขาพระวิหารอยู่ภายใต้อธิปไตยของกัมพูชา ซึ่งตัดสินเฉพาะตัวปราสาท แต่ไม่ได้พูดถึงดินแดนและเรื่องพรหมแดน ซึ่งเป็นปัญหาที่ต้องไปตกลงกันเอง สิ่งเหล่านี้ถูกซ่อนอยู่ จนทำให้จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ อดีตนายกรัฐมนตรี แค้นจนถึงทุกวันนี้ เพราะในอดีตมีคนไทยขายชาติทำงานอยู่ในกระทรวงต่างประเทศ โดยเอาเอกสารไปขายให้กับคณะทนายของกัมพูชา จนท้ายที่สุดบุคคลดังกล่าวถูกศาลตัดสินให้ติดคุก จนขณะนี้ออกมาตั้งหลักแหล่งอยู่ที่ จ.เชียงใหม่
“ประเด็นต่อมา คือ รัฐบาลกัมพูชาได้มีความคิดที่จะนำเขาพระวิหารเป็นมรดกโลก โดยได้แสดงความจำนงที่จะเอาพื้นที่เขาพระวิหารอันศักดิ์สิทธิ์ ขึ้นเป็นมรดกโลกเมื่อวันที่ 10 ต.ค.2001 ซึ่งสมเด็จอัครมหาเสนาบดีเตโชฮุนเซน นายกฯ กัมพูชา ในขณะนั้น ได้อินฟอร์มต่อไดเรกเตอร์ เจเนอร์รัลออฟยูเนสโก หรือผู้อำนวยการใหญ่ของยูเนสโก ซึ่งก็คือ มิสเตอร์โคอิชิโร มัตซึรา ชาวญี่ปุ่น เพื่อแจ้งให้ทราบว่า รัฐบาลกัมพูชาได้ตัดสินใจที่จะนำตัวปราสาทเขาพระวิหารขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก ข้อเท็จจริงต่อมา คือ หลังจากนั้นอีก 6 ปี รัฐบาลกัมพูชาได้ทำเรื่องเสนอต่อสื่อมวลชนต่างประเทศ และเสนอต่อชาติสมาชิกสหประชาชาติเพื่อเป็นการล็อบบี้ ถามว่ารัฐบาลไทย โดยเฉพาะเจ้าหน้าที่สถานทูตไทย หรือกระทรวงต่างประเทศ ตั้งแต่ปี ค.ศ.2001-2007 ทำอะไรกันอยู่” ดร.ภูวดล กล่าว
ปูด “หมัก” จับมือ “ฮุนเซน” ยัดวาระเจรจาซ่อนเร้น
ดร.ภูวดล กล่าวอีกว่า จนกระทั่งการในประชุมครั้งที่ 31 ซึ่งได้ประชุมในเมืองไครส์เชิร์ช ประเทศนิวซีแลนด์ โดยประชุมตั้งแต่วันที่ 23 มิ.ย.จนถึงวันที่ 3 ก.ค.2007 หลังจากนั้นรัฐบาลกัมพูชาก็เสนอเขาพระวิหารขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก แล้ววันนี้นายนพดล ปัทมะ รมว.ต่างประเทศ มาอ้างว่าเกิดจากรัฐบาลสุยุทธ์ จุลานนท์ จึงเป็นข้อแก้ตัว ดังนั้นตนจึงขอกล่าวโทษต่อข้าราชการ และนักการเมืองที่เกี่ยวข้อง ประเด็นต่อมา คือ หลังจากนั้นได้มีการแจ้งให้คณะกรรมการยูเนสโกได้รับทราบ แต่การนำดินแดนโบราณสถาน หรือโบราณวัตถุ ตามข้อตกลงไปขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกนั้น มีการระบุไว้ชัดเจนว่า ในความตกลงใดๆ ก็แล้วแต่ ผู้คนที่เกี่ยวข้องกับสิ่งเหล่านั้นจะต้องร่วมมือกัน และเห็นอกเห็นใจกัน ซึ่งไม่สามารถทำได้ด้วยตัวเอง เช่น กรณีปราสาทเขาพระวิหาร เพราะตั้งแต่ ค.ศ.1962 เป็นต้นมา กลายเป็นปัญหาความขัดแย้งระหว่างรัฐไทยกับรัฐกัมพูชา
