คำต่อคำ “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” ผู้นำฝ่ายค้าน หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวปิดการอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีเป็นรายบุคคลครั้งที่ 6 (สมัยวิสามัญ) เป็นพิเศษ วันที่ 26 มิถุนายน 2551
“ท่านประธานที่เคารพ กระผมนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พรรคประชาธิปัตย์ ผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร กราบเรียนท่านประธานครับว่า ด้วยเวลาที่เหลืออยู่นั้นคงไม่เพียงพอที่จะทำให้ผมได้สรุปทุกเรื่องเพราะว่าเราได้เปิดอภิปรายท่านนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีอีกถึง 7 ท่าน แต่ให้ท่านสบายใจครับ ผมจะถือเอานาฬิกาของสภาฯ เป็นเกณฑ์และจะไม่ให้เกิดปัญหากับข้อตกลงที่ดำเนินไป แต่ด้วยเวลาที่จำกัดนี้ ผมอยากจะกราบเรียนว่า ผมยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจท่านนายกฯ และรัฐมนตรี 7 ท่าน พร้อมกับเพื่อนสมาชิก กระผมถูกต่อว่าตอนแรกนะครับ ถูกต่อว่าตลอดเวลาว่า 4 เดือน กระเหี้ยนกระหือรือ หรือจะรีบร้อน หรือมีความทะเยอทะยานอะไร ท่านประธานอาจจะไม่ทราบหรอกครับครั้งสุดท้ายที่พรรคประชาธิปัตย์เป็นรัฐบาล มีวิกฤตการณ์การเงินที่หนักหนาสาหัสที่สุดในประวัติศาสตร์ของประเทศไทย รัฐบาลของท่านนายกฯ ชวน เข้าแถลงนโยบาย 20 พฤศจิกายน 2540 แก้ปัญหาซึ่งตกค้างมาจากรัฐบาลของท่านพล.อ.ชวลิต สถานการณ์เริ่มดีขึ้นโดยลำดับครับ แต่เวลาผ่านไปเพียงแค่ 3 เดือน ฝ่ายค้านยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลของพรรคประชาธิปัตย์ทั้งคณะ ท่านนายกฯ เป็นฝ่ายค้านในขณะนั้นด้วย
ผมไม่ประสงค์จะโต้วาทีหรอกครับ แต่เพียงแต่บอกว่า วันนั้นเราก็ถือว่าเป็นสิทธิของท่าน ผมอยากจะกราบเรียนท่านประธานว่า ท่านลองนึกภาพสิครับว่าถ้าวันนี้บ้านเมืองของเรามีความสมานฉันท์กัน ไม่มีปัญหาที่กลุ่มผู้คนต่างๆ มีความเดือดร้อน จะเป็นเรื่องที่เป็นปัญหาเฉพาะกลุ่มเช่น เกษตรกรกลุ่มต่างๆ หรือจะเป็นกลุ่มที่เขาเห็นว่ามันมีความไม่ถูกต้องเกิดขึ้นในบ้านเมืองแล้วชุมนุมกันอยู่ แล้วเกิดภาวะความตึงเครียดถ้าสิ่งเหล่านี้ไม่มีเลย หรือถ้าวันนี้ความหวังที่ท่านนายกฯ และพรรคของท่าน ได้เคยมอบไว้ให้กับพี่น้องประชาชนคนไทย ว่าจะเพิ่มรายได้เขา 4 เท่า ลดรายจ่ายเขา 4 เท่า ไม่ต้องถึงกับเป็นจริงหรอกครับ แต่เริ่มที่จะเห็นว่าจะเป็นจริง ผมกราบเรียนท่านประธานว่า พวกผมไม่มีการยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจแน่นอน
