หนังสือพิมพ์และสื่อทีวีบางช่องพยายามขยายผลเหตุการณ์ที่ซอยวิภาวดี 3 ที่กลุ่มบุคคลซึ่งอ้างว่าเป็นการ์ดของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ได้บุกเข้าไปทำร้ายกลุ่มแท็กซี่ ภาพเหตุการณ์นั้นเป็นภาพที่พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยไม่อาจปฏิเสธได้ เพราะมีภาพข่าวรายงานอย่างชัดแจ้งว่า กลุ่มบุคคลดังกล่าวมีปลอกแขน “สีเหลือง” จริงๆ
เสียงสะท้อนที่ตามมาคือ การประณามว่า พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยไม่ได้ยึดหลักการของสันติ อหิงสาจริง และที่ผ่านมายังมีข่าวอีกว่า การ์ดของพันธมิตรฯ จำนวนหนึ่งถูกจับอาวุธ ซึ่งทำให้ฝ่ายรัฐบาลกล่าวหาว่า พันธมิตรฯ มีการซ่องสุมอาวุธไว้ด้วย ดังนั้นข้อหาว่า การ์ดจำนวนหนึ่งมีอาวุธจึงเป็นเรื่องที่พันธมิตรฯ ก็ไม่อาจปฏิเสธความรับผิดชอบได้เช่นเดียวกัน
แม้ว่าโดยข้อเท็จจริงแล้วแกนนำพันธมิตรฯ และการสื่อสารบนเวทีพันธมิตรฯ ย้ำเน้นเสมอมาว่า ห้ามการ์ดทุกชุดพกพาอาวุธและใช้อาวุธโดยเด็ดขาด แน่นอนว่า นโยบายเช่นนี้เป็นเรื่องยากที่จะบรรลุผลและควบคุมการ์ดจำนวนมากได้ ทั้งนี้เพราะการเข้ามาเป็นการ์ดอาสาสมัครของพันธมิตรฯ นั้นมาจากหลายที่หลายทางร้อยพ่อพันธุ์แม่ และทุกคนถูกยั่วยุและทำร้ายด้วยความรุนแรงจากฝ่ายอันธพาลการเมืองของรัฐบาลหลายครั้งโดยเจ้าหน้าที่รัฐหลิ่วตาตลอดกว่า 6 เดือนที่ผ่านมา
การที่มวลชนของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยไม่อาจระงับโทสะและใช้อาวุธปืนเข้ามาตอบโต้การกระทำของฝ่ายตรงข้าม เป็นการละทิ้งหลักการสันติอหิงสา เป็นการกระทำที่ผิดกฎหมายแน่ แต่นั่นก็คือ การป้องกันตัวเองจากการถูกทำร้ายด้วยอาวุธปืน ระเบิดครั้งแล้วครั้งเล่าไม่ใช่หรือ
สิ่งที่ผมพูดนี้บางคนหรือฝ่ายตรงข้ามอาจจะกล่าวหาว่าเป็นข้อแก้ตัว แต่โดยข้อเท็จจริงจะมีใครปฏิเสธหากกลับไปทบทวนและลำดับเหตุการณ์อย่างไม่มีอคติแล้ว เรื่องนี้เป็นเรื่องจริงไม่ใช่เรื่องปั้นแต่ง
การ์ดปลอกแขน “เหลือง” ที่ไปไล่ยิงไล่ตีกลุ่มแท็กซี่ที่ปากซอยวิภาวดี 3 จะไม่เกิดขึ้นแน่ ถ้าเจ้าหน้าที่รัฐซึ่งมีอำนาจในการป้องกันและระงับเหตุได้เข้ามาพิทักษ์สันติราษฎร์จริง แต่โดยข้อเท็จจริงก็คือ มีประจักษ์พยานและข่าวชัดเจนว่า ก่อนหน้านั้นตำรวจซึ่งมีหน้าที่ดังกล่าวกลับผสมโรงและยืนดูการใช้ความรุนแรงต่อพันธมิตรฯ อย่างชัดแจ้ง
พฤติกรรมของตำรวจที่เกิดขึ้นนั้น ไม่ใช่เพิ่งเกิดขึ้น แต่เกิดขึ้นทุกครั้งที่พันธมิตรฯ ถูกรุมทำร้าย แล้วจะให้เรารอไปพึ่งกระบวนการยุติธรรมได้อย่างไร
