ศึกซักฟอกรัฐบาลนอมินี“สมัคร” กับ ”7รมต.” ยกแรกดุเดือด "อภิสิทธิ์" ซัด "สมัคร" ขาดภาวะผู้นำ บริหารประเทศ 4 เดือนไม่มีผลงานเป็นชิ้นเป็นอัน ฉะนั่งดู ปตท.ฟันกำไรน้ำมัน ปล่อยคนไทยกระอักเลือด พร้อมแฉเอกสาร 11 หน้าพร้อมลายเซ็น “หมัก” ดันโครงการรถแอร์ฉาว ชี้ชัดไม่เหมาะสมที่จะดำรงตำแหน่งนายกฯอีกต่อไป ด้าน "หมัก" ไม่ทิ้งบทพ่อค้าปากตลาดเล่นบทถนัดด่ากราด "มาร์ค" เด็กวานซืนปั้น 9 ข้อหาดูแคลนแค่อยากเป็นนายกฯ ปากกล้าขาสั่นไม่กลัวการเมืองนอกสภาไม่เคยทำบ้านเมืองเสียหาย โวย รมว.คมนาคมตกเป็นเหยื่อการเมือง แค่วาดไอเดียรถเมล์ติดแอร์ พร้อมเดินหน้าต่อไป
การประชุมสภาผู้แทนราษฎรวานนี้ (24 มิ.ย.) เริ่มขึ้นในเวลา 13.30 น.โดยมีนายชัย ชิดชอบ ประธานสภาผู้แทนราษฏร เป็นประธานการประชุม ซึ่งวาระสำคัญคือญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจ นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรี 7 คนของพรรคฝ่ายค้าน โดยบรรยากาศเป็นไปอย่างคึกคัก มี ส.ส.ทั้งฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายค้านทยอยเดินทางมาร่วมประชุมอย่างพร้อมเพียง โดยในส่วนของฝ่ายค้าน ได้เตรียมเอกสารสำหรับการอภิปรายมาอย่างเต็มที่โดยเฉพาะประเด็นปราสาทเขาพระวิหาร ที่จะเป็นไฮไลต์สำคัญในการอภิปราย
ทันทีที่การประชุมเริ่มขึ้น บรรยากาศก็เริ่มดุเดือดทันทีเมื่อนายองอาจ คล้ามไพบูลย์ ส.ส.กทม.พรรคประชาธิปัตย์ ขอหารือกับประธานสภาถึงการถ่ายทอดสดการประชุมของสถานีโทรทัศน์ เอ็นบีที ที่เกรงว่าอาจจะเหมือนกรณีการอภิปรายของ ส.ว.ที่ผ่านมา เนื่องจากมีปัญหาการถ่ายทอดที่มีการตัดไปเสนอข่าวเป็นระยะๆ ทำให้ประชาชนติดตามดูไม่ต่อเนื่อง จึงไม่อยากให้การอภิปรายครั้งนี้เกิดปัญหาเช่นกัน เพราะทราบข่าวว่าจะมีการตัดเข้าข่าวรวม 4 ชั่วโมง ซึ่งถือว่าผิดปกติ จึงอยากให้เกิดความชัดเจนว่า จะมีการถ่ายทอดอย่างต่อเนื่อง ยกเว้นกรณีถ่ายทอดข่าวพระราชสำนัก
”สาก”โดดป้อง ”แม้ว”แต่ไก่โห่
อย่างไรก็ตาม ส.ส.พรรคพลังประชาชน ได้ลุกขึ้นประท้วงการอภิปรายของนายองอาจ ว่า ไม่ควรเอาเรื่องนี้มาเล่นเกม ทำให้กรมประชาสัมพันธ์ต้องเสื่อมเสีย ขณะที่นายชัย ได้พยายามไกล่เกลี่ยว่า เรื่องนี้รัฐมนตรีรับที่จะไปดูแลแล้ว แต่นายองอาจ ถามจี้ว่า อยากทราบว่า รัฐมนตรีคนไหนดูแล เพราะขณะนี้ไม่มีรัฐมนตรีคนไหนรับผิดชอบดูแลกรมประชาสัมพันธ์ ทำให้นายชัย ยอมรับว่า ตนก็ไม่รู้ว่าใครรับผิดชอบรู้อย่างเดียวว่ารัฐบาลชุดนี้นายสมัคร สุนทรเวช เป็นผู้รับผิดชอบ และคิดว่าทุกอย่างน่าจะเรียบร้อย
ขณะที่นายองอาจ ยังคงพยายามจี้ถามว่า ประธานสภาจะต้องชัดเจนในเรื่องนี้ไม่ใช่บอกเพียงว่า "น่าจะเรียบร้อย" ต้องระบุว่าเรียบร้อยอย่างไรทำให้นายชัย กล่าวสวนว่าถ้าอยากให้ชัดเจนการอภิปรายงบประมาณก็ควรจะจัดงบประมาณมาก้อนหนึ่งซื้อสถานีโทรทัศน์สำหรับสภาจะได้ถ่ายทอดได้เต็มที่
ด้าน ร.ต.ท.เชาวริน ลัทธศักดิ์ศิริ ส.ส.สัดส่วน พรรคพลังประชาชน กล่าวว่า ตนอยากให้ใครที่จะอภิปรายพาดพิงถึงอดีตนายกรัฐมนตรี พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร จะต้องเอ่ยยศให้ครบถ้วนไม่ใช่เอ่ยแค่ "ทักษิณ" อย่างเดียว เพราะท่านเป็นตำรวจ และได้ยศ"พันตำรวจโท" ได้มาจากการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง ใครไม่มีสิทธ์จะไปถอดยศท่านได้ ถ้าจะปลด ต้องให้ในหลวงทรงโปรดเกล้าฯ ปลดจากตำแหน่งเท่านั้น ปรากฏว่า ได้รับเสียงโห่ จากสื่อมวลชนจำนวนมากที่ติดตามเสนอข่าวการอภิปรายไม่ไว้วางใจครั้งนี้
อย่างไรก็ตาม หลังจากที่ประชุมสภาใช้เวลากว่าครึ่งชั่วโมงในการหารือ และประท้วงจากนั้นได้เริ่มเข้าสู่ระเบียบวาระโดยนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ผู้นำฝ่ายค้านและหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ได้กล่าวเปิดญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจนายสมัคร สุนทรเวช และคณะรัฐมนตรีเป็นรายบุคคล ประกอบด้วย 1.นายแพทย์สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.การคลัง 2.นายมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรมว.พาณิชย์ 3.ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รมว.มหาดไทย 4.นายสมพงษ์ อมรวิวัฒน์ รมว.ยุติธรรม 5. นายสันติ พร้อมพัฒน์ รมว.คมนาคม 6. นายทรงศักดิ์ ทองศรี รมช.คมนาคม 7.นายนพดล ปัทมะ รมว.การต่างประเทศ
ซัด 4 เดือนผลงานไม่เป็นชิ้นเป็นอัน