แต่เพราะวันนี้ไปที่ไหนใครก็ว่าบ้านเมืองวิกฤต เจอพี่น้องประชาชนที่ทุกข์แสนสาหัส กับภาวะเศรษฐกิจที่ดำรงอยู่ เห็นภาพแม้แต่เกษตรกรที่เป็นชาวนาปลูกข้าว ต้องทุกข์กับการที่ซื้อข้าวแพง พบกับความทุกข์ของพี่น้องใน 3 จังหวัดภาคใต้ที่ยังมองไม่เห็นแสงสว่างปลายทางใด ๆ ทั้งสิ้นของการแก้ไขปัญหา ผมกราบเรียนว่า ในสภาวะอย่างนี้พวกกระผมฝ่ายตรวจสอบละเว้นหน้าที่ของตัวเองไม่ได้ แล้วอย่างที่เพื่อนสมาชิกโดยเฉพาะผู้อาวุโสหลายท่าน ชี้ให้ท่านประธานเห็นครับ เราไม่ได้มีเสียงมากพอที่จะไปล้มท่านหรอกครับ แต่เราจำเป็นที่จะต้องให้พี่น้องประชาชนเห็นว่า 4 เดือนที่ผ่านมานั้นเป็นความสูญเสียของประเทศชาติบ้านเมือง ทั้งในเรื่องโอกาสและความเสียหายจริงๆ อย่างไร ด้วยเวลาที่จำกัดครับ
ผมกราบเรียนว่า ตลอดระยะเวลา 3 วันที่ผ่านมา กระผมภาคภูมิใจในการทำหน้าที่ของพวกเราทุกคน ได้ชี้ให้เห็นถึงความล้มเหลวของการบริหารราชการแผ่นดินในหลายกระทรวง ไม่ว่าจะเป็นด้านเศรษฐกิจ ไม่ว่าจะเป็นด้านความมั่นคง แม้แต่ท่านนายกฯ ในวันนี้ ยังได้ยอมรับเลยครับ ว่าคำอภิปรายของสมาชิกของพรรคประชาธิปัตย์หลายท่าน เป็นประโยชน์ และหลายเรื่องซึ่งตลอดระยะเวลา 4 เดือนที่ผ่านมา ท่านมักจะกล่าวตอบโต้ ตำหนิฝ่ายค้าน วันนี้ท่านกลับยอมรับแนวความคิดของเราไม่ว่าจะเป็น กฎหมายแก้ไขปัญหาภาคใต้ ไม่ว่าจะเป็นการแก้ปัญหาเรื่องราคาข้าว หรือปัญหาอื่นๆ ผมถือว่าเพียงเท่านี้ก็ได้เห็นความชอบธรรม ความถูกต้อง ความสมเหตุ สมผล ของการทำหน้าที่ของพวกเราในรัฐสภาแห่งนี้ ผมขอบพระคุณท่านประธาน ผมขอบพระคุณท่านนายกฯ ที่ได้ให้เราได้ทำหน้าที่ของเรา และไม่ว่าใครจะพูดถึงท่านนายกฯ อย่างไร ท่านนายก ฯ คงจำได้ว่า วันที่ท่านแถลงนโยบายผมบอกว่า อย่างน้อยที่สุดผมเชื่อว่า ท่านเติบโตมาจากที่นี่ ท่านจะให้ความสำคัญกับเวทีนี้ และไม่ว่าคำตอบของท่านนายกฯ จะเป็นอย่างไร ผมขอบคุณที่ท่านได้เอาใจใส่ต่อคำอภิปรายของพวกเราทุกคน และพยายามที่จะชี้แจง
เรื่องที่ผมจำเป็นจะต้องสรุปและใช้เวลามากเป็นพิเศษนั้น หนีไม่พ้นเรื่องเขาพระวิหารครับ เพราะเรื่องนี้พวกกระผมในวันที่ยื่นญัตติตั้งใจที่จะยับยั้งความเสียหายที่จะเกิดขึ้น เสียใจเพียงแต่ว่า วันที่พวกกระผมทำญัตติเรื่องนี้ท่านรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศไปลงนามในแถลงการณ์ร่วมกับกัมพูชาเสียแล้ว ผมขอย้ำจุดยืนของพรรคประชาธิปัตย์ครับว่า