“ยามเฝ้าแผ่นดิน” ย้ำจุดยืนพันธมิตรฯ จี้รัฐบาลหยุดสร้างเงื่อนไขรัฐประหาร ชี้ประเด็นล่อแหลมเรื่องเขตแดนเขาพระวิหารโยงกับผลประโยชน์ก๊าซ-น้ำมันเขตทับซ้อนทางทะเล ขณะ รมว.กลาโหมกัมพูชายืนยัน “แม้ว” เข้าลงทุน ด้านเขมรเดินเกมแพร่แผนที่ทั่วเน็ตกล่าวหาไทยฮุบดินแดน เตือน “ปู่หมัก” หากมัวเฉย จ่อเสียดินแดนเพิ่ม ชี้สถานการณ์ไม่ปกติ 3 สถาบันเผชิญวิกฤตหนัก หนังสือหมิ่นฯ วางเกลื่อนแผง
คลิกที่นี่ เพื่อฟังรายการ ยามเฝ้าแผ่นดิน โดย ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์, สโรชา พรอุดมศักดิ์ ช่วงที่ 1
คลิกที่นี่ เพื่อฟังรายการ ยามเฝ้าแผ่นดิน โดย ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์, สโรชา พรอุดมศักดิ์ ช่วงที่ 2
รายการ “ยามเฝ้าแผ่นดิน” ออกอากาศทางเอเอสทีวี คืนวันที่ 14 พฤษภาคม นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ นักวิชาการอิสระ และนางสาวสโรชา พรอุดมศักดิ์ ร่วมดำเนินรายการ ในช่วงแรกได้กล่าวถึงจุดยืนของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ในการเคลื่อนไหวเพื่อปกป้องสถาบันชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ ว่า แถลงการณ์ ฉบับที่ 8/2551 ค่อนข้างชัดเจน โดยเฉพาะคำว่า หยุดสร้างเงื่อนไขรัฐประหาร เป็นการตอกย้ำว่า เหตุใดก็ตามที่นำไปสู่การรัฐประหารทุกอย่างมีต้นเหตุมาจากรัฐบาลเอง แม้กระทั่งการรัฐประหารเมื่อวันที่ 19 กันยายน 2549 ก็มีสาเหตุที่เกิดจากการกระทำของรัฐบาล ที่ประชาชนตรวจสอบและพบเจอ
ครั้งนี้ก็เช่นกัน พันธมิตรฯ ได้หยิบยกความผิดพลาดของรัฐบาล มาเปิดเผยถึง 3 ประเด็น คือ ขบวนการคุกคามและบ่อนทำลายสถาบันพระมหากษัตริย์โดยรัฐบาลไม่แยแสและไร้จิตสำนึกในความรับผิดชอบ ปัญหาการขายชาติขายแผ่นดินบริเวณพื้นที่โดยรอบเขาพระวิหารเพื่อแลกผลประโยชนส่วนตัว และความล้มเหลวโดยสิ้นเชิงในการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจข้าวยากหมากแพงที่มุ่งเน้นประโยชน์ของนายทุน ล้วนแล้วเป็นเงื่อนไขที่จะก่อให้เกิดการรัฐประหารทั้งสิ้น
แน่นอนว่าสาระสำคัญของแถลงการณ์ทำให้เห็นว่าประเทศไทยกำลังเข้าสู่ภาวะวิกฤติที่ส่งผลกระทบโดยตรงกับ 3 สถาบัน คือ ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ปัญหาความแตกแยกของคนในชาติได้เกิดขึ้นไปทั่วทุกหย่อมหญ้า โดยเฉพาะปัญหาการขายชาติขายแผ่นดิน ที่นายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ก่อตั้งหนังสือพิมพ์ผู้จัดการ นำมาเปิดเผย พร้อมๆ กับสื่อมวลชนฉบับอื่น จนเป็นประเด็นให้นายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี นำไปกล่าวในรายการ “สนทนาประสาสมัคร” แต่สุดท้ายความจริงก็ถูกเปิดเผย เมื่อ นายจอม ประสิทธิ์ รมว.พาณิชย์ ประเทศกัมพูชาได้ออกมาตอกย้ำว่าฝ่ายไทยกำลังสร้างเงื่อนไขที่นำไปสู่การผูกโยงการเจรจาเรื่องเขาพระวิหารเข้ากับเรื่องการสัมปทานขุดก๊าซและน้ำมันในพื้นที่ทับซ้อนทางทะเลระหว่างไทย-กัมพูชา
