เอ็นบีที รับลูก เชิญ “เพียร ยงหนู” ป้ายสีพันธมิตรฯ กล่าวหาทำเพื่อ ปชป.ที่อยู่เบื้องหลัง แถมอ้างรับไม่ได้กับพันธมิตรฯ ที่ขับไล่รัฐบาลที่ชอบธรรม ลืมไปว่าเพิ่งส่งรองประธานสหภาพ กฟน.ขึ้นเวทีหน้าทำเนียบ เมื่อ 4 วันก่อน ยอมรับ “เป็ดเหลิม” ช่วยเหลือกันบ้างในเรื่องที่ขอ
วานนี้ (1 ก.ค.) นายเพียร ยงหนู ประธานสภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจการไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) ให้สัมภาษณ์ในรายการ ถามจริง-ตอบตรง ทางสถานีโทรทัศน์เอ็นบีที ดำเนินรายการโดย นายจอม เพชรประดับ ถึงกรณีการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยว่า ตนถือเป็นหนึ่งในแกนนำ ที่เคยร่วมต่อสู้กับพันธมิตรฯ มาสมัยก่อน 19 ก.ย.2549 ซึ่งครั้งนั้นตนก็ร่วมหัวจมท้ายกับพันธมิตรฯ มา แต่การชุมนุมของพันธมิตรฯ ในครั้งนี้ ตนไม่ได้เข้าร่วมเลยแม้แต่ครั้งเดียว เนื่องจากไม่เห็นด้วยกับความคิดของพันธมิตรฯ ในครั้งนี้ ที่กดดันรัฐบาลไปเสียทุกเรื่อง ทั้งที่รัฐบาลเพิ่งบริหารงานมาได้ไม่นาน ตนซึ่งเป็นคนที่มีความคิดอยากเห็นบ้านเมืองพัฒนาและสมานฉันท์ จึงไม่อยากร่วมเป็นเชื้อไฟ ทำให้บ้านเมืองปั่นป่วนไปมากกว่านี้
ทั้งนี้ ตนขอยืนยันว่า สาเหตุที่ไม่ไปเข้าร่วมกับพันธมิตรฯ เป็นไปด้วยความคิดของตัวเอง ไม่ได้รับผลประโยชน์ใดๆ จากรัฐบาลชุดนี้ อย่างที่กลุ่มพันธมิตรฯ กล่าวหา จะมีอยู่บ้างก็เพียงการได้รับความช่วยเหลือจาก ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รมว.มหาดไทย เรื่องที่ตนเป็นแกนนำเรียกร้องให้ช่วยแก้ปัญหาภายในของการบริหารงานการไฟฟ้านครหลวง และปัญหาปากท้องของประชาชน ซึ่งก็เป็นเรื่องการให้ความช่วยเหลือแก้ไขปัญหาส่วนของส่วนรวม ไม่ใช่ช่วยตนเป็นการส่วนตัว แต่อย่างไรก็ตาม ตนก็ยังมีความรักและเข้าใจกันดีกับแกนนำพันธมิตรฯ ทั้ง 5 แต่การไม่ไปร่วมในครั้งนี้ตนก็ไม่ได้ไปชี้แจงอะไร
“ผมไม่ได้ไปชี้แจงอะไร ไม่ไปก็คือไม่ไป แต่ผมก็ฝากคนที่ไปว่าไปชี้แจงความคิดของผมให้ด้วยว่าผมคิดอย่างนี้ แล้วก็อย่ามาว่ากัน ซึ่งในพันธมิตรฯ เขาก็ถามหาผม อยู่เหมือนกัน”
ต่อคำถามว่า เรื่องที่พันธมิตรฯ เคยประกาศว่า อาจตัดไฟ ส่วนราชการเป็นคำขู่ที่สามารถทำได้จริงหรือไม่ นายเพียร กล่าวว่า การที่จะทำอะไรต้องมีเหตุมีผล หากส่วนราชการใดมีการค้างชำระค่าไฟจริงก็สามารถตัดได้ แต่ทั้งนี้ ก็ตัองคุยกันก่อน ตกลงกันก่อนไม่ใช่ว่าอยู่ๆ จะไปตัดเสียเฉยๆ แต่ด้วยศักยภาพแล้วหากมีการขอความร่วมมือมาทางตนให้ช่วยตัดไฟ โดยอำนาจแล้วตนก็สามารถสั่งการได้ แต่ในครั้งนี้คงไม่ทำเพราะไม่มีเหตุผลอะไรที่จะต้องไปตัด