เราต้องการเป็นเพื่อนบ้านที่ดีกับกัมพูชา เราต้องการเป็นสมาชิกที่ดีของสหประชาชาติ เราต้องการเห็นโบราณสถาน โบราณวัตถุ ที่มีความสง่างาม มีประวัติศาสตร์ สมควรแก่การอนุรักษ์เป็นมรดกโลก ได้รับการจดทะเบียนบนบรรยากาศที่ผู้ที่เกี่ยวข้องทุกฝ่ายทั้ง 2 ข้างของพรมแดนที่เป็นเพื่อนบ้านกันนั้น ร่วมกันสนับสนุนบริหารจัดการให้สมกับเป็นมรดกโลก แต่สิ่งที่เกิดขึ้นที่เป็นความเสียหายในวันนี้ก็คือว่า ความผิดพลาดในการดำเนินการนั้นทำให้ความขัดแย้งจะเกิดขึ้นต่อไป และความเสียหายที่เกิดขึ้นในส่วนของพี่น้องประชาชนคนไทยก็คือความสูญเสียในเรื่องของดินแดนอธิปไตย
ท่านประธานที่เคารพครับ ผมจะให้ความเป็นธรรมเพราะว่าผมทราบว่า ผมพูดสรุปแล้วเราก็ต้องปิดอภิปราย ในเรื่องของเขาพระวิหารนั้น ที่จริงมีหลายเรื่องที่เราเห็นตรงกันครับ จะได้ไม่ต้องเถียงกันอีกต่อไป
ข้อที่ 1 ก็คือว่าเราต้องยึดคำตัดสินของศาลโลก 2505 คำตัดสินมี 3 ข้อ ข้อที่เกี่ยวข้องกับเรื่องของอธิปไตยของดินแดนนั้นคือข้อที่ 1 นั่นคือปราสาทพระวิหารนั้นเป็นของกัมพูชา ผมอยากจะกราบเรียนว่า ท่านรัฐมนตรีก็เห็นด้วยกับผม ท่านนายกฯ นั้น ท่านประธานครับ ก่อนที่เราจะยื่นญัตติท่านก็เห็นด้วยกับผม เพราะท่านออกรายการสนทนาประสาสมัคร เมื่อวันที่ 11 พฤษภาคม ท่านบอกว่าอะไรครับ ตัวเขาพระวิหารด้านที่งอกไปนี้ เป็นส่วนของกัมพูชาเขา แล้วทางเขากำลังรณรงค์หาเสียงเลือกตั้ง เดือนกรกฎาคม เขาจะเลือกตั้ง เขาก็เอ่ยกันว่า เขาจะเอาเขาพระวิหารไปขึ้นทะเบียนมรดกโลก ที่ไหนๆ เขาขึ้นมรดกโลก เราก็บอกแล้วว่าขึ้นทะเบียนมรดกโลกนั้น เมื่อตอนไปพบกับคุณฮุนเซน คุณฮุนเซนบอกไม่เป็นปัญหาหรอก ถ้าเอาแต่ตัวอาคารไปขึ้น ไม่มีปัญหาปรากฏว่าเมื่อกลับมาแล้วทางฝ่ายมรดกโลกเขาบอก ต้องขึ้นบริเวณพื้นที่ด้วย ทางไทยบอกว่าถ้าพื้นที่ด้วยไทยต้องขึ้นด้วย เพราะพื้นที่นั้นเป็นพื้นที่ทับซ้อนอาคารเป็นของกัมพูชา
ไม่ได้มาท้าทายนะครับว่า ไหนบอกซิว่าเราชนะคดีเมื่อปี 2505 ท่านพูดตรงกับที่พวกกระผมพูดคือ ของกัมพูชาคืออาคาร คือตัวปราสาท เสร็จแล้วหลังจากนั้นเราก็ตั้งข้อสงวน ข้อสงวนซึ่งวันนี้ท่านนายกฯ บอกยังมีอยู่ แต่รัฐมนตรีบอกหมดอายุความไปแล้ว ซึ่งเป็นคำชี้แจงที่สับสนเพราะว่า เป็นการแก้ตัวไปวันๆ แล้ววันนี้กระทรวงการต่างประเทศยังไปซื้อหน้าหนังสือพิมพ์เต็มอีก 1 หน้า บอกว่า หมดอายุความไม่มีสิทธิ์จะสงวนสิทธิ์อีกแล้ว ไม่ตรงกับที่ท่านนายกฯ พูด แต่การสงวนสิทธิ์นั้น