นายอภิสิทธิ์ กล่าวถึงเหตุผลในการยื่นญัตติไม่ไว้วางใจว่า รัฐบาลได้บริหารราชการแผ่นดินบกพร่อง ผิดพลาด ล้มเหลว ไร้ประสิทธิภาพจนประชาชนเกิดความเดือดร้อนอย่างรุนแรง ขาดคุณธรรม ขาดจริยธรรม ขัดหลักนิติธรรม ใช้อำนาจหน้าที่บีบบังคับให้ข้าราชการยอมตนเป็นพวก เพื่อกลั่นแกล้งบุคคลอื่นที่กระทำการปกป้องผลประโยชน์ของประเทศชาติ จนได้รับความเสียหาย มุ่งตอบสนองผู้มีบุญคุณในทางการเมืองส่วนตน โดยละเลยผลประโยชน์ของประชาชน เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตัวและพวกพ้อง มากกว่าการปกป้องผลประโยชน์ของประเทศ ใช้ข้อมูลอันเป็นเท็จ ปั้นแต่งโครงการ เพื่อเตรียมการแสวงประโยชน์โดยมิชอบ ไม่สมควรดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีต่อไป
นายอภิสิทธิ์ กล่าวเปิดอภิปรายยืนยันว่า การนำเสนอญัตติทั้ง 2 ญัตติ เป็นไปตามเงื่อนไข และกระบวนการและต้องขอบคุณรัฐบาล ที่ให้ทำหน้าที่ในวิถีทางของรัฐสภา แต่มีการกล่าวหาว่า ไม่เคยมีประเพณีที่จะอภิปรายในสมัยวิสามัญ และเป็นการอภิปรายล่วงหน้าโดยความเสียหายยังไม่ทันเกิดขึ้น แต่ในประวัติศาสตร์นายสมัครเคยทำมามาแล้ว สมัยเป็นหัวหน้าพรรคการเมืองในฝ่ายค้าน โดยอ้างว่าเป็นเรื่องดีมีประโยชน์ เพราะต้องการยับยั้งความเสียหาย แต่พอมาเป็นรัฐบาลกลับไม่ยืนหยัดอุดมการณ์ หรือยึดหลักความเป็นประชาธิปไตย
"พวกผมไม่ได้แค่นที่จะเขียนญัตติ หรือกระเหี้ยนกระหือรือ ที่จะอภิปราย แต่จะแสดงให้เห็นว่า เรามีเหตุผล ความชอบธรรม และจำเป็นที่จะต้องเดินหน้า ผมเสียอีกที่จะถามท่านว่า ที่เปลี่ยนใจให้มาอภิปรายในวันนี้ แค่นหรือกระเหี้ยนกระหือรือ เพราะไม่เคยมีมาก่อนที่ตัดสินใจเปลี่ยนกะทันหัน บอกว่าวันศุกร์ไม่มีอภิปราย วันเสาร์มาเปลี่ยนระเบียบวาระ โดยบอกให้เริ่มกันวันอังคาร นายกฯบ่นเสมอว่า เพิ่งเข้ามาทำงานได้ 4 เดือน ยังไม่ทันทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน ซึ่งก็เป็นความจริง เพราะไม่เป็นชิ้นเป็นอันจริงๆ 4 เดือนของรัฐบาล จึงนานมากสำหรับประชาชน ที่เขาคาดหวังว่าเลือกตั้งมาแล้วการเมืองจะสงบ เศรษฐกิจจะฟื้นตัว พี่น้อง 3 จังหวัดภาคใต้ จะเห็นความหวังว่าบ้านเมืองของเราเดินไปข้างหน้า"
นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่าตนจะพิสูจน์ให้เห็นว่า 4 เดือนที่ผ่านมา เป็นช่วงที่ประชาชนสูญเสียไปโดยเปล่าประโยชน์ ด้วยความไร้ประสิทธิภาพของนายกฯในการแก้ไขปัญหาหลัก ๆ ของชาติ ขณะเดียวกันก็เป็นเรื่องแปลกว่ากลับเป็น 4 เดือนที่มีประสิทธิภาพสูงมากในการทำงานให้กับพวกพ้อง และผู้มีบุญคุณของตัวเอง
"พวกผมไม่ได้ต้องการเสนอเพื่อจะสลับขั้ว เปลี่ยนขั้ว ผมไม่มีความทะเยอทะยานครับ สถานการณ์บ้านเมืองที่ท่านบริหารมาจนถึงวันนี้ ถ้าถามนักการเมืองคนไหนไม่มีใครอยากเข้าไปเป็นแทน เพราะปัญหาที่ท่านทิ้งไว้ มันหนักหนาสาหัสมาก"
ฉะนั่งดู ปตท.ฟันกำไรน้ำมัน
นายอภิสิทธิ์ ยังได้ชี้ 3 ประเด็นที่ประชาชนล้มเหลวต่อความคาดหวังกับรัฐบาลชุดนี้ คือ 1.ปัญหาเศรษฐกิจ ซึ่งมีทั้งวิกฤตการณ์พลังงาน วิกฤตการณ์เกี่ยวกับราคาอาหาร ปากท้องของแพงการดูแลคนยากคนจน และสภาวะเศรษฐกิจโดยเฉพาะความเสี่ยงในเรื่องของภาวะเงินเฟ้อ เป็นหัวใจสำคัญที่พี่น้องประชาชนผู้คนคาดหวังที่จะให้ท่านทำ 2.ต้องการเห็นการแก้ปัญหาภาคใต้ ที่เป็นระบบ ที่ให้ความหวัง ที่จะทำให้ชีวิตความเป็นอยู่ของพี่น้องใน 3 จังหวัดได้เปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้นอย่างชัดเจน และ 3.ต้องการจะเห็นความสมานฉันท์ในชาติ ไม่มีปัญหาความขัดแย้งรุนแรงบานปลาย เพื่อที่พี่น้องประชาชนคนไทยอยู่ในประเทศนี้ด้วยความสุขใจ ไม่วิตกกังวล ไม่เครียด ไม่มีความรู้สึกว่ามีการเผชิญหน้ากัน
นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า นายกฯล้มเหลวในเรื่องวิสัยทัศน์เกี่ยวกับบทบาทของรัฐวิสาหกิจทางด้านพลังงาน นายกฯนั่งดูประชาชนเดือดร้อนจากราคาน้ำมันที่ขึ้นรายวัน ขณะที่ ปตท.มีกำไรปีละแสนล้าน แล้วไม่มีความคิด ความอ่านที่จะเข้าไปตรวจสอบว่า อะไรจะเป็นประโยชน์สูงสุดกับประชาชนได้อย่างไร การแปรรูปรัฐวิสาหกิจสามารถทำได้ ถ้าทำอย่างถูกต้อง แต่วันนี้กำไรที่เกิดขึ้นมาจากโครงสร้างของการผูกขาด ที่จะต้องแก้ไข ติดขัดที่ พ.ร.บ.การแข่งขันทางการค้า พ.ศ.2542
แต่กระทรวงการคลังในฐานะผู้ถือหุ้นใหญ่กับกระทรวงพาณิชย์ผู้รักษากฎหมายนี้เคยมาวางแนวทางให้กับคนไทยทั้งประเทศว่า กำไรเป็นแสนล้านนั้นจะคืนกลับมาให้ประชาชนได้อย่างไร วันนี้มีการปันผลประมาณปีละ 3 หมื่น และปัจจุบันหุ้นของรัฐบาลเหลือเพียงครึ่งเดียว กำไรที่มาอยู่ที่รัฐบาล เพื่อจะช่วยประชาชนประมาณ 1-2 หมื่นล้าน ถือเป็นตัวอย่างของการบริหารไปวันๆ ขณะที่มองไม่เห็นมาตรการรองรับในอนาคต และเกิดความขัดแย้งทางความคิดใน ครม.เอง
