“จรัญ ภักดีธนากุล” ว่าที่ตุลาการศาล รธน.ให้สัมภาษณ์ “เอ็นบีที” ยันไม่ได้ตำหนิ “ทักษิณ” ในแง่ตัวบุคคล แต่ตำหนิการคอร์รัปชันและเห็นแก่ตัว ย้ำไม่ใช่ตัวแทนอำมาตย์แต่เป็นคนชั้นกลางต่ำ พร้อมระบุปัญหาของชาติคือระบอบคนรวยกุมอำนาจการเมือง ไม่ใช่อมาตยาธิปไตย เชื่อระบบตุลาการแก้ปัญหาความขัดแย้งได้ หากตุลาการไม่รับใช้ใคร
วานนี้ (4 มิ.ย.) นายจรัญ ภักดีธนากุล อดีตปลัดกระทรวงยุติธรรม และว่าที่ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญให้สัมภาษณ์ในรายการ “ถามจริงตอบตรง” ทางสถานีโทรทัศน์เอ็นบีที ถึงกรณีความขัดแย้งทางการเมืองในปัจจุบันว่า ตนคิดว่าสถานการณ์ความขัดแย้งในบ้านเมืองขณะนี้จะสามารถแก้ไขได้ในที่สุด ซึ่งกระบวนการตุลาการก็ยังคงเป็นที่พึ่งของสังคมในการที่จะลดปัญหาความขัดแย้งได้ เช่น เมื่อเกิดความขัดแย้งทางการเมือง การแก่งแย่งอำนาจทางการเมืองก็สู้กันไป แต่เมื่อใดที่เรื่องเข้าสู่กระบวนการตุลาการแล้วก็ให้ศาลเป็นผู้ตัดสิน ซึ่งผู้พิพากษาตุลาการเอง ก็ต้องไม่ทำตัวเป็นคนที่รับใช้อำนาจของใคร ก็เชื่อว่าสถาบันศาลน่าจะช่วยคลี่คลายปัญหาของสังคมได้
ต่อคำถามว่า ในอดีตนายจรัญเคยวิพากษ์วิจารณ์ระบอบทักษิณค่อนข้างรุนแรง แล้วเมื่อมาเป็นตุลาการรัฐธรรมนูญ มีความหนักใจหรือไม่ว่าจะถูกมองว่าไม่เป็นกลาง นายจรัญกล่าวว่า “ผมไม่เคยวิพากษ์วิจารณ์ระบอบของใคร ไม่ตำหนิคน แต่ผมตำหนิความชั่วร้ายของการทุจริตคอร์รัปชัน และเห็นประโยชน์ส่วนตัวมากกว่าประโยชน์ส่วนรวม”
ผู้ดำเนินรายการถามต่อไปว่า เห็นด้วยกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญในตอนนี้หรือไม่ นายจรัญ กล่าวว่า รธน.สามารถแก้ไขกันได้ แต่ต้องตั้งหลักให้ได้ว่าการแก้ไขทำเพื่อประโยชน์ของประชาชนจริงๆ ส่วนเวลาที่เหมาะกับการแก้ไขเป็นเมื่อใดนั้นเป็นอีกประเด็นหนึ่งที่จะต้องพิจารณาแยกออกจากกัน ส่วนกรณีความแตกแยกของ คือฝ่ายที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วยกับการแก้ รธน.นั้น ตนคิดว่าทางออกที่ดีที่สุดก็คือขอให้ทั้งสองฝ่ายหาทางออกที่สาม คือมาช่วยกันคิดว่ามีวิถีทางใดที่จะลดปัญหา หรือเลี่ยงการแตกสามัคคีของคนในชาติออกไปได้
ต่อคำถามว่ารู้สึกอย่างไรที่มีคนมองว่า นายจรัญเป็นตัวแทนของอำนาจอำมาตยาธิปไตยในการปกครองประเทศ นายจรัญ กล่าวตอบว่า “ผมไม่คิดว่าผมไม่เป็นอำมาตย์นะ ผมเป็นแค่ประชาชนชั้นต่ำ กลางต่ำแล้วก็ไม่ได้มีผลต่อประชาชนชั้นสูง หรือกลางสูงเลย แต่ปัญหาที่สังคมมองข้ามไปขณะนี้คือปัญหาของอภิธนาธิปไตย คือ การปกครองโดยอำนาจอยู่ในกำมือของคนที่มีทรัพย์สินมากๆ ไม่กี่ตระกูล ซึ่งนั่นแย่กว่าระบอบอำมาตยาธิปไตย” และว่า วิธีแก้ไขก็คือต้องเลิกใช้เงินซื้อประชาชน เพราะนั่นคือมะเร็งร้ายของระบอบการปกครองของประเทศไทย เป็นเงื่อนไขไปสู่การทุจริตคอร์รัปชันในระดับสูง นี่คือเงื่อนไขใหญ่ที่จะต้องแก้มิฉะนั้นประเทศเราก็จะวนเวียนอยู่ในวงจรอุบาทว์นี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า
