“พิภพ” ลั่นสร้างการเมืองภาคประชาชน ให้ความรู้ ป้องกันพวกโกงชาติ และนักการเมืองน้ำเน่าเขามาโกงกินบ้านเมือง ระบุต้องลืมปัญหาเฉพาะหน้าเรื่องรัฐธรรมนูญบางมาตรา แต่เพิ่มความรู้ และบทบาทของประชาชนให้มากเท่า ส.ส.ในรัฐสภา จวกเละ “นพดล” ยกพื้นที่เขาพระวิหารหวังผลประโยชน์ให้ “แม้ว” ทำธุรกิจในเขมรเพิ่มความมั่งคั่งให้ครอบครัว
คลิกที่นี่ เพื่อฟัง นายพิภพ ธงไชย ปราศรัย
นายพิภพ ธงไชย แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย กล่าวบนเวทีพันธมิตรฯ ที่หน้าทำเนียบรัฐบาลว่า ต่อจากนี้ไปแนวทางของพันธมิตรฯ ที่เห็นตรงกันจะพูดใน 2 เรื่อง คือ อธิปไตยบนเขาพระวิหาร และการเมืองใหม่ ที่เรียกว่าการเมืองภาคประชาชน นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองใหม่ที่ประชาชนมีส่วนร่วมมากกว่าในปัจจุบัน และมีผู้แทนที่หลากหลายมากขึ้น
ทั้งนี้ หากเป็นการเมืองรูปแบบเดิม ซึ่งไม่ว่าจะมีการอภิปรายไม่ไว้วางใจ เหรือเปลี่ยนคั่วการเมือง ก็ยังเป็นคั่วของนักการเมืองเก่าๆ เราไว้วางใจนัการเมืองที่มาจากการเลือกตั้ง เริ่มตั้งแต่ การเปลี่ยนแปลงการปกครองในปี 2475 มีอะไรหลายอย่าง แต่ไม่อะไรดีขึ้น และนักการเมืองยังโกงกินบ้านเมืองเหมือนเดิม
“อยากจะบอกว่า นักการเมืองดีๆ มีน้อยเหลือเกิน เพราะระบบการเลือกตั้ง และการทำงานในรัฐสภา ไม่ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองในรอบ 76 ปี นักการเมืองที่โกงกินบ้านเมืองยังเขามาในระบบรัฐสภาอยู่ดี การต่อสู้ต้านแก้ รธน.209 หรือ 237 จะไม่แค่นั้นเราต้องเปลี่ยนแปลงการเมืองภาคประชาชน”
ทั้งนี้ การเรียกร้องให้รัฐบาลไทยไม่ไปแถลงการณ์ร่วมกับกัมพูชา โดยที่ นายนพดล ปัทมะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศ เรียกว่าเป็นพื้นที่ทับซ้อน ต้องอธิบายให้ก่อนว่าในเขตแดนนอกจากเขาพระวิหารแล้วไม่มีพื้นที่ทับซ้อน เพราะการตัดสินของศาลโลกที่ผ่านมามี แค่เขาพระวิหารเท่านั้น ไม่เกี่ยวกับเขตแดน อีก 4 กว่าตารางกิโลเมตร ซึ่งการออกมาพูดแบบนี้จะกลายเป็นผลดีต่อประเทศกัมพูชา
สำหรับเรื่องพื้นที่ทับซ้อนไทยไม่เคยยอมรับว่ามีตรงนี้รวมถึงการที่ประเทศ ไทยสงวนสิทธิจะโต้แย้งในตัวเขาพระวิหาร เพราะรัฐบาลก่อนหน้านี้ตั้งแต่สมัยจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัตน์ ก็สงวนสิทธิที่จะโต้แย้งคำตัดสินของศาลโลกมาตลาด โดยอาจยินยอมแค่ชั่วคราว แต่ก็ยังมีสิทธิโต้แย้งได้