รวมถึงการพลาดโอกาสให้ไทยได้ประโยชน์จากปัญหาวิกฤตอาหารโลก ล้มเหลวปล่อยโอกาสทองหลุดมือไปกลายมาเป็นวิกฤต เพราะการบริหารงานที่สับสนของรัฐมนตรีที่รับผิดชอบ และความคิดที่ไม่เป็นเอกภาพที่นายกฯต้องร่วมรับผิดชอบด้วย เพราะปล่อยให้มีการบริหารเช่นนี้ นอกจากนี้ยังมีขบวนการที่จะเอาชาวต่างประเทศมาทำนา ทั้งที่ รมว.เกษตรฯ ได้รายงานเรื่องนี้เข้าสู่ ครม.ว่าจะเป็นการทำผิดกฎหมายอย่างน้อย 2 ฉบับ นายกฯได้สืบสวนสอบสวนหรือไม่ว่าใครคิดทำเช่นนั้น ไร้ประสิทธิภาพ การไม่มองเหตุการณ์ล่วงหน้าสิ่งเหล่านี้ไม่ได้เกิดขึ้นเลยคือความสูญเสียที่เกิดขึ้นกับพี่น้องคนไทย
“ภาวะเศรษฐกิจที่น่าเป็นห่วงที่รออยู่ข้างหน้าคือเรื่องเงินเฟ้อ ขณะที่การทำงานระหว่างกระทรวงการคลังกับธนาคารแห่งประเทศไทยที่ไม่มีความเป็นเอกภาพ เกิดความขัดแย้งในการแต่งตั้งพรรคพวกตัวเองมาดำรงตำแหน่งตามที่ต่าง ๆ ในยามหน้าสิ่วหน้าขวานที่ต้องแก้ปัญหาเงินเฟ้อคิดแต่จะเล่นพรรคเล่นพวก”
แฉลายเซ็น“หมัก”ดันโครงการฉาว
นายอภิสิทธิ์ ยังอภิปรายถึงเรื่องที่นายกฯอ้างว่าเป็นการโยนหินถามทาง คือ โครงการรถเมล์ปรับอากาศว่า ตนมีหนังสือที่ทางกระทรวงคมนาคมได้ทำเรื่องเสนอไปยัง ครม.เพื่อให้พิจารณา เอกสารมีทั้งหมด 11 หน้า ระบุถึงเรื่องงบประมาณที่ชัดเจน คือ 111,690 ล้านบาท ที่สำคัญยังมีลายเซ็นของนายกฯ เสนอต่อ ครม.เพื่อพิจารณา ถ้าคิดว่าโยนหินถามทาง หรือทำเรื่องถูกต้องแล้ว ทำไมคนเซ็นเสนอ ครม. ถึงถอนเรื่องออกเอง ส่วนงบประมาณที่ระบุก็มีรายละเอียดที่ชัดเจน คร่าวๆ ก็มีการเช่าที่จอดรถแพงกว่าความเป็นจริงมาก อย่างไรก็ตามตนสนับสนุนให้ขสมก.มีรถที่ดีให้ประชาชนมีรถที่ดีนั่ง แต่ไม่สนับสนุนให้คนมาหากินกับเรื่องนี้
ส่วนเรื่องปัญหาภาคใต้ที่ยังไม่ได้รับการเยียวยา เป็นเพราะหลักคิดของนายกฯว่าเรื่องดังกล่าวปล่อยให้ตำรวจ ทหารทำแล้วเรื่องจะจบ ไม่เข้าใจถึงความละเอียดอ่อนในปัญหา ไม่มีการทำเรื่องการสร้างสมานฉันท์ ซ้ำยังมีการปกป้องพวกพ้องของตนเอง เช่น การย้ายอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) เนื่องจากมีเหตุที่เกี่ยวข้องกับคดีของอดีตนายกฯย้ายนายตำรวจ
นอกจากนั้นยังมุ่งหน้าแก้ไขรัฐธรรมนูญ ดังนั้น กระบวนการสมานฉันท์จึงไม่เกิด และเป็นชนวนให้คนออกมาชุมนุม ดังนั้นคนที่ล้มเหลวในการสร้างสมานฉันท์คือ ตัวนายกฯ เอง และหากยังเป็นเช่นนี้ตลอด 4 ปีก็จะเป็นเช่นนี้ แล้วบ้านเมืองจะเดินหน้าไปได้อย่างไร ซึ่งทุกคนที่มองก็ตอบเป็นเสียงเดียวกันว่ารัฐบาลที่ดีต้องมีการเปลี่ยนแปลง
“หมัก"เดือดหาว่า"มาร์ค"หยาม
นายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี กล่าวตอบโต้การอภิปรายของนายอภิสิทธิ์ว่า มีการเขียนญัตติโจมตีต่างๆ นานาว่า นั่นเป็นมือสมัครเล่น แต่ตนคือสมัครจริง ที่แค่นเขียนมาว่า ตนแย่ขนาดนั้น ตนคิดว่า ผู้ยื่นญัตติคงมองว่าบริหาร 4 เดือน ทำไมยาวนานทรมานเหลือเกิน ทำไมพรรคเส็งเคร็ง ถึงได้มาตัดสินโครงการใหญ่ๆเช่น ขนส่งมวลชน รถไฟรางคู่ ผันน้ำ เป็นแสนล้านบาท ทำไมรัฐบาลหน้าโง่นี้จึงมีโอกาส
"ปัทโธ่ อยากเหลือเกิน อยากเป็นนายกฯ แสดงความอยากให้คนเห็นทั้งบ้านทั้งเมือง เสียง 164 กับ 306 ก็จะเอากันให้ได้ คนรู้กันทั้งบ้านทั้งเมืองว่า จะอภิปรายไม่ไว้วางใจได้ก็ต้อง 21 ม.ค.ปีหน้า เลยแทรกยื่นญัตติให้ได้ตอนที่จะพิจารณางบประมาณ แต่ผมก็เปิดให้ และไม่ใช่การเมืองข้างนอกบีบบังคับ เพราะผมไม่กลัวการเมืองข้างนอก ถ้าประชาธิปัตย์ เห็นว่าข้างนอกดีก็เป็นสิทธิ แต่ย้ำว่า อยู่การเมืองมาขนาดนี้ ปล่อยให้คนอายุ 40 กว่าๆ มากระแทกแดกดัน ผมหน้าโง่ขนาดนั้นเลยหรือ ผมรู้บุญคุณ ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช เดินออกจากประชาธิปัตย์ แต่ก็ไม่เคยดูแคลนพรรค ฉะนั้น อย่ามาเก่งกาจเกินขนาด ใช้คำแบบนี้มากเกินไป"
นายสมัคร กล่าวว่า สำหรับเรื่องรถเมล์ 6 พันคัน ก็ถอนออกจาก ครม.แล้ว เพราะเพียงแต่คิดกันมา แต่ก็มีข่าวตอบโต้กันมากมายแล้ว ตนบอกรัฐมนตรีที่รับผิดชอบว่า นี่จะโดนเอามาเป็นเหยื่อการเมือง ขอให้ไปทำมาให้ดีก่อนว่าจะเลือกอย่างไร ไม่เช่นนั้นจะโดนด่าว่า เลือกบริษัทให้แล้ว
ส่วนปัญหาน้ำมัน ทุกประเทศโดนวิกฤตนี้กันหมด แต่คนเข้าใจแล้วว่า ไม่ใช่ความโง่ของรัฐบาลเรื่อน้ำมันแพง และส่งผลไปถึงสินค้าอื่นๆ ส่วนเรื่องข้าวที่บอกว่าราคาทั่วโลกแพง แต่ชาวนาไทยไม่ได้ประโยชน์จนต้องเดินขบวน ตอนนี้รัฐบาลกำลังทำอยู่ รอข้าวออกอยู่ พยุงราคาอยู่ ส่วนเรื่องน้ำตาล ก็ทำอยู่เช่นกัน
พปช.มีคนเก่งน้อย แต่ทำงานมีเหตุผล
