อดีตแกนนำ นปก. “เหวง โตจิราการ” อ้าง ม็อบปาหัวพันธมิตรฯ ไม่ใช่ นปก. แต่เป็นคนที่รักประชาธิปไตย ทนไม่ได้ที่พันธมิตรฯ พูดจาดูหมิ่นประชาชนจึงมาแสดงออกถึงความไม่พอใจ – ยัน เหตุป่วน 25 พ.ค. เพราะพันธมิตรฯ มารุมตีกลุ่มต้านก่อน
วันนี้ (30 พ.ค.) นายแพทย์เหวง โตจิราการ กรรมการคณะกรรมการประชาชนเพื่อการแก้ไขรัฐธรรมนูญ (คปพร.) และ อดีตแกนนำกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยขับไล่เผด็จการ (นปก.)ที่เคยเคลื่อนไหวขับไล่ คมช.และ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ให้สัมภาษณ์ในรายการ ถามจริง-ตอบตรง ทางสถานีโทรทัศน์เอ็นบีที ดำเนินรายการโดยนายจอม เพชรประดับ ถึงกรณีการแก้ไขรัฐธรรมนูญที่รัฐบาลยังยืนยันแก้ไขต่อไป ท่ามกลางกระแสการคัดค้านและชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ว่าตนยืนยันว่าอย่างไรเสีย รธน.ปี 50 ก็ต้องได้รับการแก้ไข เพราะเป็น รธน.ที่ไม่มีความเป็นประชาธิปไตย ถูกเขียนขึ้นมาโดยคณะรัฐประหาร อีกทั้งยังมีข้อบัญญัติหลายอย่างที่ขัดขวางต่อการทำงานของรัฐบาล ทำให้การแก้ไขปัญหาให้แก่ประชาชนเป็นไปด้วยความยากลำบาก เช่น มาตรา 266 ของ รธน.ปี 50 ที่ห้ามไม่ให้ ส.ส. และ ส.ว.ไปแทรกแซงการทำงานของผู้ว่าราชการจังหวัด ซึ่งเมื่อบัญญัติเช่นนั้นการทำงานแก้ปัญหาของประชาชนก็จะทำได้ล่าช้า กว่าการที่ ส.ส. และ ส.ว. จะเข้าไปบริหารและช่วยแก้ปัญหาได้โดยตรง ดังนั้นถ้าเรายังใช้ รธน.ที่ไม่มีความเป็นประชาธิปไตยต่อไป บ้านเมืองของเราก็จะล้าหลัง เหมือนกับประเทศซูดานซึ่งเป็นประเทศที่ด้อยพัฒนา
ต่อคำถามว่า เหตุใดจึงต้องรีบแก้เร่งแก้ รธน. ทั้งที่ปัญหาสำคัญที่ต้องเร่งแก้ไขคือปัญหาปากท้องของประชาชน ไม่ใช่เรื่องของ รธน. นพ.เหวง ตอบอย่างมีอารมณ์ว่า ไม่จริงเพราะปัญหาของประเทศตอนนี้ล้วนเกิดจากการที่ประเทศเสียหายจากการรัฐประหาร ดังนั้นเราจึงต้องแก้ รธน.เพื่อให้การเมืองมีความเข้มแข็งไม่สามารถมาทำรัฐประหารได้ง่าย ๆ
“ไม่จริงเลยครับ คุณพูดไม่ถูก ปัญหามันอยู่ที่ว่าการปกครองของประเทศไทยถูกรัฐประหารซ้ำแล้วซ้ำอีก ดังนั้นจึงต้องทำให้การเมืองแข็งแรงเสียก่อน อย่าให้มีการรัฐประหารเกิดขึ้นอีก แล้วผมบอกได้เลยว่าเมื่อ 19 ก.ย.ที่ผ่านมาทำให้พี่น้องประชาชนจำนวนหนึ่งเขาเคียดแค้นคณะรัฐประหารมากเพราะทำให้ประเทศย่อยยับ”