ผู้ดำเนินรายการถามว่า ในฐานะที่เคยเป็นแกนนำที่ต่อสู้ร่วมกับพันธมิตรฯ คิดว่าเพราะเหตุใด คนจึงไปร่วมชุมนุมกับพันธมิตรฯ กันมาก นายเพียร กล่าวว่า เป็นเพราะพันธมิตรฯ เก่งเรื่องประชาสัมพันธ์ และสร้างความชอบธรรมให้ตัวเองเป็นอย่างมาก ซึ่งตนมองว่าการสร้างความชอบธรรมให้ตัวเอง โดยการนำสถาบันเบื้องสูงมาอ้างอิง ทำให้คนเชื่อถือ นั้นเป็นสิ่งที่ตนรับไม่ได้ จึงเป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ตนไม่อยากไปร่วมกับพันธมิตรฯ ในครั้งนี้
ต่อคำถามว่า การต่อสู้ของพันธมิตรฯ ในครั้งนี้ทำเพื่ออะไร และได้รับการสนับสนุนด้านงบประมาณจากใคร นายเพียร กล่าวว่า จุดมุ่งหมายของพันธมิตรฯ ในครั้งนี้ คือ ต้องการให้รัฐบาลลาออก โดยหวังว่าเมื่อรัฐบาลออกไปแล้ว พรรคประชาธิปัตย์จะได้เป็นรัฐบาล เพราะคงปฏิเสธไม่ได้ว่าการชุมนุมของพันธมิตรฯ ในครั้งนี้ มีพรรคการเมืองหนึ่งหนุนหลัง และสิ่งที่ทำก็เพื่อผลประโยชน์ทางการเมืองทั้งสิ้น ส่วนเรื่องเงินนั้นพันธมิตรฯ ก็มีรายรับไม่มากนัก คนส่วนใหญ่ที่เป็นชนชั้นกลางที่มาเข้าร่วมก็มากันเองคงไม่ได้มีการจ้างอะไร แต่ส่วนอื่นๆ ที่ขนกันมาเป็นรถ มาเป็นทีม ส่วนนั้นก็ต้องยอมรับว่า มีโต้โผ ที่หวังผลประโยชน์ทางการเมืองนั่นเอง
นายเพียร กล่าวด้วยว่า การกระทำของพันธมิตรฯ ในตอนนี้กำลังสร้างความแตกแยกให้กับสังคม และการที่จะขับไล่รัฐบาลนั้นก็ยิ่งเป็นเรื่องที่ตนรับไม่ได้ เพราะรัฐบาลชุดนี้ทำงานมาได้แค่ 4 เดือน และยังมีความชอบธรรมในการบริหารงานอยู่ ถ้ารัฐบาลชุดนี้ทำงานมานาน 7-8 เดือนแล้ว ยังไม่ดีขึ้นค่อยออกมาเรียกร้องตอนนั้นยังจะมีเหตุผลกว่า ซึ่งตนอาจจะนำคนที่อยู่ในสังกัดของออกไปช่วยชุมนุมก็ได้
อนึ่ง นายเพียร ยงหนู นั้น เคยร่วมต่อสู้กับพันธมิตรฯ ในช่วงก่อนเหตุการณ์ 19 ก.ย.2549 หลังจากนั้นวันที่ 26 ก.ย.2549 ได้ลาออกจากประธานสหภาพฯ เนื่องจากปัญหาขัดแย้งภายใน ก่อนที่จะกลับเข้าไปรับตำแหน่งอีกครั้ง หลังจากนั้น ในเดือน พ.ค.2550 นายเพียร ตกเป็นข่าว เมื่อมีการพบวัตถุระเบิดที่อพาร์ตเมนต์ของหลานชาย ซึ่งเจ้าตัวได้ปฏิเสธว่าไม่ใช่ของตนเอง