นายสมัคร กล่าวว่า ส่วนปัญหาสมานฉันท์ มาตำหนิตนอย่างนั้นอย่างนี้ ถ้าตนเป็นคนชั่วร้ายเลวทรามก็ว่าไป แต่นี่กล่าวหาว่า เอาคนไม่มีความสามารถมาเป็นรัฐมนตรี ขอถามว่า วัดอย่างไรเรื่องความสามารถ รัฐมนตรีก็จบปริญญาตรีกันหมด ถามว่าถ้าพรรคประชาธิปัตย์เป็นรัฐบาลจะเอาคนนอกมาเป็นรัฐมนตรีหมดเลยหรือ ยอมรับว่าพรรคฝ่ายค้าน มีคนเก่ง แต่พรรคนี้คนเก่งมีไม่เยอะ แต่ระบบพรรคมีอยู่และเลือกตั้งมา แต่ทำไมดูแคลนกัน นี่ก็แสดงให้เห็นความอยากจึงมาแค่นกันอย่างนี้ วันนี้ต้องพูดกันตรงๆ เพื่อให้คนในบ้านเมืองเข้าใจ ไม่เช่นนั้นก็ประโคมกัน ยืนยันว่าทุกอย่างที่รัฐบาลทำมีเหตุผล ไปถามเลยว่ามี ครม.ชุดไหน ที่คนนั่งหัวโต๊ะ บริหาร 35 คนให้ทำงานร่วมกันเป็นครอบครัวเดียวกันเหมือนพรรคเดียว ตนนี่แหละ บางครั้งไปกินข้าวกันแค่ 8 คน แล้วมีสื่อไป ตนก็แสดงความประหลาดใจได้ แต่ก็มาหาว่าตนทำหน้าทำตา ตนนัดกันไม่กี่คน แต่เล่นมากันเป็นร้อย ก็แสดงความประหลาดใจ แล้วก็ถามนำ อย่างนั้นอย่างนี้
"ผมทำงานก็รู้จักที่จะฟังข้าราชการประจำ แม้ผมไม่เก่งเท่าคนในประชาธิปัตย์ แต่ผมเข้าใจ เหมือนตีกอล์ฟ ผมเล่นไม่เป็น แต่ดูเป็น และสนุกไปด้วย ส่วน ครม.ถ้าเข้าใจแล้วก็บริหารได้ มีสติปัญญา คิดเป็นรู้ว่าอะไรควรทำอะไรควรเป็น ผมคุยกับนานาชาติได้ อย่างพม่า ทำไมคนอย่างผม เลขาสหประชาชาติโทรมา ให้คุยกับพม่าเปิดประตูรับความช่วยเหลือเหตุภัยพิบัติ แต่ผมก็โดนหัวหน้าพรรคฝ่ายค้านดูแคลนอย่างแรงว่า จัด ครม.ไม่เป็นสับปะรด บริหารไม่เป็น คิดไม่เป็น ผมจึงต้องชี้แจงว่า ไม่ได้เป็นอย่างที่โดนกล่าวหา ผมมีความสามารถในการคุยกับต่างประเทศ เช่น จะดึงพม่าออกจากเงามืด ถ้าผมไม่อภิปราย คนจะไม่รู้ความสามารถผม แน่นอนบ้านเมืองนี้มีปัญหา เพราะหลังจากปฏิวัติ ต่างประเทศไม่ติดต่อ เศรษฐกิจก็เสียหาย เราต้องกอบกู้ แต่โชคไม่ดีนักการเมืองเก่งๆ หมดสิทธิ์หลายคน ผมก็พยายามหาคนมา" นายสมัครกล่าว
ยันไม่เคยทำบ้านเมืองเสียหาย
นายสมัคร กล่าวต่อว่า เรื่องแก้รัฐธรรมนูญ ตนพูดชัดว่า ไม่เห็นด้วยกับการแก้มาตรา 309 แต่เห็นด้วย กับการแก้ มาตรา 237 ท่อนหลัง แต่ถ้าไม่อยากให้แก้รัฐธรรมนูญ คราวหลังก็ให้เขียนบอกไว้ ทั้งนี้ รัฐธรรมนูญแก้ได้ แต่ต้องทำให้ถูกตามกฎหมาย และไม่มีการปลุกระดม แต่วุฒิสภาอภิปราย เมื่อวันที่ 23 มิ.ย.ก็หาว่าตนจะแก้เพื่อให้เป็นสาธารณรัฐ หรือล้มองคมนตรี เล็กๆ น้อยๆ ก็เอากันให้ได้ ถามว่ารัฐธรรมนูญทำไมจะแก้ไม่ได้ การแก้ทำไมเป็นชนวนให้คนลุกฮือ หรือฝ่ายค้านเห็นด้วยกับฉบับนี้ ก็ไม่ต้องลงคะแนนให้ ส.ส.พรรครัฐบาลร่วมกับ ส.ว.ร่วมกันทำได้ และแก้ก็เพื่อใช้ในวันข้าวหน้า ไม่ได้แก้เพื่อใช้ช่วยใครในวันนี้ คดีของนักการเมืองที่มีอยู่ก็ต้องขึ้นศาลอยู่แล้ว แต่ก็มีการปลุกระดม ตนแปลกใจที่บางพรรคเห็นชอบกับการปลุกระดม
ส่วนที่โจมตีว่า รัฐมนตรีคนหนึ่งของพรรคมีทัศนคติอันตรายแล้วนายกฯไม่จัดการ ทุกคนทราบว่า นายจักรภพ เพ็ญแข อดีต รมต.ประจำสำนักนายกฯ ที่ฝ่ายค้านระบุพูดเรื่องที่เป็นชนวนที่สมาคมผู้สื่อข่าวต่างประเทศ เมื่อสิงหาคม 50 ทุกคนก็ถอดเทปเก็บไว้หมด ถามว่าเก็บความจงรักภักดีไว้ในแฟ้มทำไม พอนายจักรภพ มาเกี่ยวกับสื่อหรือไปเหยียบหางตำรวจคนหนึ่งเข้า ก็มาจัดการ แต่พอมาถามตน ตนก็บอกว่าให้ตำรวจจัดการ กลายเป็นหัวหน้ารัฐบาลไม่เอาใจใส่เรื่องนี้อีก แล้วจะให้ตนทำอย่างไร เพราะมีกระบวนการยุติธรรมอยู่
"สรุปสุดท้ายว่า 9 ข้อ ที่กล่าวหามานั้น ดูแคลนมาก เป็นผมไม่ทำ อยากบอกว่า บางครั้ง คนที่ทำงานต้องรับผิดชอบ แต่คนที่เฝ้าไม่ต้องรับผิดชอบ เหมือนนักฟุตบอล คนที่เก่งลงสนาม แต่คนดูไม่รู้หรอดว่าในสนามเป็นอย่างไร ผมเป็นหัวหน้ารัฐบาล ก็ต้องดูแล ถามว่า อย่างรัฐบาลที่แล้วทำไมไม่มีใครหือ แต่รัฐบาลนี้เข้ามาก็จะเอาให้ได้ อเมริกา รัฐบาลใหม่เข้ามา เขาให้เวลา 2 เดือนครึ่ง ปรับเปลี่ยนหมด โยกย้ายหมด แต่ของเรา คณะปฏิวัติเข้ามาก็เอาผู้พิพากษา ที่ต้องอยู่ตรงกลางเพื่อวินิจฉัย มาเป็นรัฐมนตรี ปลัดกระทรวง อธิบดี กกต. เลขาฯกกต.ก็เสียหายไปถึงระบบการพิพากษา
ฉะนั้น ที่เราเข้ามาใหม่ อธิบดีท่านหนึ่งที่เราโดนโจมตีว่า โยกย้ายไม่เป็นธรรม ท่านอยากกลับไป เราก็ขอให้ท่านมาอยู่ตรงนี้ก่อน ทำไมจะเปลี่ยนอะไรไม่ได้ การเป็นคนดีต้องเปลี่ยนอะไรไม่ได้อย่างนั้นหรือ ทั้งนี้รัฐบาลก็เปลี่ยนเท่าที่จำเป็นเท่านั้น ย้ำว่าผมรับผิดชอบต่อทุกเรื่อง การตรวจสอบของฝ่ายค้านเป็นเรื่องดี แต่ที่จะเอาเป็นเอาตาย ประโคมข่าวมันรุนแรงมากเกินเหตุ 4 เดือนที่ผ่านมา ผมแน่ใจว่า ไม่ได้ทำให้บ้านเมืองเสียหาย ยืนยันเดินหน้าต่อ และยืนยันว่า มีความสามารถบริหาร แต่ถ้าหัวหน้าฝ่ายค้านดูแคลนนายกฯ อย่างนี้ ขอให้คิดดูด้วย ที่เอาความอยากได้ใคร่ดี จนมาเล่นงานให้เจ็บช้ำ คนทั้งโลกฟัง ผมเสียหาย แต่ไม่เป็นไร จะสับโขกยังไงรวมทั้งรัฐมนตรีอีก 7 คน ก็ว่าไป แต่ผมเป็นคนมีสกุล ไม่เนรคุณใคร ฉะนั้นโปรดกรุณอย่ากล่าวหา ถามว่า 4 เดือน ท่านยังทนรอไม่ได้ แล้ว 4 ปี จะทนไหวหรือ" นายสมัคร กล่าว