คณะรัฐมนตรีในขณะนั้นครับเขาจำเป็นต้องปฏิบัติตามศาลโลกให้ได้ ท่านรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศสันนิษฐาน คิดเอาเอง จะด้วยเหตุผลกลใด ผมไม่ทราบว่าคณะรัฐมนตรีในปี 2505 หรือปีไหนก็ตามมีอำนาจในการไปกำหนดเส้นเขตแดนใหม่ ไม่มีครับ ไปอ้างเอาคำหนังสือเสนอเข้าสู่ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี เมื่อปี 2505 ว่าจะไปกำหนดเขตบริเวณที่เกี่ยวข้องกับอำนาจอธิปไตย ไม่ไปดูครับว่า มติครม. ที่ออกมาหลังจากนั้นเขาตัดถ้อยคำตรงนั้นไปหมดแล้ว ที่ผมต้องให้ท่านรัฐมนตรีอ่านต่อสภาเมื่อวานนี้
เส้นที่ขีดคือไม่ใช่ปราสาทนะครับ บริเวณปราสาทพระวิหารแปลเป็นภาษาอังกฤษให้ตรงกับคำพิพากษาศาลโลกก็คือ Temple Area ไม่ใช่ Temple เพื่อปฏิบัติตามคำพิพากษาของศาลโลก แต่ท่านมายึดตัวนี้แหละครับ อ้างว่าเป็นเส้นเขตแดน แล้วก็ตั้งโจทย์เอาว่า การขึ้นทะเบียนมรดกโลกนั้น ตราบใดที่กัมพูชาไม่ลุกล้ำเข้ามาในแนวเขตที่กำหนดในมติคณะรัฐมนตรี 2505 นั้นแปลว่าเราไม่ได้สูญเสียอะไรเพิ่มเติม ผิดครับ
การขึ้นทะเบียนอนุรักษ์เป็นมรดกโลกนี่ครับ ในที่สุดกัมพูชาได้จัดทำแถลงการณ์ร่วมและส่งภาพนี้ ซึ่งท่านจะเรียกแผนที่ หรือแผนผังก็ตาม ประกอบไปด้วยการขีดเขาเรียกว่า เขตปราสาท นะครับ เขาไม่เรียกบริเวณ และเขตอนุรักษ์ หรือ Buffer Zone ทุกทิศครับ มีเลข 2 ที่เขาบอกว่าเขาไปจัดการเองจะขึ้นไว้ มีเลข 3 ตามแถลงการณ์ร่วมที่บอกว่าประเทศไทยกับกัมพูชาจะต้องไปตกลงร่วมกันว่า จะบริหารจัดการอย่างไร พื้นที่ในภาพนี้จำนวนมากเป็นดินแดนของประเทศไทย ผมอยากจะกราบเรียนว่า ถ้าหากว่าเราสามารถดำเนินการไปขึ้นเป็นมรดกโลกร่วมกันแล้วปัญหาจะไม่มีเลยครับ แล้วเราพยายามแล้ว จริงครับ เขาไม่ยอมเมื่อปีที่แล้ว แต่มติปีที่แล้วเขาบอกว่า ถ้าจะให้กัมพูชาไปขึ้นเพียงฝ่ายเดียวนั้นจะต้องมีสิ่งที่เรียกว่า การสนับสนุนอย่างชัดแจ้งจากฝ่ายไทยคือ Active Support
กระทรวงการต่างประเทศและเจ้าหน้าที่เมื่อเขาพบว่า พอเราไปดำเนินการเสนอความคิดเห็นอะไร กัมพูชาไม่รับเลย ไม่ยอมฟังเราเลย เขาก็เดินกลยุทธ์ที่บอกว่าแยกตัวออกมา ใช้คำว่า Dissociate รุกไปในทางการเมืองระหว่างประเทศเพื่อเริ่มหาคะแนนเสียงสำหรับประเทศที่มีตัวแทนเป็นกรรมการในมรดกโลกที่จะคัดค้านในการประชุมที่กำลังจะมีขึ้นในเดือนกรกฎาคมนี้ ทำหนังสือประท้วงที่ท่านรัฐมนตรีบอกท่านเห็นชอบ หรือสั่งการก็แล้วแต่ ถูกต้องครับ แต่ว่าสิ่งที่เขากลับยืนยันกลับมานั้น