“การที่สมัครออกมาพูดว่า เราเสียพระวิหาร ไปแล้ว 45 ปี นายกฯพูดอย่างนี้ไม่ถูกต้องเราสงวนสิทธิไว้ว่าจะสามารถโต้แย้งได้ และรัฐบาลต่อมาไม่ทำ เพราะไปกังวลกับผลประโยชน์การท่องเที่ยวเล็กๆ น้อยๆ อย่างไรก็ตาม อย่างน้อยก็ยังไม่เคยไปเซ็นสัญญารับรอง เพราะกลัวเสียสิทธิ์ที่เคยมีไว้ตั้งแต่ต้น แต่ทำไม นายนพลและสมัครกลับไปยอมรับว่าเราเสียสิทธิ และเสียเขาพระวิหารไปแล้วตั้งแต่ 45 ปีก่อน มันไม่ถูกต้องอย่างยิ่ง และการหยิบเรื่องนี้มาพูดไม่ได้เป็นการปลุกระดมแต่เป็นเรื่องที่ประชาชนควรรู้” นายพิภพกล่าว
นายพิภพ กล่าวอีกว่า หากสรุปสั้นๆ เรื่องเขาพระวิหาร ประชาชนต้องโต้แย้งในการที่นายนพดลใช้คำว่า “พื้นที่ทับซ้อน” จะทำให้มีปัญหาทางกฎหมายได้ แทนที่จะใช้คำว่า “การรุกล้ำพื้นที่” กลายเป็นว่าเรายอมเสียดินแดนอีก การยอมรับพื้นที่ทับซ้อน เป็นการยอมเสียดินแดนอีกครั้ง เพราะเมื่อเจราจากันประเทศไทยจะต้องเสียดินแดนอีก 50%
ทั้งนี้ การที่นายนพดลต้องย้ำแบบนี้เพราะเป็นทนายหน้าหอตระกูลชินวัตร โดยใช้อำนาจในฐานะเป็นรัฐมนตรีกระทรวงต่างประเทศ โดยที่ตระกูลชินกำลังจะทำธุรกิจในเกาะกง และจะทำธุรกิจ แก๊ส น้ำมันในอ่าวไทยจึงให้ออมชอมกับรัฐบาลของฮุนเซนทำข้อตกลงดังกล่าวเพราะการเลือกตั้งในเขมรจะยกเขาพระวิหารที่รัฐบาลไทยยอมรับ ไปหาเสียง ซึ่งเมื่อฮุนเซนได้เป็นนายกของประเทศกัมพูชา การทำธุรกิจของตระกูลชินฯ จะไม่มีปัญหา เท่ากับการกระทำดังกล่าวของนายนพดลเป็นการเอาอธิปไตยของชาติ ไปแลกกับผลประโยชน์ทางธุรกิจของ ตระกูลชินวัตร
“ทักษิณยังอยากรวย แต่ที่มีของเงินส่วนใหญ่จะมาจากธุรกิจผูกขาด ที่อิงอำนาจรัฐ ไม่ได้สร้าอะไรใหม่ ถึงพยายมเข้าสู่อำนาจรัฐด้วยการจัดตั้งพรรคนอมินี เอาประโยชน์ชาติ ภาษี ประชาชน ไปใช้เพื่อเติมความร่ำรวยส่วนตัว และ รธน.2550 ยังไม่สามารถทานการเมืองน้ำเน่าได้ และการต่อสู้จะไม่เสียเปล่า หากเราไม่สนใจแค่ รธน.บางมาตรา และจะต้องคิดก่อนเพื่อไม่ให้ได้ รัฐบาลน้ำเน่าเหมือนตอนนี้ ต้องอดทนเพื่อสร้างการเมืองใหม่”
สำหรับการแก้ไขจะต้องให้ประชาชมีส่วนร่วมากขึ้น ในเมื่อง อำนาจ บริหาร และนิติบัญญัติ ถูกแทรกแซงแล้ว เราต้องช่วยปลุกอำนาจตุลาการ โดยการเมืองภาคประชาชนจะต้องตรวจสอบ เพื่อไม่ให้นักการเมืองน้ำเน่ากลับมามีอำนาจอีก ซึ่งตอนนี้หมากทุกหมากด้านการเมืองกำลังจะจนมุมแล้ว มีแต่การเมืองภาคประชาชนเท่านั้นที่ยังมีพื้นที่ เพื่อปรับปรุงการเมืองให้ปราศจากนักการเมืองหน้าเก่าๆ และให้ประชาชนมีอำนาจกำหนดทิศทางบริหารประเทศได้มากขึ้นพอๆ กับ ส.ส.ที่ได้รับเลือกเข้าในสภา