นพ.เหวง กล่าวต่อไปว่า จุดยืนของ คปพร. ก็คือสนับสนุนการแก้ไข รธน. ส่วนการเคลื่อนไหวของกลุ่มเรา จะเป็นการเคลื่อนไหวอย่างสันติ คือเราจะใช้วิธีไปพบกับประชาชนตามพื้นที่ต่าง ๆ ยืนยันว่ากลุ่ม คพปร. ไม่คิดจะใช้วิธีการของความรุนแรง และเราก็มีจุดยืนที่ชัดเจน ต่างจากกลุ่มพันธมิตรฯ ที่มีการเปลี่ยนแปลงและสร้างเงื่อนไขเพิ่มเติมอยู่ตลอดเวลา เห็นได้จากที่แนวคิดเริ่มแรกของการชุมนุม พันธมิตรฯ บอกว่าจะชุมนุมเพื่อคัดค้านการแก้ไข รธน. เท่านั้น แต่ต่อมาก็เพิ่มเงื่อนไขและปรับระดับขึ้นมาเป็นการล้มล้างขับไล่รัฐบาล เป็นการบอกได้ว่าพันธมิตรฯ ไม่ซื่อสัตย์และไม่จริงใจกับประชาชน คำพูดของพันธมิตรฯ นั้นเชื่อถือไม่ได้เลย “สิ่งที่คุณพูดไม่ตรงกับความเป็นจริงเลย คุณพูดเท็จกับประชาชน เหมือนอย่างเมื่อ 2-3 ปีก่อนคุณพูดเท็จหลายเรื่อง แล้วทำให้สถานการณ์บ้านเมืองวุ่นวายไปหมด”
นพ.เหวง กล่าวต่อไปว่า การที่ทางพันธมิตรฯ กล่าวหาว่า ทาง คพปร. หรือ นปก. เป็นกลุ่มเดียวกับกลุ่มคนที่ไปต่อต้านการชุมนุมของพันธมิตรฯ จนเกิดการปะทะกันเมื่อวันที่ 25 พ.ค.ที่ผ่านมานั้น ไม่เป็นความจริงแต่อย่างใด เพราะทาง คปพร. และ นปก. เราไม่ได้นัดชุมนุมกันเรายังบอกคนในกลุ่มของเราด้วยซ้ำว่าควรเคารพสิทธิของพันธมิตรฯ เนื่องจากเขาก็มีสิทธิชุมนุม เราไม่ควรจะไปชุมนุมเพราะเกรงว่าจะเกิดเผชิญหน้ากัน ซึ่งคนที่ไปในวันนั้นก็ไม่ใช่คนของกลุ่มเราแต่เป็นกลุ่มของคนที่รักประชาธิปไตยและต่อต้านการรัฐประหาร ซึ่งเขาก็ไปที่สนามหลวงทุกวันอยู่แล้ว พอรู้ว่าพันธมิตรฯ จะมาปราศรัย เขาจึงไปเพื่อฟังการปราศรัยของพันธมิตรฯ ว่าสมเหตุสมผลหรือไม่ แต่พอฟังแล้วแทนที่พันธมิตรฯ จะพูดถึงเรื่องการแก้ไข รธน. แต่กลับเป็นการโจมตีใส่ร้ายผู้จะแก้ไข รธน.ว่าต้องการที่จะล้มสถาบัน อีกทั้งยังพูดจาหยาบคายและดูหมิ่นประชาชน กลุ่มคนเหล่านั้นก็เลยทนไม่ไหวจึงปราศรัยตอบโต้ด้วยลำโพงตัวเล็กๆ จากนั้นทางฝ่ายพันธมิตรฯ ก็ขว้างขวดน้ำเข้ามาก่อน จึงเกิดการตอบโต้กันไปมาและเรื่องก็จบโดยการที่ตำรวจเข้ามาควบคุมเหตุการณ์
จนกระทั่งช่วงค่ำฝ่ายพันธมิตรฯ เคลื่อนขบวนมุ่งหน้าไปทำเนียบรัฐบาล ประชาชนกลุ่มดังกล่าวก็ตามไปด้วยเพราะเขาก็มีสิทธิจะชุมนุมเช่นกัน ซึ่งเมื่อเดินตามไป ทางฝ่ายพันธมิตรฯ ก็สุ่มดักรออยู่บริเวณสะพานผ่านฟ้าลีลาศ พอกลุ่มสนับสนุนแก้ไข รธน. มาถึงฝ่ายพันธมิตรฯ ก็เข้ามาโอบล้อมและรุมตีกลุ่มผู้สนับสนุนแก้ไข รธน. ก่อนจนเกิดเป็นความรุนแรงขึ้น ดังนั้นหากจะมีใครกล่าวว่าตอนนี้เป็นการเผชิญหน้าของกลุ่มคนสองกลุ่มนั้นไม่เป็นความจริง เพราะเหตุการณ์ในตอนนี้คือการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรฯ เพียงกลุ่มเดียว ส่วนปัญหาความรุนแรงก็เป็นเพราะพันธมิตรฯ เป็นผู้เริ่มก่อขึ้นมาเอง