ก็คือคุณจะบอกว่าไม่มีการสนับสนุนไม่ได้แล้ว เพราะท่านนายกฯ สมัคร ได้แสดงการสนับสนุนในวันที่ไปพบกับสมเด็จฮุนเซน และยิ่งไปกว่านั้นก็คือว่า เขายังยืนยันด้วยว่ามันไม่มีพื้นที่ทับซ้อน เพราะพื้นที่ทั้งหมดในความคิดของเขาคือพื้นที่ของกัมพูชา ท่านรัฐมนตรีบอกว่า ท่านต้องฟังอธิบดีกรมสนธิสัญญา ใครต่อใครนั้น เมื่อตอนค่ำข่าวออกมาแล้วนะครับ ท่านไปให้การกับศาลปกครองว่า ท่านบอกว่าถ้าไทยไม่แสดงความสนับสนุนลงนามในแถลงการณ์ร่วม ไม่เชื่อครับว่ากัมพูชาจะสามารถได้รับความเห็นชอบจากกรรมการมรดกโลกได้ ทำไม อย่างนี้ท่านไม่เชื่อบ้างครับ แล้วทำไมเจ้าหน้าที่ซึ่งเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้เป็นเหตุบังเอิญหรืออย่างไร ถูกโยกย้ายออกจากตำแหน่งไม่ว่าจะเป็นเลขา สมช. อธิบดีกรมสนธิสัญญาคนเก่า และล่าสุดคือกรรมการมรดกโลก
ผมจึงจะบอกกับท่านครับว่า สิ่งที่ท่านไปยอมรับในแถลงการณ์ร่วมหรือภาพ ภาพนี้ครับ ท่านกำลังซ้ำรอยหลายสิ่งหลายอย่างที่เกิดขึ้นในปี 2505 ที่ศาลตัดสินให้เราแพ้คดี เพราะว่าเราไปให้คนทำแผนที่มาให้ เขาส่งมาให้เรา เรารับ เรานิ่งเฉย เราบอกเราไม่ได้ใช้เพื่อเป็นการปักปันเขตแดน แต่สุดท้ายเขาบอกว่านั่นหล่ะคือการยอมรับ กฎหมายหมายปิดปาก พื้นที่รอบ ๆ ตรงนี้ ก็รับไปแล้วนะครับว่า กัมพูชามีสิทธิ์ในการมาทำแผนบริหารจัดการร่วม ทั้ง ๆ ที่เป็นเขตแดนไทย เพราะเรายึดถือ สันปันน้ำ และมีตัวปราสาทครับ เหนือของสันปันน้ำคือของเรา ใต้คือของเขา บวกกับปราสาท และไม่มีทางที่คณะกรรมการปักปันเขตแดนจะทำเรื่องนี้ได้เสร็จ ก่อนกำหนดที่ท่านไปตกลงกับเขาว่า แผนเรื่องนี้จะต้องเสร็จก็คืออีก 2 ปีข้างหน้า แต่ว่าที่น่าเสียใจก็คือว่า ตรงนั้นคือการสูญเสียเรื่องอธิปไตย แต่ที่เขาขีดเส้นรอบปราสาทมาทั้งหมดนั้น อะไรที่ไม่ใช่ตัวปราสาทขอบทั้งหมดที่ออกมานี้ครับ แล้วเขาก็ไปออกเป็นพระราชกฤษฎีกาภายในด้วยนั้น วันนี้เขาสามารถไปขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกในนามกัมพูชาแล้ว คือความสูญเสีย
เส้นตามมติ 2505 นั้นท่านตั้งเป็นโจทย์ให้ทุกคนตอบ ที่ท่านอ้างในเรื่องของกรมแผนที่ทหาร หรือกองกำลังที่เกี่ยวข้องแล้วก็บอกว่า เอกสารของพวกผมไม่ใช่เอกสารท่านสุดท้าย ไม่ใช่ครับ ท่านพยายามบิดเบือนประเด็น เขายอมรับว่าที่ทางกัมพูชาตีเส้นมาทั้งหมดนี้ ไม่เกินขอบเขตของมติครม. 2505 ซึ่งกระผมกราบเรียนมาซ้ำแล้ว ซ้ำเล่าว่าไม่ใช่เขตแดน แต่เกินคำพิพากษาของศาลโลก