ขณะที่ นายเพียร ได้หันไปเคลื่อนไหวต่อต้านธุรกิจค้าปลีกข้ามชาติ และประกาศจะลงสมัคร ส.ส.ในนามพรรคประชาราช ในการเลือกตั้ง 23 ธ.ค.2550 แต่เมื่อกลุ่มของ นายประชัย เลี่ยวไพรัตน์ แยกตัวออกมาจากพรรคประชาราช ไปตั้งพรรคพรรคมัชฌิมาธิปไตย ร่วมกับกลุ่มของ นายสมศักดิ์ เทพสุทิน นายเพียร ได้ติดตามนายประชัยมาอยู่พรรคมัชฌิมาฯ โดยมีตำแหน่งเป็นที่ปรึกษาฝ่ายมวลชนของนายประชัย จนกระทั่งหลังเลือกตั้ง พรรคมัชฌิมาฯ ได้เข้าร่วมรัฐบาลกับพรรคพลังประชาชน และนายประชัยประกาศพลิกลิ้นหันกลับไปสนับสนุน พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร
อย่างไรก็ตาม นายเพียร ยังพยายามเคลื่อนไหวในนาม ประธานสหภาพแรงงาน กฟน.โดยเมื่อวันที่ 1 พ.ค.2551 ที่ผ่านมา ได้ยื่นหนังสือต่อรัฐบาล ให้มีการควบคุมราคาข้าวสาร น้ำมันและน้ำตาล เพื่อเป็นการบรรเทาทุกข์เพื่อช่วยเหลือแรงงาน พร้อมกำหนดเส้นตายให้ดำเนินการภายใน 15 วัน ไม่เช่นนั้นจะทำการเคลื่อนไหวต่อไป
นอกจากนี้ เมื่อวันที่ 12 มิ.ย.นายเพียร ได้นำกลุ่มผู้ชุมนุมเปิดเวทีรถเคลื่อนที่ปราศรัยหน้ากระทรวงมหาดไทย เรียกร้อง ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ชำระค่าไฟฟ้าที่กระทรวงมหาดไทย ยังค้างอยู่ 13.4 ล้านบาท ตั้งแต่วันที่ 30 เม.ย.2551 ภายใน 7วัน ซึ่งหากไม่ชำระจะดำเนินการตัดไฟ รวมทั้งได้เรียกร้องให้กระทรวงมหาดไทยมีคำสั่งปลดผู้ว่าการ และรองผู้ว่าการ กฟน.คนปัจจุบัน โดยอ้างว่ามีการใช้อำนาจบริหารองค์กรอย่างไม่ชอบธรรม โดยเฉพาะการโยกย้ายภายในหน่วยงาน และมีผู้บริหารบางคนมีการควบตำแหน่งโดยไม่จำเป็น หลังจากนั้น ร.ต.อ.เฉลิมได้นัดหารือทำความเข้าใจกับนายเพียร โดยอ้างว่าไม่มีอำนาจสั่งปลดผู้ว่าการ กฟน.แต่เป็นอำนาจของคณะกรรมการบริหารที่จะพิจารณา
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าตัว นายเพียร จะไม่เข้าร่วมเคลื่อนไหวกับพันธมิตรฯ แต่สมาพันธ์แรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ (สรส.) ซึ่งเป็นองค์กรตัวแทนของสหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจได้ออกแถลงการณ์เข้าร่วมกับพันธมิตรฯ ตั้งแต่วันที่ 17 มิ.ย.2551 โดยที่แกนนำคนสำคัญ อาทิ นายสาวิทย์ แก้วหวาน นายศิริชัย ไม้งาม นายสมเกียรติ รอดเจริญ ได้ขึ้นเวทีพันธมิตรฯ มาตลอด
นอกจากนี้ เมื่อวันที่ 27 มิ.ย.2551 ที่ผ่านมา นายคมสันต์ ทองศิริ รองประธานสหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจการไฟฟ้านครหลวง ได้ขึ้นเวทีปราศรัยของพันธมิตรฯ หน้าทำเนียบรัฐบาล โดยบอกว่าเป็นตัวแทนของ นายเพียร ยงหนู ในการมาร่วมกับพันธมิตรฯ เนื่องจาก นายเพียร ไม่สามารถมาร่วมได้เพราะต้องดูแลมารดาที่อายุมากแล้ว แต่ นายเพียร ยังฝากความคิดถึงมายังพันธมิตรฯ ทุกคน
คลิก! ฟังการปราศรัยของนายคมสันต์ ทองศิริ บนเวทีพันธมิตรฯ(256K) |(56K)