“อย่าลืมว่าคดีดังกล่าวเกิดขึ้นเมื่อ ค.ศ.1962 แต่หลังจากนั้น 10 ปี เจ้าหน้าที่กระทรวงต่างประเทศไปทำอะไรกันอยู่ จึงแพ้เขา หรือเพราะไปอุ้มเขาทั้งๆ ที่ประเทศของเขากำลังจะล้มละลาย นอกจากนี้ขอประณามนักวิชาการที่ไม่รู้เรื่อง แล้วยังสะเออะว่าปราสาทเขาพระวิหารเป็นของเขาตั้งแต่ต้น อีกทั้งปัญหาเกิดเมื่อวันที่ 3 มี.ค.2008 นายสมัคร สุนทรเวช นายกฯ เดินทางไปเยือนกัมพูชา โดยมีนายฮุนเซ็น มาต้อนรับที่สนามบินนานาชาติกัมพูชา จากนั้นมีการยัดวาระการเจรจาที่เกี่ยวกับผลประโยชน์ของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ และพรรคพวก รวมทั้งวาระปราสาทเขาพระวิหาร ซึ่งกัมพูชาต้องการที่จะจดทะเบียนขึ้นเป็นมรดกโลก” ดร.ภูวดล กล่าว
อัดยับ “รมต.ไทย” ไร้สำนึก-มัวแต่รับใช้นายเก่า
ดร.ภูวดล กล่าวอีกว่า เขาพระวิหารมีสิ่งของศักดิ์สิทธิ์ โดยมีทั้งหลักศิลาจารึก และศิวลึงค์ที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สุดอยู่ที่นี่ ซึ่งเป็นสิ่งของที่สำคัญ และคณะผู้นำไทยที่ไปเปิดเจรจาในช่วงนั้น ได้เจรจาต่อเนื่องไปจนถึงวันที่ 11 มี.ค.2008 โดยเฉพาะอย่างยิ่งนายวีระศักดิ์ ฟูตระกูล ปลัดกระทรวงการต่างประเทศ ไปให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนทั้งกัมพูชาและนานาชาติ ตั้งแต่ในวันที่ 6 มี.ค.2008 ร่วมกับนายซกอัน ซึ่งเป็นรัฐมนตรีที่เป็นคนใกล้ชิดกับนายฮุนเซ็น สรุปคือ เจ้าหน้าที่รัฐบาลไทย และรัฐบาลกัมพูชา ได้มีการเปิดประชุมเวิร์คกิ้งกรุ๊ป โดยได้มีการประชุมกันอย่างต่อเนื่อง แล้วมีแถลงการณ์ออกมาเมื่อวันที่ 6 มี.ค.2008 เกี่ยวกับปราสาทเขาพระวิหาร โดยฝ่ายกัมพูชามีนายซกอัน รับผิดชอบคณะรัฐมนตรีที่รับผิดชอบเกี่ยวกับพระวิหารทั้งหมด และฝ่ายไทยมีนายวีระศักดิ์ดูแล ถามว่าทำไมรัฐมนตรีไทยไม่ไป นั่นก็เพราะเขาติดภารกิจต้องเดินทางไปรับใช้นายใหญ่ที่ประเทศจีน โดยไม่ได้ทำงานเพื่อประเทศชาติ
ดร.ภูวดล กล่าวต่อว่า จนถึงที่สุดในวันที่ 22 พ.ค.2008 ในการพบปะกันอีกครั้งหนึ่งระหว่างนายซกอัน กับนายนพดล ที่กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส โดยในที่ประชุมยังมีผู้แทนขององค์กรยูเนสโกร่วมประชุมด้วย ซึ่งก็คือ มาดามฟรังซัว ริวีแย รองผู้อำนวยการใหญ่ฝ่ายวัฒนธรรม แต่ประเด็นสำคัญ คือ มีการขอให้ราชอาณาจักรไทยยืนยันอีกครั้งหนึ่ง เรื่องการสนับสนุนการนำปราสาทเขาพระวิหารขึ้นเป็นมรดกโลกในการประชุมครั้งที่ 32 ของคณะกรรมการมรดกโลก ซึ่งจะมีการเปิดประชุมที่เมืองครีเวต ที่ประเทศแคนนาดา ในเดือน ก.ค.2551