เพราะศาลโลกให้เฉพาะตัวปราสาทไม่มีการตีเส้นขีดออกมามากไปกว่านั้น แล้วท่านก็บอกว่า มันไม่ใช่แค่มติ ครม. พอผมบอกท่านว่า มติครม. นั้นไปดูสิครับ เขาแก้ถ้อยคำไม่ให้เป็นไปอย่างที่ท่านพยายามให้คนเข้าใจเพราะไปเอาเอกสารเสนอไม่ใช่เอาตัวมติมาบอกกับสภา ท่านก็เลยไปอ้างบอกว่าเราใช้แผนที่ตามเส้นปี 2505 แผนที่ฉบับนี้ครับ ที่ท่านเรียกว่า L7017 ตรงกับของท่านเลยครับ นี่ครับบริเวณที่มีปัญหา ตรงนี้ครับ เส้นนี้แหละครับ เขาบอกว่า เป็นแนวพรมแดนระหว่างประเทศ ผมพูดอย่างนี้ท่านก็บอก ก็ท่านบอกแล้วไงว่าใช่ แต่ท่านรัฐมนตรี ท่านดูแผนที่นี้แล้ว ทำไมท่านไม่อ่านให้ครบครับ แผนที่ฉบับนี้ที่ท่านอ้างว่าได้กำหนดเป็นแนวเขตพรมแดนนั้น เขาจะมีข้อความเป็นตัวหนังสือสีแดงข้างล่าง ผมขออนุญาตอ่านครับ
แนวพรมแดนระหว่างประเทศในแผนที่ระวางนี้ต้องไม่ถือกำหนดเป็นทางการครับ ไม่ใช่โดยประมาณ ไม่ใช่อาจคลาดเคลื่อน ไม่ใช่ไม่ถือเฉยๆ นะครับ ต้องไม่ถือกำหนดเป็นทางการ เวลาเขาเขียนถึงการแบ่งเขตภายในประเทศเขาบอกว่า แสดงไว้โดยประมาณ แต่ถ้าเป็นพรมแดนระหว่างประเทศเขาบอกว่า ต้องไม่ถือกำหนดเป็นทางการ ผมไม่ได้สอบถามเฉพาะนักวิชาการ ผมสอบถามคนที่เขาเคยรับราชการอยู่ในกรมแผนที่ เขาก็บอกผมมาเองครับว่า แนว 2505 คือแนวปฏิบัติการณ์ให้เป็นไปตามคำพิพากษาของศาลโลก ไม่ใช่เส้นเขตแดน แผนที่ฉบับนี้ก็ไม่อาจกำหนดเส้นเขตแดนได้ มติคณะรัฐมนตรีกำหนดเส้นเขตแดนไม่ได้ สิ่งที่จะกำหนดเส้นเขตแดนได้คือ การทำงานของคณะกรรมการปักปันครับ
ชัดไหมครับ และที่น่าเสียใจก็คือว่า วันนี้ทางคณะรัฐมนตรีรวมทั้งท่านนายกฯ อาจจะเริ่มกังวลแล้วว่าไปยอมรับอะไรเข้า กำลังแก้ถ้อยคำในมติคณะรัฐมนตรีว่า ไม่ใช่แผนที่นะ แผนผัง ผมก็ไม่เสียเวลาโต้เถียงหรอกครับ ว่าแผนที่หรือแผนผัง ผมรู้แต่ว่ารูปที่ท่านรัฐมนตรีไปเซ็นรับรองนั้น นอกจากการกำหนดขอบบริเวณที่เขาตีแล้ว ทางกัมพูชาเขาเขียนพิกัดไว้เรียบร้อยเลยครับ จุดไหนพิกัดเท่าไหร่ มีเส้นรุ้ง เส้นแวง มีเส้นลาดชัน มีมาตราส่วน มีทิศ ท่านก็บอกว่า ก็ไม่มีเส้นพรมแดน ทำไมไม่มีทราบไหมครับ เพราะแผนที่นี้เป็นแผนที่เดียวกันกับที่กัมพูชายึดถือในการต่อสู้คดีตั้งแต่ปี 2505 ซึ่งพรมแดนนั้นอยู่เหนือของภาพที่ปรากฏครับ ความหมายก็คือสำหรับกัมพูชาตรงกับหนังสือที่เขาส่งถึงท่านวันที่ 11 เมษายน ทั้งหมดนี้ เขาถือว่าเป็นของเขาครับ