การประชุมสภาผู้แทนราษฎรวานนี้ (24 มิ.ย.) เริ่มขึ้นในเวลา 13.30 น.โดยมีนายชัย ชิดชอบ ประธานสภาผู้แทนราษฏร เป็นประธานการประชุม ซึ่งวาระสำคัญคือญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจ นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรี 7 คนของพรรคฝ่ายค้าน โดยบรรยากาศเป็นไปอย่างคึกคัก มี ส.ส.ทั้งฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายค้านทยอยเดินทางมาร่วมประชุมอย่างพร้อมเพียง โดยในส่วนของฝ่ายค้าน ได้เตรียมเอกสารสำหรับการอภิปรายมาอย่างเต็มที่โดยเฉพาะประเด็นปราสาทเขาพระวิหาร ที่จะเป็นไฮไลต์สำคัญในการอภิปราย
ทันทีที่การประชุมเริ่มขึ้น บรรยากาศก็เริ่มดุเดือดทันทีเมื่อนายองอาจ คล้ามไพบูลย์ ส.ส.กทม.พรรคประชาธิปัตย์ ขอหารือกับประธานสภาถึงการถ่ายทอดสดการประชุมของสถานีโทรทัศน์ เอ็นบีที ที่เกรงว่าอาจจะเหมือนกรณีการอภิปรายของ ส.ว.ที่ผ่านมา เนื่องจากมีปัญหาการถ่ายทอดที่มีการตัดไปเสนอข่าวเป็นระยะๆ ทำให้ประชาชนติดตามดูไม่ต่อเนื่อง จึงไม่อยากให้การอภิปรายครั้งนี้เกิดปัญหาเช่นกัน เพราะทราบข่าวว่าจะมีการตัดเข้าข่าวรวม 4 ชั่วโมง ซึ่งถือว่าผิดปกติ จึงอยากให้เกิดความชัดเจนว่า จะมีการถ่ายทอดอย่างต่อเนื่อง ยกเว้นกรณีถ่ายทอดข่าวพระราชสำนัก
”สาก”โดดป้อง ”แม้ว”แต่ไก่โห่
อย่างไรก็ตาม ส.ส.พรรคพลังประชาชน ได้ลุกขึ้นประท้วงการอภิปรายของนายองอาจ ว่า ไม่ควรเอาเรื่องนี้มาเล่นเกม ทำให้กรมประชาสัมพันธ์ต้องเสื่อมเสีย ขณะที่นายชัย ได้พยายามไกล่เกลี่ยว่า เรื่องนี้รัฐมนตรีรับที่จะไปดูแลแล้ว แต่นายองอาจ ถามจี้ว่า อยากทราบว่า รัฐมนตรีคนไหนดูแล เพราะขณะนี้ไม่มีรัฐมนตรีคนไหนรับผิดชอบดูแลกรมประชาสัมพันธ์ ทำให้นายชัย ยอมรับว่า ตนก็ไม่รู้ว่าใครรับผิดชอบรู้อย่างเดียวว่ารัฐบาลชุดนี้นายสมัคร สุนทรเวช เป็นผู้รับผิดชอบ และคิดว่าทุกอย่างน่าจะเรียบร้อย
ขณะที่นายองอาจ ยังคงพยายามจี้ถามว่า ประธานสภาจะต้องชัดเจนในเรื่องนี้ไม่ใช่บอกเพียงว่า "น่าจะเรียบร้อย" ต้องระบุว่าเรียบร้อยอย่างไรทำให้นายชัย กล่าวสวนว่าถ้าอยากให้ชัดเจนการอภิปรายงบประมาณก็ควรจะจัดงบประมาณมาก้อนหนึ่งซื้อสถานีโทรทัศน์สำหรับสภาจะได้ถ่ายทอดได้เต็มที่
ด้าน ร.ต.ท.เชาวริน ลัทธศักดิ์ศิริ ส.ส.สัดส่วน พรรคพลังประชาชน กล่าวว่า ตนอยากให้ใครที่จะอภิปรายพาดพิงถึงอดีตนายกรัฐมนตรี พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร จะต้องเอ่ยยศให้ครบถ้วนไม่ใช่เอ่ยแค่ "ทักษิณ" อย่างเดียว เพราะท่านเป็นตำรวจ และได้ยศ"พันตำรวจโท" ได้มาจากการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง ใครไม่มีสิทธ์จะไปถอดยศท่านได้ ถ้าจะปลด ต้องให้ในหลวงทรงโปรดเกล้าฯ ปลดจากตำแหน่งเท่านั้น ปรากฏว่า ได้รับเสียงโห่ จากสื่อมวลชนจำนวนมากที่ติดตามเสนอข่าวการอภิปรายไม่ไว้วางใจครั้งนี้
อย่างไรก็ตาม หลังจากที่ประชุมสภาใช้เวลากว่าครึ่งชั่วโมงในการหารือ และประท้วงจากนั้นได้เริ่มเข้าสู่ระเบียบวาระโดยนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ผู้นำฝ่ายค้านและหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ได้กล่าวเปิดญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจนายสมัคร สุนทรเวช และคณะรัฐมนตรีเป็นรายบุคคล ประกอบด้วย 1.นายแพทย์สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.การคลัง 2.นายมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรมว.พาณิชย์ 3.ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รมว.มหาดไทย 4.นายสมพงษ์ อมรวิวัฒน์ รมว.ยุติธรรม 5. นายสันติ พร้อมพัฒน์ รมว.คมนาคม 6. นายทรงศักดิ์ ทองศรี รมช.คมนาคม 7.นายนพดล ปัทมะ รมว.การต่างประเทศ
ซัด 4 เดือนผลงานไม่เป็นชิ้นเป็นอัน
นายอภิสิทธิ์ กล่าวถึงเหตุผลในการยื่นญัตติไม่ไว้วางใจว่า รัฐบาลได้บริหารราชการแผ่นดินบกพร่อง ผิดพลาด ล้มเหลว ไร้ประสิทธิภาพจนประชาชนเกิดความเดือดร้อนอย่างรุนแรง ขาดคุณธรรม ขาดจริยธรรม ขัดหลักนิติธรรม ใช้อำนาจหน้าที่บีบบังคับให้ข้าราชการยอมตนเป็นพวก เพื่อกลั่นแกล้งบุคคลอื่นที่กระทำการปกป้องผลประโยชน์ของประเทศชาติ จนได้รับความเสียหาย มุ่งตอบสนองผู้มีบุญคุณในทางการเมืองส่วนตน โดยละเลยผลประโยชน์ของประชาชน เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตัวและพวกพ้อง มากกว่าการปกป้องผลประโยชน์ของประเทศ ใช้ข้อมูลอันเป็นเท็จ ปั้นแต่งโครงการ เพื่อเตรียมการแสวงประโยชน์โดยมิชอบ ไม่สมควรดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีต่อไป