แต่ผมกลับไม่เคยเห็นนักวิชาการบางคน โดยเฉพาะมหาวิทยาลัยกำมะลอ “เที่ยงคืน” ที่ออกมาตัดขาพันธมิตรประชานเพื่อประชาธิปไตย และ “ให้ท้าย” ระบอบทักษิณ และนปก. เสมอมา ออกมาประณามพฤติกรรมเช่นนี้ของอันธพาลของรัฐบาลเลย
ถ้าเราจำเหตุการณ์ที่อุดรธานีได้ พันธมิตรฯ ถูกกลุ่มคน “เสื้อแดง” ไล่ทุบตีจนได้รับบาดเจ็บสาหัสหลายคน นักวิชาการกลุ่มหนึ่งได้ลงชื่อเพื่อประณามเหตุการณ์ครั้งนั้น เชื่อไหมครับว่า มีนักวิชาการมหาวิทยาลัยเที่ยงคืนเพียงคนเดียวที่ลงชื่อสนับสนุนคือ นายชำนาญ จันทร์เรือง แต่ไม่มีนักวิชาการจากมหาวิทยาลัยเที่ยงคืนคนอื่นๆ ลงชื่อสนับสนุนเลย
เมื่อเป็นเช่นนั้นผมถามว่า การที่พวกเขาออกมาประณามพันธมิตรฯ หลังจากไม่ยอมอดกลั้นยึดหลักอหิงสาต่อการก่อความรุนแรงครั้งแล้วครั้งเล่านั้น เป็นเพราะพวกเขายึดมั่นหลักการประณามการใช้ความรุนแรงด้วยความจริงใจหรือ
ใช่หรือไม่ว่า ความรุนแรงและมิคสัญญีที่เกิดขึ้นนี้เนื่องจากสังคมเรามีนักวิชาการเห็บเหาตะกวดแลนแบบมหาวิทยาลัยเที่ยงคืนและอื่นๆ และสื่อมวลชนจำนวนหนึ่งที่ไม่รายงานข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นในสังคม ว่า ใครเป็นฝ่ายใช้ความรุนแรง ใครเป็นฝ่ายยับยั้งความรุนแรง ใครเป็นการป้องกันตัวเองตามหลักการสิทธิพื้นฐานของความเป็นมนุษย์
ถ้าเราจำได้นักวิชาการเห็บเหาตะกวดแลนแบบมหาวิทยาลัยเที่ยงคืนเคยร่วมมือกับระบอบทักษิณ และนปก.ในการร่วมกันรณรงค์คัดค้านการลงประชามติร่างรัฐธรรมนูญ 2550 มาแล้ว ตอนนั้นอดีตศาสดาของกลุ่ม (เป็นอดีตเพราะไปไฮแจ็คเมียเพื่อน) ถึงกับประกาศว่า เอาเงินทักษิณมาเคลื่อนไหวแล้วจะทำไม
แต่การทำงานของมหาวิทยาลัยครั้งนั้นก็ไม่ได้รับการขานรับจากกลุ่มคนที่มีปัญญา แม้กระทั่งในประชาคมมหาวิทยาลัยเชียงใหม่เอง
ดังนั้นการออกมาเคลื่อนไหวของกลุ่มนี้ในแต่ละครั้ง จึงเป็นไปเพื่อ “ตัดขา” พันธมิตรฯ และ “ให้ท้าย” นปก.และรัฐบาลหุ่นเชิดขายชาติของระบอบทักษิณเท่านั้น
เมื่อวันก่อน ฯพณฯ สมชาย ปรีชาศิลปกุล คณบดีนิติศาสตร์ แห่งมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ถึงกับ “ให้ท้าย” กลุ่มเสื้อแดงในบทความของเขาว่า การแสดงตัวของ “เสื้อแดง” มีส่วนสำคัญต่อการสร้างความชอบธรรมทั้งในแง่เชิงหลักการและเชิงโวหาร ทำให้รัฐบาลสามารถยังคงดำรงตำแหน่งอยู่ต่อไปได้ รวมทั้งทำให้ผู้ที่ต้องการใช้อำนาจนอกระบบต้องขบคิดและออกแรงมากขึ้น หากต้องการให้เกิดความเปลี่ยนแปลงนอกกรอบของระบบรัฐสภา
ถ้าเราติดตามทัศนคติของนักวิชากลุ่มนี้อย่างเสมอมา คล้ายกับพวกเขามองว่า “กลุ่มคนเสื้อเหลือง” นั้น เป็นอันธพาลทางการเมือง แต่ “กลุ่มคนเสื้อแดง” เป็นพลังของนักต่อสู้เพื่อระบอบประชาธิปไตยอันบริสุทธิ์