ผมถึงกราบเรียนว่า วันนี้คณะรัฐมนตรีคงกำลังพยายามที่จะบอกว่า ผมฟังก็ไม่ชัดนะครับเพราะว่าทั้ง 2 สัปดาห์ยังไม่มีเอกสารแถลงข่าวว่ามติคืออะไร แต่เวลานี้รัฐมนตรีบางท่านเข้าใจว่า ท่านต้องไปแก้แถลงการณ์ร่วม ผมก็บอกว่ามันจะแก้ได้อย่างไร มันลงนามไปแล้ว มันสายไปแล้ว แต่แนวทางเดียวที่จะต้องทำกันในขณะนี้ก็คือ ต้องบอกว่า แถลงการณ์ร่วมก็ดี ภาพที่ปรากฏนี้ก็ดี ตัวแทนของประเทศไทยที่ไปลงนาม ไปยอมรับนั้น ไม่ได้มีความยินยอมพร้อมใจของพี่น้องประชาชนคนไทย ผมไม่เรียกร้องให้เกิดปัญหาระหว่างประเทศเพื่อนบ้านกันครับ แต่ว่าการที่จะคัดค้านไปถึงยูเนสโก ถึงกรรมการมรดกโลกนั้น กระบวนการทุกอย่างจะต้องช่วยกันเดินครับ ที่นี่ผมก็เพียงเรียกร้องให้ผู้แทนปวงชนชาวไทยทุกท่านไม่ไว้วางใจท่านรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ท่านประธานที่เคารพครับ เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ เป็นเรื่องที่ผมถือว่าหนักหนาสาหัสและไม่คาดคิดเลยครับว่า ในการอภิปรายไม่ไว้วางใจครั้งนี้เราจะต้องมาหาทางกอบกู้ความสูญเสียที่มันเกิดขึ้น ผมหวัง ผมรอว่า พรุ่งนี้จะมีผู้แทนปวงชนชาวไทยที่จะรักษาผลประโยชน์ของพี่น้องประชาชนคนไทย
ท่านประธานครับ เวลาที่เหลืออีกเพียง 7 นาที มีรัฐมนตรีหลายท่านนั้น ผมอยากจะกราบเรียนว่า หลายเรื่องที่เราพูดในวันนี้แม้แต่รัฐบาลก็ไม่ปฏิเสธ ความล้มเหลวในการบริหารราชการแผ่นดินของรัฐมนตรีบางท่าน ปรากฏว่าผู้อภิปรายที่อภิปรายได้ดีที่สุดคือ ท่านนายกฯ นั่นคือกรณีของท่านรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ทำงานต่อไม่ได้หรอกครับ ท่านอาจจะไม่คุ้นกับการเมืองครับ แต่ถ้าเป็นบริษัทเอกชนแล้วท่านเป็นผู้จัดการฝ่ายขาย กรรมการผู้จัดการใหญ่บอกท่านทำงานไม่ได้ต้องให้คนอื่นทำงานแทน อยู่ต่อไม่ได้ครับ ผมไม่มีเวลาที่จะมาตอบโต้กับรัฐมนตรีเรียงตัวแต่ว่า กราบเรียนรวม ๆ ว่า หลายเรื่องที่เราชี้ให้เห็นก็คือ ส่วนหนึ่งเป็นความล้มเหลว ความบกพร่อง การแก้ปัญหาความทุกข์ของประชาชน แต่อีกหลายส่วนมันน่าเสียดายว่า มันเกิดจากแรงจูงใจที่เราเขียนไว้ในญัตติว่า ไปตอบแทนบุญคุณ ผู้มีอำนาจในอดีต กระทรวงการคลัง กระทรวงยุติธรรม คิดถึงเรื่องการแต่งตั้งโยกย้าย เอาคนไปอยู่ในตำแหน่งสำคัญๆ ที่จะต้องดูแลเศรษฐกิจ ที่จะต้องดูแลกระบวนการยุติธรรมในวันนี้ ไม่น่าเชื่อเลยว่า เอาคนซึ่งมีปัญหา มีข้อครหา มีคดีติดตัว ทั้ง ๆ ที่มีคนอีกมากมายที่มีคุณสมบัติที่จะเป็นตำแหน่งเหล่านั้นได้ สภาพอย่างนี้แหละครับที่ผมกราบเรียนว่า มันไปไม่ได้