“น้องเขยแม้ว” บุกเขมรยื่นข้อเสนอสุดงาม
“ในฐานะที่เป็นส่วนหนึ่ง ราชอาณาจักรกัมพูชา ที่มีความปรารถนาดี จึงยินดีที่จะนำปราสาทวิหารเข้าในบัญชีมรดกโลก ณ ที่นี้เลย ซึ่งข้อความของเอกสารตรงนี้สำคัญมาก เพราะเป็นการยอมรับข้อตกลงกันเรียบร้อย โดยไม่พูดถึงดินแดนที่เป็นเขตฉนวน หรือเขตทับซ้อนทั้งทางตอนเหนือ และทางตะวันตกของปราสาทเขาพระวิหาร อ่านแค่นี้ก็รู้ว่าได้ขายแผ่นดินนี้ไปให้เขาเรียบร้อยแล้ว” ดร.ภูวดล ระบุ
ดร.ภูดล กล่าวต่อว่า ประเด็นที่สำคัญคือ ก่อนหน้านั้นเล็กน้อย จะเห็นความกระสันในการที่จะยกขายดินแดนให้กับกัมพูชา โดยในวันที่ 14 พ.ค.2008 ที่เกาะกง น้องเขย พ.ต.ท.ทักษิณ ซึ่งเป็นรองนายกฯ ไทย ได้เดินทางไปกัมพูชาเพื่อจุดประสงค์ คือ อีก 1 อาทิตย์รัฐบาลไทยจะตกลงยอมกัมพูชา และกัมพูชาจะต้องยอมรับข้อตกลงของกลุ่มทุนสามานย์จากประเทศไทยเรียกร้อง ทั้งสิทธิสัมปทานต่างๆ ในเกาะกง และสัมปทานน้ำมัน รวมทั้งแก๊ส รอบๆ เกาะกง ซึ่งเชื่อกันว่าบริเวณนั้นเป็นแหล่งก๊าซที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ภาคพื้นทวีป ต่อมานายนพดล ได้เดินทางไปเปิดทางหลวงสาย 48 ซึ่งทำขึ้นมาเพื่อที่จะไปต่อกระเช้าขึ้นไปยังเขาพระวิหาร ซึ่งจะกลายเป็นบ่อนการพนันที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้รองจาเสียมราษ นี่คือความชั่วร้ายของนักการเมืองพันธ์ขายชาติ ทั้งๆ ที่ ปราสาทเขาพระวิหารมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์จำนวนมาก
ชู “พันธมิตรฯ” ช่วยพื้นที่ทับซ้อนไม่ให้ถูกขาย
“ในวันที่ 6 พ.ค.ก่อนหน้าที่จะมีการเซ็นแถลงการณ์ร่วมกันต่อหน้า รอง ผอ.ยูเสนโก โดยในการพบปะกันครั้งนั้น ทั้ง 2 ประเทศตกลงกันชัดเจน ว่า จะปฏิบัติตามข้อตกลง โดยยืนยันว่า ประเทศกัมพูชาจะยื่นเขาพระวิหารเข้าสู่บัญชีมรดกโลกในการประชุมครั้งที่ 32 นี้ ทั้งๆ ที่คุณแอบทำกันมาโดยตลอด และในแถลงการณ์ร่วมกับรัฐบาลกัมพูชาเมื่อวันที่ 22 พ.ค. ซึ่งมีการตกลงกันที่จะเซ็นสลักหลังจากแถลงการณ์ร่วมพร้อมกันตั้งแต่วันที่ 18 มิ.ย. ซึ่งกัมพูชาเซ็นโดยนายซกอัน ส่วนที่กรุงเทพฯ เซ็นเมื่อวันที่ 18 มิ.