นายอภิสิทธิ์ กล่าวเปิดอภิปรายยืนยันว่า การนำเสนอญัตติทั้ง 2 ญัตติ เป็นไปตามเงื่อนไข และกระบวนการและต้องขอบคุณรัฐบาล ที่ให้ทำหน้าที่ในวิถีทางของรัฐสภา แต่มีการกล่าวหาว่า ไม่เคยมีประเพณีที่จะอภิปรายในสมัยวิสามัญ และเป็นการอภิปรายล่วงหน้าโดยความเสียหายยังไม่ทันเกิดขึ้น แต่ในประวัติศาสตร์นายสมัครเคยทำมามาแล้ว สมัยเป็นหัวหน้าพรรคการเมืองในฝ่ายค้าน โดยอ้างว่าเป็นเรื่องดีมีประโยชน์ เพราะต้องการยับยั้งความเสียหาย แต่พอมาเป็นรัฐบาลกลับไม่ยืนหยัดอุดมการณ์ หรือยึดหลักความเป็นประชาธิปไตย
"พวกผมไม่ได้แค่นที่จะเขียนญัตติ หรือกระเหี้ยนกระหือรือ ที่จะอภิปราย แต่จะแสดงให้เห็นว่า เรามีเหตุผล ความชอบธรรม และจำเป็นที่จะต้องเดินหน้า ผมเสียอีกที่จะถามท่านว่า ที่เปลี่ยนใจให้มาอภิปรายในวันนี้ แค่นหรือกระเหี้ยนกระหือรือ เพราะไม่เคยมีมาก่อนที่ตัดสินใจเปลี่ยนกะทันหัน บอกว่าวันศุกร์ไม่มีอภิปราย วันเสาร์มาเปลี่ยนระเบียบวาระ โดยบอกให้เริ่มกันวันอังคาร นายกฯบ่นเสมอว่า เพิ่งเข้ามาทำงานได้ 4 เดือน ยังไม่ทันทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน ซึ่งก็เป็นความจริง เพราะไม่เป็นชิ้นเป็นอันจริงๆ 4 เดือนของรัฐบาล จึงนานมากสำหรับประชาชน ที่เขาคาดหวังว่าเลือกตั้งมาแล้วการเมืองจะสงบ เศรษฐกิจจะฟื้นตัว พี่น้อง 3 จังหวัดภาคใต้ จะเห็นความหวังว่าบ้านเมืองของเราเดินไปข้างหน้า"
นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่าตนจะพิสูจน์ให้เห็นว่า 4 เดือนที่ผ่านมา เป็นช่วงที่ประชาชนสูญเสียไปโดยเปล่าประโยชน์ ด้วยความไร้ประสิทธิภาพของนายกฯในการแก้ไขปัญหาหลัก ๆ ของชาติ ขณะเดียวกันก็เป็นเรื่องแปลกว่ากลับเป็น 4 เดือนที่มีประสิทธิภาพสูงมากในการทำงานให้กับพวกพ้อง และผู้มีบุญคุณของตัวเอง
"พวกผมไม่ได้ต้องการเสนอเพื่อจะสลับขั้ว เปลี่ยนขั้ว ผมไม่มีความทะเยอทะยานครับ สถานการณ์บ้านเมืองที่ท่านบริหารมาจนถึงวันนี้ ถ้าถามนักการเมืองคนไหนไม่มีใครอยากเข้าไปเป็นแทน เพราะปัญหาที่ท่านทิ้งไว้ มันหนักหนาสาหัสมาก"
ฉะนั่งดู ปตท.ฟันกำไรน้ำมัน
นายอภิสิทธิ์ ยังได้ชี้ 3 ประเด็นที่ประชาชนล้มเหลวต่อความคาดหวังกับรัฐบาลชุดนี้ คือ 1.ปัญหาเศรษฐกิจ ซึ่งมีทั้งวิกฤตการณ์พลังงาน วิกฤตการณ์เกี่ยวกับราคาอาหาร ปากท้องของแพงการดูแลคนยากคนจน และสภาวะเศรษฐกิจโดยเฉพาะความเสี่ยงในเรื่องของภาวะเงินเฟ้อ เป็นหัวใจสำคัญที่พี่น้องประชาชนผู้คนคาดหวังที่จะให้ท่านทำ 2.ต้องการเห็นการแก้ปัญหาภาคใต้ ที่เป็นระบบ ที่ให้ความหวัง ที่จะทำให้ชีวิตความเป็นอยู่ของพี่น้องใน 3 จังหวัดได้เปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้นอย่างชัดเจน และ 3.ต้องการจะเห็นความสมานฉันท์ในชาติ ไม่มีปัญหาความขัดแย้งรุนแรงบานปลาย เพื่อที่พี่น้องประชาชนคนไทยอยู่ในประเทศนี้ด้วยความสุขใจ ไม่วิตกกังวล ไม่เครียด ไม่มีความรู้สึกว่ามีการเผชิญหน้ากัน
นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า นายกฯล้มเหลวในเรื่องวิสัยทัศน์เกี่ยวกับบทบาทของรัฐวิสาหกิจทางด้านพลังงาน นายกฯนั่งดูประชาชนเดือดร้อนจากราคาน้ำมันที่ขึ้นรายวัน ขณะที่ ปตท.มีกำไรปีละแสนล้าน แล้วไม่มีความคิด ความอ่านที่จะเข้าไปตรวจสอบว่า อะไรจะเป็นประโยชน์สูงสุดกับประชาชนได้อย่างไร การแปรรูปรัฐวิสาหกิจสามารถทำได้ ถ้าทำอย่างถูกต้อง แต่วันนี้กำไรที่เกิดขึ้นมาจากโครงสร้างของการผูกขาด ที่จะต้องแก้ไข ติดขัดที่ พ.ร.บ.การแข่งขันทางการค้า พ.ศ.2542
แต่กระทรวงการคลังในฐานะผู้ถือหุ้นใหญ่กับกระทรวงพาณิชย์ผู้รักษากฎหมายนี้เคยมาวางแนวทางให้กับคนไทยทั้งประเทศว่า กำไรเป็นแสนล้านนั้นจะคืนกลับมาให้ประชาชนได้อย่างไร วันนี้มีการปันผลประมาณปีละ 3 หมื่น และปัจจุบันหุ้นของรัฐบาลเหลือเพียงครึ่งเดียว กำไรที่มาอยู่ที่รัฐบาล เพื่อจะช่วยประชาชนประมาณ 1-2 หมื่นล้าน ถือเป็นตัวอย่างของการบริหารไปวันๆ ขณะที่มองไม่เห็นมาตรการรองรับในอนาคต และเกิดความขัดแย้งทางความคิดใน ครม.เอง