ล่าสุด พล.อ.เตีย บัญ รมว.กลาโหม ของกัมพูชาออกมายอมรับว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีของไทย จะเข้าไปลงทุนทำกาสิโน และเอ็นเตอร์เทนเมนต์ คอมเพล็กซ์ ในจังหวัดเกาะกง โดยได้เจรจกับทางกัมพูชาแล้ว ส่วนเรื่องพลังงานนั้นยังไม่ได้เจรจากันอย่างเป็นทางการ
กรณีการสร้างเงื่อนไขที่นำไปสู่การผูกโยงเรื่องเขาพระวิหารกับน้ำมัน ไม่ได้เพิ่งเกิดขึ้นในรัฐบาลชุดนี้ เรื่องถูกนำขึ้นมาพูดตั้งแต่รัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ทั้งนี้ ไทยกับกัมพูชา มีจุดสำคัญที่ต้องเจรจาคือเขตทับซ้อนบนบกที่เขาพระวิหาร และเขตทับซ้อนทางทะเลที่มีแหล่งก๊าซและน้ำมัน พ.ต.ท.ทักษิณ พยายามเร่งตกลงโดยยื่นปัญหาการปักปันเขตแดนบริเวณพื้นที่โดยรอบเขาพระวิหารมาเป็นข้อเสนอ แต่เมื่อรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ถูกรัฐประหาร รัฐบาลของ พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ เข้ามาบริหารประเทศ ก็ยังพบว่ามีข้อพิพาทเรื่องนี้อย่างต่อเนื่อง
อย่างไรก็ตาม ถ้าย้อนกลับไปข้อมูลที่ นายสนธิ ลิ้มทองกุล ได้พูดถึง ผอ.อุทยานคนหนึ่งได้พูดถึงพื้นที่ทับซ้อน มีการวัดพื้นที่ปักเขตแดนใหม่ ทางกัมพูชาได้เขียนแผนที่โดยตัดเอาเขตแดนบริเวณพื้นที่เขตอุทยานแห่งชาติเขาพระวิหาร อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ ฝั่งไทยบางส่วน เข้าไปอยู่ในเขตแดนของประเทศกัมพูชาด้วย จึงต้องมีการเจรจาหารือกัน
ขณะเดียวกันยังมีการจ้างชาวต่างชาติมาดำเนินการ และมีการกระทำผิดเบือนข้อมูลบางส่วน เพื่อให้การขอขึ้นทะเบียนเขาพระวิหารเป็นมรดกโลก เป็นไปตามความประสงค์ของกัมพูชา
ขณะเดียวกัน ฝ่ายไทยเคยมีแผนการจะยื่นเรื่องขอขึ้นทะเบียนเขาพระวิหารเป็นมรดกร่วมเช่นเดียวกัน โดยกำหนดยื่นเอกสาร ข้อมูล ความประสงค์ไปยังองค์การยูเนสโก เป็นความขัดแย้งพื้นที่ทับซ้อนที่เกิดขึ้นมาหลายปีแล้ว และฝ่ายไทยรู้มาหลายปีด้วย แต่ฝ่ายไทยนั้น ทหารถูกฝ่ายการเมือง “ไอ้โม่ง” โทรศัพท์มากดดันหลังประกาศทบทวนเรื่องพิพาทดังกล่าว จน พล.ท.พิศณุ ปุจฉาการ โฆษกกระทรวงกลาโหม ต้องออกมาปฏิเสธ ว่าไม่มีปัญหาเรื่องเขาพระวิหาร อ้างเป็นความผิดพลาด คลาดเคลื่อนในการให้สัมภาษณ์
วันนี้ นายสมัครจะบอกว่าสิ่งที่เราพูดนั้นไม่มีมูล ไม่มีความจริงไปฟ้องร้องหนังสือพิมพ์โดยไม่ตอบคำถามเหล่านี้ไม่ได้ อย่าลืมว่าการขอขึ้นทะเบียนเขาพระวิหารเป็นมรดกโลกนั้น กัมพูชาเคยยื่นฝ่ายเดียว และองค์การยูเนสโกตีเรื่องกลับมาแล้ว 1 ครั้ง เพราะเห็นว่า การเป็นมรดกโลกต้องรวมพื้นที่ครอบคลุมทั้งหมด ปัญหาจึงต้องดูว่าเรามีปัญหาในเรื่องของการขีดพื้นที่และขีดแผนที่จริงๆ หรือไม่