ย.เช่นกัน เซ็นโดยนายนพดล นอกจากนี้ ในวันดังกล่าว ตัวแทนของยูเสนโกได้เซ็นพร้อมกันที่กรุงปารีส ฉะนั้นอย่ามาโกหก เพราะปัญหาดังกล่าวถูกนำขึ้นสู่ศาลรัฐธรรมนูญแล้ว และถ้าไม่มีเวทีแห่งนี้ ปัญหาเรื่องสิทธิ์บริเวณรอบเขาพระวิหารก็จะถูกขายไม่มีเหลือ และต่อไปเขาอาจจะเรียกร้องให้ปราสาทหินที่ อ.พิมาย ไปเป็นของพวกเขา” ดร.ภูวดล ระบุ
ดร.ภูวดล กล่าวอีกว่า การตัดสินเรื่องปราสาทเขาพระวิหารนั้น ศาลโลกได้ตัดสินเมื่อวันที่ 15 มิ.ย.2505 โดยมีมติ 9 ต่อ 3 เสียง โดยคำตัดสินมีวลีสั้นๆ ระบุว่า ปราสาทเขาพระวิหารตั้งอยู่บนดินแดนภายใต้อธิปไตยของกัมพูชา นี่คือคำตัดสินของศาลโลก ซึ่งไม่ได้ระบุถึงดินแดนส่วนที่เกี่ยวข้องอื่นๆ ที่วันนี้กำลังถูกผลักใสให้ไปเป็นของกัมพูชา แล้ว ส.ส.ศีรสะเกษ ไม่รักชาติบ้านเมืองกันบ้างหรืออย่างไร และการตัดสินดังกล่าวถือเป็นข้อสิ้นสุด โดยปราศจากการอุทธรณ์แต่อย่างใด ส่วนดินแดน และเขตปริมณฑลอื่นๆ ที่เป็นปัญหาความขัดแย้งอันเนื่องมาจากความเฮงซวยของมหาอำนาจฝรั่งเศส ในการสร้างปัญหาปักปันดินแดน ซึ่งคุกคามประเทศไทยในช่วงรัชกาลที่ 5
สับนักการเมืองสุดโลภ-โกงชาติไม่รู้จักพอ
ส่วนปัญหาเขาพระวิหารนอกจากนี้นั้น ดร.ภูวดล กล่าวว่า แม้กระทั่งจุดที่ตั้งก็เป็นปัญหา เพราะปราสาทเขาพระวิหารนั้น ตั้งอยู่ทางทิศเหนือของ จ.พระวิหาร โดยตั้งอยู่ไกลจากกรุงพนมเปญ 400 กม. และตั้งไกลจากนครวัตร 140 กม.โดยมีพรมแดนติดกับไทย ซึ่งต้องยอมรับเรื่องความรักชาติของผู้นำกัมพูชา ซึ่งไม่เคยขายชาติ จึงกล้าพนันว่าเลือกตั้งครั้งนี้ นายฮุนเซ็น คือวีระบุรุษของชาวกัมพูชา และจะได้เป็นนายกฯ คนต่อไป
“ประเด็นต่อไปที่ต้องคำนึง คือ ปัญหาอธิปไตยของประเทศไม่ใช่เรื่องเล่นๆ ซึ่งคนที่มีรากเหง้า และรู้คุณค่าของความเป็นชาตินั้น ไม่มีใครกล้าที่จะเอาดินแดนของประเทศชาติไปให้ใครย่ำยี และอยากถามนักการเมืองว่าจะโกงชาติกันไปถึงไหน จะโกงชาติกันไปถึงไหน ไม่พอกันหรืออย่างไร ขณะเดียวกัน บรรดาสุนัขรับใช้ยังทำตัวเหมือนหมาขี้เรื้อนตามวัด ดังนั้นขอให้พี่น้องอย่าท้อแท้ เพราะความรักชาติของเราจะกลายเป็นพลังนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงในสิ่งดี โดยคนรุ่นลูกรุ่นหลานของเรา จะต้องมีเกียรติยศ และมีศักดิ์ศรี เป็นที่ยอมรับของนานาชาติ ไม่เหมือนกับรัฐบาลเฮงซวยชุดนี้” ดร.ภูวดล ระบุ