รวมถึงการพลาดโอกาสให้ไทยได้ประโยชน์จากปัญหาวิกฤตอาหารโลก ล้มเหลวปล่อยโอกาสทองหลุดมือไปกลายมาเป็นวิกฤต เพราะการบริหารงานที่สับสนของรัฐมนตรีที่รับผิดชอบ และความคิดที่ไม่เป็นเอกภาพที่นายกฯต้องร่วมรับผิดชอบด้วย เพราะปล่อยให้มีการบริหารเช่นนี้ นอกจากนี้ยังมีขบวนการที่จะเอาชาวต่างประเทศมาทำนา ทั้งที่ รมว.เกษตรฯ ได้รายงานเรื่องนี้เข้าสู่ ครม.ว่าจะเป็นการทำผิดกฎหมายอย่างน้อย 2 ฉบับ นายกฯได้สืบสวนสอบสวนหรือไม่ว่าใครคิดทำเช่นนั้น ไร้ประสิทธิภาพ การไม่มองเหตุการณ์ล่วงหน้าสิ่งเหล่านี้ไม่ได้เกิดขึ้นเลยคือความสูญเสียที่เกิดขึ้นกับพี่น้องคนไทย
“ภาวะเศรษฐกิจที่น่าเป็นห่วงที่รออยู่ข้างหน้าคือเรื่องเงินเฟ้อ ขณะที่การทำงานระหว่างกระทรวงการคลังกับธนาคารแห่งประเทศไทยที่ไม่มีความเป็นเอกภาพ เกิดความขัดแย้งในการแต่งตั้งพรรคพวกตัวเองมาดำรงตำแหน่งตามที่ต่าง ๆ ในยามหน้าสิ่วหน้าขวานที่ต้องแก้ปัญหาเงินเฟ้อคิดแต่จะเล่นพรรคเล่นพวก”
แฉลายเซ็น“หมัก”ดันโครงการฉาว
นายอภิสิทธิ์ ยังอภิปรายถึงเรื่องที่นายกฯอ้างว่าเป็นการโยนหินถามทาง คือ โครงการรถเมล์ปรับอากาศว่า ตนมีหนังสือที่ทางกระทรวงคมนาคมได้ทำเรื่องเสนอไปยัง ครม.เพื่อให้พิจารณา เอกสารมีทั้งหมด 11 หน้า ระบุถึงเรื่องงบประมาณที่ชัดเจน คือ 111,690 ล้านบาท ที่สำคัญยังมีลายเซ็นของนายกฯ เสนอต่อ ครม.เพื่อพิจารณา ถ้าคิดว่าโยนหินถามทาง หรือทำเรื่องถูกต้องแล้ว ทำไมคนเซ็นเสนอ ครม. ถึงถอนเรื่องออกเอง ส่วนงบประมาณที่ระบุก็มีรายละเอียดที่ชัดเจน คร่าวๆ ก็มีการเช่าที่จอดรถแพงกว่าความเป็นจริงมาก อย่างไรก็ตามตนสนับสนุนให้ขสมก.มีรถที่ดีให้ประชาชนมีรถที่ดีนั่ง แต่ไม่สนับสนุนให้คนมาหากินกับเรื่องนี้
ส่วนเรื่องปัญหาภาคใต้ที่ยังไม่ได้รับการเยียวยา เป็นเพราะหลักคิดของนายกฯว่าเรื่องดังกล่าวปล่อยให้ตำรวจ ทหารทำแล้วเรื่องจะจบ ไม่เข้าใจถึงความละเอียดอ่อนในปัญหา ไม่มีการทำเรื่องการสร้างสมานฉันท์ ซ้ำยังมีการปกป้องพวกพ้องของตนเอง เช่น การย้ายอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) เนื่องจากมีเหตุที่เกี่ยวข้องกับคดีของอดีตนายกฯย้ายนายตำรวจ
นอกจากนั้นยังมุ่งหน้าแก้ไขรัฐธรรมนูญ ดังนั้น กระบวนการสมานฉันท์จึงไม่เกิด และเป็นชนวนให้คนออกมาชุมนุม ดังนั้นคนที่ล้มเหลวในการสร้างสมานฉันท์คือ ตัวนายกฯ เอง และหากยังเป็นเช่นนี้ตลอด 4 ปีก็จะเป็นเช่นนี้ แล้วบ้านเมืองจะเดินหน้าไปได้อย่างไร ซึ่งทุกคนที่มองก็ตอบเป็นเสียงเดียวกันว่ารัฐบาลที่ดีต้องมีการเปลี่ยนแปลง
“หมัก"เดือดหาว่า"มาร์ค"หยาม
นายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี กล่าวตอบโต้การอภิปรายของนายอภิสิทธิ์ว่า มีการเขียนญัตติโจมตีต่างๆ นานาว่า นั่นเป็นมือสมัครเล่น แต่ตนคือสมัครจริง ที่แค่นเขียนมาว่า ตนแย่ขนาดนั้น ตนคิดว่า ผู้ยื่นญัตติคงมองว่าบริหาร 4 เดือน ทำไมยาวนานทรมานเหลือเกิน ทำไมพรรคเส็งเคร็ง ถึงได้มาตัดสินโครงการใหญ่ๆเช่น ขนส่งมวลชน รถไฟรางคู่ ผันน้ำ เป็นแสนล้านบาท ทำไมรัฐบาลหน้าโง่นี้จึงมีโอกาส
"ปัทโธ่ อยากเหลือเกิน อยากเป็นนายกฯ แสดงความอยากให้คนเห็นทั้งบ้านทั้งเมือง เสียง 164 กับ 306 ก็จะเอากันให้ได้ คนรู้กันทั้งบ้านทั้งเมืองว่า จะอภิปรายไม่ไว้วางใจได้ก็ต้อง 21 ม.ค.ปีหน้า เลยแทรกยื่นญัตติให้ได้ตอนที่จะพิจารณางบประมาณ แต่ผมก็เปิดให้ และไม่ใช่การเมืองข้างนอกบีบบังคับ เพราะผมไม่กลัวการเมืองข้างนอก ถ้าประชาธิปัตย์ เห็นว่าข้างนอกดีก็เป็นสิทธิ แต่ย้ำว่า อยู่การเมืองมาขนาดนี้ ปล่อยให้คนอายุ 40 กว่าๆ มากระแทกแดกดัน ผมหน้าโง่ขนาดนั้นเลยหรือ ผมรู้บุญคุณ ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช เดินออกจากประชาธิปัตย์ แต่ก็ไม่เคยดูแคลนพรรค ฉะนั้น อย่ามาเก่งกาจเกินขนาด ใช้คำแบบนี้มากเกินไป"
นายสมัคร กล่าวว่า สำหรับเรื่องรถเมล์ 6 พันคัน ก็ถอนออกจาก ครม.แล้ว เพราะเพียงแต่คิดกันมา แต่ก็มีข่าวตอบโต้กันมากมายแล้ว ตนบอกรัฐมนตรีที่รับผิดชอบว่า นี่จะโดนเอามาเป็นเหยื่อการเมือง ขอให้ไปทำมาให้ดีก่อนว่าจะเลือกอย่างไร ไม่เช่นนั้นจะโดนด่าว่า เลือกบริษัทให้แล้ว
ส่วนปัญหาน้ำมัน ทุกประเทศโดนวิกฤตนี้กันหมด แต่คนเข้าใจแล้วว่า ไม่ใช่ความโง่ของรัฐบาลเรื่อน้ำมันแพง และส่งผลไปถึงสินค้าอื่นๆ ส่วนเรื่องข้าวที่บอกว่าราคาทั่วโลกแพง แต่ชาวนาไทยไม่ได้ประโยชน์จนต้องเดินขบวน ตอนนี้รัฐบาลกำลังทำอยู่ รอข้าวออกอยู่ พยุงราคาอยู่ ส่วนเรื่องน้ำตาล ก็ทำอยู่เช่นกัน
พปช.มีคนเก่งน้อย แต่ทำงานมีเหตุผล