ส่วนทางออกที่ดีที่สุดในตอนนี้ ตนคิดว่าคือการทำประชามติ ตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอเพราะจะได้รู้ถึงความต้องการทั้งประเทศอย่างแท้จริง ซึ่งทางพันธมิตรฯ ก็ไม่ควรสร้างเงื่อนไขอื่น ๆ ขึ้นมาให้เป็นปัญหาอีก ควรรอและยอมรับผลประชามติดีกว่า และที่สำคัญทหารต้องไม่ออกมาทำรัฐประหารอีก เพราะเรื่องนี้เป็นเรื่องของการเมือง ไม่ว่าจะอย่างไรทหารก็ต้องปล่อยให้เป็นกลไกและกติกาทางการเมือง เพราะ รธน.ไม่เคยเปิดช่องเอาไว้ในทหารเข้ามาก้าวก่ายในเรื่องของการเมืองเลย
นพ.เหวง กล่าวด้วยว่า เการที่พันธมิตรฯ ออกมาเรียกร้องให้ ส.ส. และ ส.ว. ที่เข้าชื่อในญัตติแก้ไข รธน. ให้ถอนชื่อออกนั้น ตนไม่เห็นด้วยเพราะ ส.ส. และ ส.ว. เขาก็มีอำนาจที่จะทำหน้าที่ตามที่ได้รับเลือกจากประชาชนมาแล้ว
“ไอ้เรื่องของการถอนญัตตินั้น ผมถามหน่อยว่าเขา เอาอำนาจอะไรมาบังคับให้ใครถอนญัตติ คุณเอาอำนาจบนท้องถนนของคุณมาใช้เหรอครับ อันนี้ใช้ไม่ได้นะครับ เราต้องมีกติกาครับ” นพ.เหวงกล่าว
ทั้งนี้ เป็นที่น่าสังเกตว่า ในช่วงที่ นพ.เหวงกล่าวถึงเหตุการณ์เมื่อวันที่ 25 พ.ค.นั้น ขัดแย้งกับข้อเท็จจริงหลายประเด็น เริ่มตั้งแต่การที่กลุ่มต่อต้านพันธมิตรฯ ที่ย้ายมาจากสนามหลวงโดยไม่มีเหตุผล และเข้ามาชุมนุมในระยะประชิดกับพันธมิตร แล้วตะโกนด่าทอ ยั่วยุ ก่อนที่จะถูกตอบโต้จากฝ่ายพันธมิตรฯ ซึ่งเหตุการณ์เหล่านี้มีภาพบันทึกไว้อย่างชัดเจน
นอกจากนี้ ในช่วงการเคลื่อนขบวน กลุ่มต่อต้านพันธมิตรได้ถือโอกาสตลบหลังเข้าทำร้ายพันธมิตรฯ ที่ท้ายขบวนขณะออกจากบริเวณอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย จนพนักงานเอเอสทีวีได้รับบาดเจ็บเลือดอาบ หลังจากนั้นฝ่ายต่อต้านยังตามไปทำร้ายก่อนที่จะถูกการ์ดของพันธมิตรฯ ตอบโต้ที่บริเวณสะพานผ่านฟ้าฯ
ขณะเดียวกันยังเป็นที่น่าสังเกตว่า เมื่อดูจากแนวคิดเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญของ นพ.เหวงแล้ว ขณะนี้ความคิดของ นพ.เหวง ประสานเป็นเนื้อเดียวกับพรรคพลังประชาชนโดยสมบูรณ์ และอยู่ตรงข้ามพันธมิตรฯ อย่างสุดขั้ว แม้ว่าก่อนหน้านี้ นพ.เหวงจะเคยขึ้นเวทีชุมนุมพันธมิตรฯ และเคยด่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ว่าขายชาติ