**แฉกัมพูชาโมเมแผนที่-ไทยมัวเฉย จ่อเสียดินแดน
ผู้ดำเนินรายการกล่าวต่อว่า กรณีเขาพระวิหารนั้นทางฝ่ายกัมพูชาได้พยายามแพร่ข้อมูลทางเว็บไซต์ตั้งแต่เดือนเมษายนที่ผ่านมา กล่าวหาว่าไทยได้ลุกล้ำแนวเขตแดนของกัมพูชา โดยเอาภาพแผนที่จากกูเกิลเอิร์ธไปเปรียบเทียบกับแผนที่ของสหรัฐอเมริกา โดยไม่ได้ระบุต้นตอที่มาและหลักเกณฑ์การเปรียบเทียบว่าเป็นอย่างไร แต่สรุปเอาว่าเขตแดนกัมพูชาถูกไทยฮุบเอาไป
ทั้งนี้ เรื่องปัญหาเขตแดนดังกล่าวทำให้นึกถึงนายวีรชัย พลาศรัย อดีตอธิบดีกรมสนธิสัญญาและกฎหมาย ที่ถูกย้ายไปเป็นเอกอัครราชทูตประจำกระทรวงการต่างประเทศ และนายวีระศักิ์ ฟูตระกูล ปลัดกระทรวงการต่างประเทศได้เขียนจดหมายเปิดผนึกยกย่องว่า เป็นข้าราชการที่เก่งกาจและกล้าหาญในการปกป้องเขตแดนไทย นอกจากนี้นายวีระชัย ยังเคยทำหนังสือเรียกทูตกัมพูชามารับหนังสือประท้วงกรณีการละเมิดเขตแดนไทยด้วย
ผู้ดำเนินรายการ กล่าวต่อว่า พื้นที่โดยรอบเขาพระวิหารที่เป็นเขตทับซ้อนระหว่างไทยและกัมพูชานั้นมีอยู่ประมาณ 2.5 ตารางกิโลเมตร แต่ถ้าทางกัมพูชายึดเอาตามแผนที่ที่อ้างทางเว็บไซต์นั้นจะมีพื้นที่ทับซ้อนถึง10 ตารางกิโลเมตรเศษ ถ้าเราปล่อยให้การขึ้นทะเบียนเขาพระวิหารเป็นมรดกโลกเป็นเรื่องของกัมพูชาฝ่ายเดียวตามที่นายสมัครบอก เราจะเสียดินแดนให้กัมพูชา
เรื่องนี้ น่าเป็นห่วงเพราะมีแหล่งข่าวระบุว่าจะมีการแลกดินแดนบริเวณเขาพระวิหารกับผลประโยชน์การขุดก๊าซในเขตทับซ้อนทางทะเลระหว่างไทย-กัมพูชา และตอนนี้ก็มีข่าวชัดเจนว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร จะเข้าไปลงทุนในกัมพูชา โดยที่ พล.อ.เตีย บัญ รมว.กลาโหม กัมพูชา ออกมาพูดเอง เพราะฉะนั้น อยากถามนายสมัครว่า มันจะเสียหายตรงไหนที่เราจะเสนอขึ้นทะเบียนเขาพระวิหารเป็นมรดกโลกร่วมกับกัมพูชา
**วอนหยุดนำศาสนามาเป็นประเด็นการเมือง
ต่อมา ผู้ดำเนินรายการ ได้กล่าวถึงกรณีที่พรรคพลังประชาชนได้ดึงเอากลุ่มพระสงฆ์มาร่วมเคลื่อนไหวในการแก้ไขรัฐธรรมนูญ 2550 โดยจะนำเอาการบรรจุพระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติมาเป็นประเด็นเรียกร้อง ซึ่งเมื่อวันก่อน นายคำนูณ สิทธิสมาน ส.ว.สรรหา ได้บอกว่าเป็นวิธีการที่ใจร้ายมาก และอยากให้รับฟังพระแสรับสั่งของสมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถ เมื่อปี 2550 เกี่ยวกับการบรรจุพระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติ โดยมีความตอนหนึ่งว่า ไม่อยากให้เอาศาสนาไปพัวพันการเมือง ควรเทิดทูนเอาไว้เหนือเกล้า เป็นแสงสว่างในหัวใจของคนไทยตลอดไป เพราะการเมืองบางครั้งมีความผิดพลาด มัวหมองได้หลายเรื่อง ดังนั้นจึงไม่ควรเอาบวรพุทธศาสนาไปไว้กับกฎหมายสูงสุดคือรัฐธรรมนูญ ควรทิ้งศาสนาไว้เช่นนี้ ที่ถูกเทิดทูนโดยคนทั้งชาติ
“นับเป็นพระมหากรุณาธิคุณอย่างหาที่สุดมิได้ หลังจากเหตุการณ์ครั้งนั้น ช่วงหนึ่งดูเหมือนว่าการรณรงค์ในการเสนอญัตติให้ศาสนาพุทธเป็นศาสนาประจำชาติเพื่อคว่ำรัฐธรรมนูญ ดูจะเบาบางลง บัดนี้มาอีกแล้ว นี่ผมก็ถือว่าเป็นวิกฤตทางศาสนาเช่นเดียวกัน คือนำศาสนามาเป็นประเด็นทางการเมือง”ผู้ดำเนินรายการกล่าว