นายสมัคร กล่าวว่า ส่วนปัญหาสมานฉันท์ มาตำหนิตนอย่างนั้นอย่างนี้ ถ้าตนเป็นคนชั่วร้ายเลวทรามก็ว่าไป แต่นี่กล่าวหาว่า เอาคนไม่มีความสามารถมาเป็นรัฐมนตรี ขอถามว่า วัดอย่างไรเรื่องความสามารถ รัฐมนตรีก็จบปริญญาตรีกันหมด ถามว่าถ้าพรรคประชาธิปัตย์เป็นรัฐบาลจะเอาคนนอกมาเป็นรัฐมนตรีหมดเลยหรือ ยอมรับว่าพรรคฝ่ายค้าน มีคนเก่ง แต่พรรคนี้คนเก่งมีไม่เยอะ แต่ระบบพรรคมีอยู่และเลือกตั้งมา แต่ทำไมดูแคลนกัน นี่ก็แสดงให้เห็นความอยากจึงมาแค่นกันอย่างนี้ วันนี้ต้องพูดกันตรงๆ เพื่อให้คนในบ้านเมืองเข้าใจ ไม่เช่นนั้นก็ประโคมกัน ยืนยันว่าทุกอย่างที่รัฐบาลทำมีเหตุผล ไปถามเลยว่ามี ครม.ชุดไหน ที่คนนั่งหัวโต๊ะ บริหาร 35 คนให้ทำงานร่วมกันเป็นครอบครัวเดียวกันเหมือนพรรคเดียว ตนนี่แหละ บางครั้งไปกินข้าวกันแค่ 8 คน แล้วมีสื่อไป ตนก็แสดงความประหลาดใจได้ แต่ก็มาหาว่าตนทำหน้าทำตา ตนนัดกันไม่กี่คน แต่เล่นมากันเป็นร้อย ก็แสดงความประหลาดใจ แล้วก็ถามนำ อย่างนั้นอย่างนี้
"ผมทำงานก็รู้จักที่จะฟังข้าราชการประจำ แม้ผมไม่เก่งเท่าคนในประชาธิปัตย์ แต่ผมเข้าใจ เหมือนตีกอล์ฟ ผมเล่นไม่เป็น แต่ดูเป็น และสนุกไปด้วย ส่วน ครม.ถ้าเข้าใจแล้วก็บริหารได้ มีสติปัญญา คิดเป็นรู้ว่าอะไรควรทำอะไรควรเป็น ผมคุยกับนานาชาติได้ อย่างพม่า ทำไมคนอย่างผม เลขาสหประชาชาติโทรมา ให้คุยกับพม่าเปิดประตูรับความช่วยเหลือเหตุภัยพิบัติ แต่ผมก็โดนหัวหน้าพรรคฝ่ายค้านดูแคลนอย่างแรงว่า จัด ครม.ไม่เป็นสับปะรด บริหารไม่เป็น คิดไม่เป็น ผมจึงต้องชี้แจงว่า ไม่ได้เป็นอย่างที่โดนกล่าวหา ผมมีความสามารถในการคุยกับต่างประเทศ เช่น จะดึงพม่าออกจากเงามืด ถ้าผมไม่อภิปราย คนจะไม่รู้ความสามารถผม แน่นอนบ้านเมืองนี้มีปัญหา เพราะหลังจากปฏิวัติ ต่างประเทศไม่ติดต่อ เศรษฐกิจก็เสียหาย เราต้องกอบกู้ แต่โชคไม่ดีนักการเมืองเก่งๆ หมดสิทธิ์หลายคน ผมก็พยายามหาคนมา" นายสมัครกล่าว
ยันไม่เคยทำบ้านเมืองเสียหาย
นายสมัคร กล่าวต่อว่า เรื่องแก้รัฐธรรมนูญ ตนพูดชัดว่า ไม่เห็นด้วยกับการแก้มาตรา 309 แต่เห็นด้วย กับการแก้ มาตรา 237 ท่อนหลัง แต่ถ้าไม่อยากให้แก้รัฐธรรมนูญ คราวหลังก็ให้เขียนบอกไว้ ทั้งนี้ รัฐธรรมนูญแก้ได้ แต่ต้องทำให้ถูกตามกฎหมาย และไม่มีการปลุกระดม แต่วุฒิสภาอภิปราย เมื่อวันที่ 23 มิ.ย.ก็หาว่าตนจะแก้เพื่อให้เป็นสาธารณรัฐ หรือล้มองคมนตรี เล็กๆ น้อยๆ ก็เอากันให้ได้ ถามว่ารัฐธรรมนูญทำไมจะแก้ไม่ได้ การแก้ทำไมเป็นชนวนให้คนลุกฮือ หรือฝ่ายค้านเห็นด้วยกับฉบับนี้ ก็ไม่ต้องลงคะแนนให้ ส.ส.พรรครัฐบาลร่วมกับ ส.ว.ร่วมกันทำได้ และแก้ก็เพื่อใช้ในวันข้าวหน้า ไม่ได้แก้เพื่อใช้ช่วยใครในวันนี้ คดีของนักการเมืองที่มีอยู่ก็ต้องขึ้นศาลอยู่แล้ว แต่ก็มีการปลุกระดม ตนแปลกใจที่บางพรรคเห็นชอบกับการปลุกระดม
ส่วนที่โจมตีว่า รัฐมนตรีคนหนึ่งของพรรคมีทัศนคติอันตรายแล้วนายกฯไม่จัดการ ทุกคนทราบว่า นายจักรภพ เพ็ญแข อดีต รมต.ประจำสำนักนายกฯ ที่ฝ่ายค้านระบุพูดเรื่องที่เป็นชนวนที่สมาคมผู้สื่อข่าวต่างประเทศ เมื่อสิงหาคม 50 ทุกคนก็ถอดเทปเก็บไว้หมด ถามว่าเก็บความจงรักภักดีไว้ในแฟ้มทำไม พอนายจักรภพ มาเกี่ยวกับสื่อหรือไปเหยียบหางตำรวจคนหนึ่งเข้า ก็มาจัดการ แต่พอมาถามตน ตนก็บอกว่าให้ตำรวจจัดการ กลายเป็นหัวหน้ารัฐบาลไม่เอาใจใส่เรื่องนี้อีก แล้วจะให้ตนทำอย่างไร เพราะมีกระบวนการยุติธรรมอยู่
"สรุปสุดท้ายว่า 9 ข้อ ที่กล่าวหามานั้น ดูแคลนมาก เป็นผมไม่ทำ อยากบอกว่า บางครั้ง คนที่ทำงานต้องรับผิดชอบ แต่คนที่เฝ้าไม่ต้องรับผิดชอบ เหมือนนักฟุตบอล คนที่เก่งลงสนาม แต่คนดูไม่รู้หรอดว่าในสนามเป็นอย่างไร ผมเป็นหัวหน้ารัฐบาล ก็ต้องดูแล ถามว่า อย่างรัฐบาลที่แล้วทำไมไม่มีใครหือ แต่รัฐบาลนี้เข้ามาก็จะเอาให้ได้ อเมริกา รัฐบาลใหม่เข้ามา เขาให้เวลา 2 เดือนครึ่ง ปรับเปลี่ยนหมด โยกย้ายหมด แต่ของเรา คณะปฏิวัติเข้ามาก็เอาผู้พิพากษา ที่ต้องอยู่ตรงกลางเพื่อวินิจฉัย มาเป็นรัฐมนตรี ปลัดกระทรวง อธิบดี กกต. เลขาฯกกต.ก็เสียหายไปถึงระบบการพิพากษา
ฉะนั้น ที่เราเข้ามาใหม่ อธิบดีท่านหนึ่งที่เราโดนโจมตีว่า โยกย้ายไม่เป็นธรรม ท่านอยากกลับไป เราก็ขอให้ท่านมาอยู่ตรงนี้ก่อน ทำไมจะเปลี่ยนอะไรไม่ได้ การเป็นคนดีต้องเปลี่ยนอะไรไม่ได้อย่างนั้นหรือ ทั้งนี้รัฐบาลก็เปลี่ยนเท่าที่จำเป็นเท่านั้น ย้ำว่าผมรับผิดชอบต่อทุกเรื่อง การตรวจสอบของฝ่ายค้านเป็นเรื่องดี แต่ที่จะเอาเป็นเอาตาย ประโคมข่าวมันรุนแรงมากเกินเหตุ 4 เดือนที่ผ่านมา ผมแน่ใจว่า ไม่ได้ทำให้บ้านเมืองเสียหาย ยืนยันเดินหน้าต่อ และยืนยันว่า มีความสามารถบริหาร แต่ถ้าหัวหน้าฝ่ายค้านดูแคลนนายกฯ อย่างนี้ ขอให้คิดดูด้วย ที่เอาความอยากได้ใคร่ดี จนมาเล่นงานให้เจ็บช้ำ คนทั้งโลกฟัง ผมเสียหาย แต่ไม่เป็นไร จะสับโขกยังไงรวมทั้งรัฐมนตรีอีก 7 คน ก็ว่าไป แต่ผมเป็นคนมีสกุล ไม่เนรคุณใคร ฉะนั้นโปรดกรุณอย่ากล่าวหา ถามว่า 4 เดือน ท่านยังทนรอไม่ได้ แล้ว 4 ปี จะทนไหวหรือ" นายสมัคร กล่าว