ผมกราบเรียนว่า ในส่วนของท่านนายกฯ นั้น ผมก็ไม่อยากจะใช้วิธีการแบบโต้วาที แต่กราบเรียนว่า วันนี้ครับเราต้องเดินไปข้างหน้าจริงๆ การบริหารเศรษฐกิจแบบยังถ้อยทีถ้อยอาศัย ไม่แน่ใจว่าคนนี้มีฝีมือหรือเปล่า ต้องเอาคนอีกกระทรวงมาคอยช่วยดูแล การเปลี่ยนแปลงทิศทางสัญญาณรายวัน มันไม่ได้หรอกครับ ถ้าเรามองไปข้างหน้าแล้วเห็นวิกฤตพลังงาน อาหาร ซึ่งเคยเป็นโอกาสแล้วท่านเปลี่ยนเป็นวิกฤต และปัญหาอื่นๆ รออยู่ข้างหน้า มันไปไม่ได้หรอกครับในวันที่เราต้องการความสมานฉันท์ แต่ว่าท่านยังไม่ยอมรับว่า ความวุ่นวายที่เกิดขึ้นทั้งหมดนี้ก็เพราะว่า ประชาชนยอมรับไม่ได้กับการที่ไม่ปล่อยให้กระบวนการยุติธรรมทำงาน การเดินหน้าไปตามระบบ ระเบียบแบบแผนของการเมืองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
ปัญหาทั้งหลายเหล่านี้ผมจะกราบเรียนว่า ผมปรารถนาเพียงแค่ว่า มันน่าจะมีความเปลี่ยนแปลง เปลี่ยนแปลงแล้วผมจะเป็นฝ่ายค้านต่อ ไม่เป็นไรหรอกครับ แต่ผมอยากให้โอกาสคนไทย ประเทศไทยบ้าง อยากได้รัฐบาลที่ประชาชนเชื่อมั่น แก้ไขปัญหาเศรษฐกิจได้ อยากได้รัฐบาลที่ไม่ชวนทะเลาะกับประชาชน อยากได้รัฐบาลซึ่งมาจากการเลือกตั้งแล้ว รักษาประชาธิปไตยด้วยการเคารพหลักการพื้นฐานต่างๆ ทั้งหมด แต่ 4 เดือนที่ผ่านมามันพิสูจน์แล้วครับ ว่าท่านทำตรงกันข้าม จากที่เคยหวังวันนี้ ผมเชื่อว่าพี่น้องประชาชนไม่ได้คาดหวังอีกแล้วหล่ะครับ รายได้เพิ่มขึ้น 4 เท่า รายจ่ายลดลง 4 เท่า ประชาชนรักใคร่กลมเกลียว สามัคคี วันนี้คิดแค่เพียงว่าจะอยู่รอดกันไปหรือเปล่า จะหลีกเลี่ยงความรุนแรงได้ไหม ในวันที่ผู้มีอำนาจยังส่งเสียงดังๆ ชวนประชาชนทะเลาะตลอดเวลา
ท่านประธานที่เคารพครับ ผมจึงจะกราบเรียนว่าพวกกระผมเห็นว่าเรื่องที่เสียหายอยู่นี้ เพราะว่าท่านมัวแต่มุ่งตอบแทนบุญคุณของผู้มีอำนาจในอดีต ท่านนายกฯ ลุกขึ้นตอบเสียงดังฟังชัดว่า ท่านไม่เป็นหนี้บุญคุณใคร แต่คนคนนั้น ต้องเป็นหนี้บุญคุณท่าน ผมกราบเรียนท่านประธานว่า มาคิดดูอีกที น่าจะใช่ครับ เพราะ 4 เดือนที่ผ่านมาครับ ท่านทำให้เขาล้นเหลือ ท่านทำให้เขาล้นเหลือครับ วันนี้ท่านถึงกล้าประกาศว่าเขาเป็นหนี้บุญคุณท่านแล้ว กระผมเพียงแต่จะสรุปว่า วันนี้บุญคุณระหว่างกันส่วนตัวทางการเมือง ไม่มีเวลาอีกต่อไปแล้วครับสำหรับคนไทยและประเทศไทย วันนี้ถึงเวลาที่เราจะได้รัฐบาลที่มาตอบแทนบุญคุณคนไทยทั้งประเทศ และบรรพบุรุษไทย กระผมไม่ไว้วางใจท่าน และรัฐมนตรีทั้ง 7 ท่านตามญัตติไม่ไว้วางใจครับ กราบขอบพระคุณครับ”