**สลด! หนังสือหมิ่นฯ ยังวางเกลื่อนแผง
ต่อมา ผู้ดำเนินรายการกล่าวถึงหนังสือเล่มหนึ่งที่มีเนื้อหาทำลายสถาบัน ซึ่งตอนแรกไม่แน่ใจว่าควรจะเปิดเผยหนังสือเล่มนี้หรือไม่ แต่มีผู้ใหญ่ท่านหนึ่งบอกว่า สถาบันกษัตริย์ของไทยมีความเข้มแข็งอย่างมาก อย่าคิดว่าคนไทยจะคล้อยตามง่ายๆ ในทางตรงกันข้ามควรจะนำมาเปิดเผยเพื่อบอกให้รู้ว่ายังมีขบวนการที่จะทำลายสถาบันอยู่
สำหรับหนังสือเล่มนี้ คือนิตยสารฟ้าเดียวกัน ฉบับเดือน ม.ค.-มี.ค.2551 ซึ่งมีเนื้อหาวิพากษ์วิจารณ์การจัดงานพระศพฯ มีการเขียนเปรียบเทียบเพื่อลดความน่าเชื่อถือของสถาบันพระมหากษัตริย์ มีการรณรงค์ตามแนวทางที่สอดคล้องกับนายโชติศักดิ์ อ่อนสูง คือให้ยกเลิกประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 พูดถึงรัฐประหาร 2490 ว่า มาจากพวกนิยมกษัตริย์
ผู้ดำเนินรายการ กล่าวว่า หนังสือเล่มนี้ได้เขียนเรื่องราชวงศ์ที่ใช้จ่ายสูงที่สุดในโลก โดยการเปรียบเทียบค่าใช้จ่ายของราชสำนักไทยกับราชสำนักอังกฤษ แล้วไปเปรียบอัตราเงินเฟ้อ จีดีพีของไทย ซึ่งเป็นหลักวิชารการที่ไม่รับผิดชอบ เพราะไม่สนใจพูดถึงโครงการพระราชดำริที่มากมายที่พระองค์ทำเพื่อพสกนิกรเลยแม้แต่น้อย
สำหรับที่อยู่ของนิตยสารดังกล่าว ปัจจุบันอยู่ที่ ถนนเจริญนคร บางลำพูล่าง เขตคลองสาน ส่วนที่อยู่เดิมนั้นเป็นตู้ ปณ. 156 ปณจ.ยานนาวา และเบอร์โทรศัพท์ 0-2677-6594 เมื่อตรวจสอบแล้วปรากฏว่า เป็นของนางสมพร จึงรุ่งเรืองกิจ พี่สะใภ้ของนายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ และเป็นมารดาของนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ซึ่งมีความคิดเลื่อมใสในลัทธิมาร์กซ์ และสนิทสนมกับนายพานทองแท้ ชินวัตร ขณะเรียนอยู่ที่คณะวิศวกรรมศษสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
ผู้ดำเนินรายการ กล่าวว่า หนังสือเล่มนี้ตีพิมพ์ประมาณ 3-4 พันเล่ม โดยมีสปอนเซอร์น้อยมาก ซึ่งเมื่อดูจากรูปแบบการพิมพ์ที่ทำปกอย่างดีแล้วน่าจะใช้เงินทุนไม่น้อย และเป็นเรื่องที่น่าแปลกใจที่หนังสือเล่มนี้ยังวางขายได้ตามแผงหนังสือทั่วไป ยกเว้นเครือซี-เอ็ดที่เลิกขายแล้ว เพราะรู้ว่ามีเนื้อหาล่อแหลม โดยเล่มล่าสุดนี้ ตนเห็นวางอยู่ใกล้กับพระบรมฉายาลักษณ์ฯ ในร้านค้า
“อยากจะบอกว่า นี้เป็นสถานการณ์ที่ไม่ปกติจริงๆ ที่บอกว่า เป็นวิกฤตต่อชาติ มีวิกฤตต่อศาสนา และมีวิกฤตต่อสถาบันพระมหากษัตริย์อย่างยิ่งจริงครับ” ผู้ดำเนินรายการกล่าว
คลิกที่นี่ เพื่อชมวิดีโอคลิป
รายการยามเฝ้าแผ่นดิน ช่วงที่ 1
( 56 k ) | ( 256 K )
คลิกที่นี่ เพื่อชมวิดีโอคลิป
รายการยามเฝ้าแผ่นดิน ช่วงที่ 2
( 56 k ) | ( 256 K )
คลิกที่นี่ เพื่อชมวิดีโอคลิป
รายการยามเฝ้าแผ่นดิน ช่วงที่ 1
( 56 k ) | ( 256 K )
คลิกที่นี่ เพื่อชมวิดีโอคลิป
รายการยามเฝ้าแผ่นดิน ช่วงที่ 2
( 56 k ) | ( 256 K )