นักวิชาการพวกนี้ไม่เคยยอมรับว่า มวลชน “ส่วนใหญ่” ของกลุ่มเสื้อแดงนั้น เป็นมวลชนที่ถูกจัดตั้งขึ้นมา ไม่ใช่เกิดจากสำนึกโดยธรรมชาติ การรณรงค์คว่ำรัฐธรรมนูญก็ถูกกลุ่มการเมืองในระบอบทักษิณหลอกลวงประชาชนที่ไม่รู้ต่างๆ นานา เช่น ถ้ารัฐธรรมนูญฉบับนี้ผ่าน ทักษิณจะไม่ได้กลับประเทศ มุสลิมจะกลืนศาสนาพุทธ ฯลฯ
บทความข้างต้นของสมชาย ถึงกับกล่าวด้วยว่า การก่อตัวของขบวนการต่อต้านรัฐบาลทักษิณ แม้จะสามารถระดมผู้คนมาเข้าร่วมได้อย่างกว้างขวางนับตั้งแต่ระยะเริ่มต้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเข้าร่วมของชนชั้นกลางและคนเมืองซึ่งในอดีตเคยเป็นกลุ่มคนที่มีความสำคัญต่อการล้มรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง อย่างไรก็ตาม สำหรับการเคลื่อนไหวที่เกิดขึ้นในปัจจุบันนั้นมีความแตกต่างจากที่เคยเป็นมา
สมชายบอกว่า ขบวนการเคลื่อนไหวโดยลำพังไม่อาจที่จะล้มรัฐบาลลงได้อย่างง่ายดายเช่นที่เคยเกิดขึ้น อันเป็นการสะท้อนให้เห็นถึงสถานะของระบบรัฐสภา ที่ลงหลักปักฐานอย่างแน่นหนามากขึ้น ฐานเสียงของประชาชนมีความสำคัญต่อการค้ำยันระบบรัฐบาล ทำให้เกิดการถ่วงดุลเสียงของพลังจากชนชั้นกลางที่เคยสามารถ “ชี้เป็นชี้ตาย” ทางการเมืองได้ด้วยผ่านการสร้างฉันทามติกรุงเทพฯ ต้องประสบกับฉันทามติจากรากหญ้ามาเป็นเสียงทัดทาน
ทัศนะเช่นนี้นั้นมีที่มาจากการบูชาประชาธิปไตย 4 วินาทีอย่างแน่นอน ระบบรัฐสภาของเราได้ลงหลักปักฐานอย่างหนาแน่นจริงๆ หรือว่า ถูกควบคุมด้วยระบอบเผด็จการพรรคการเมืองกันแน่ ส.ส.มีเสรีภาพในการแสดงความเห็นและลงมติด้วยสำนึกของความถูกต้องชั่วดีหรือระบอบเผด็จการพรรคการเมืองกันแน่ ระบอบไหนที่ใช้เงินซื้อวุฒิสภาและองค์กรอิสระ
ด้วยทัศนะเช่นนี้ ทำให้ผมมองว่า นักวิชาการกลุ่มนี้เป็นเพียงเห็บเหาตะกวดแลนในวงการวิชาการเท่านั้น
เสียงสะท้อนที่ตามมาคือ การประณามว่า พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยไม่ได้ยึดหลักการของสันติ อหิงสาจริง และที่ผ่านมายังมีข่าวอีกว่า การ์ดของพันธมิตรฯ จำนวนหนึ่งถูกจับอาวุธ ซึ่งทำให้ฝ่ายรัฐบาลกล่าวหาว่า พันธมิตรฯ มีการซ่องสุมอาวุธไว้ด้วย ดังนั้นข้อหาว่า การ์ดจำนวนหนึ่งมีอาวุธจึงเป็นเรื่องที่พันธมิตรฯ ก็ไม่อาจปฏิเสธความรับผิดชอบได้เช่นเดียวกัน
แม้ว่าโดยข้อเท็จจริงแล้วแกนนำพันธมิตรฯ และการสื่อสารบนเวทีพันธมิตรฯ ย้ำเน้นเสมอมาว่า ห้ามการ์ดทุกชุดพกพาอาวุธและใช้อาวุธโดยเด็ดขาด แน่นอนว่า นโยบายเช่นนี้เป็นเรื่องยากที่จะบรรลุผลและควบคุมการ์ดจำนวนมากได้ ทั้งนี้เพราะการเข้ามาเป็นการ์ดอาสาสมัครของพันธมิตรฯ นั้นมาจากหลายที่หลายทางร้อยพ่อพันธุ์แม่ และทุกคนถูกยั่วยุและทำร้ายด้วยความรุนแรงจากฝ่ายอันธพาลการเมืองของรัฐบาลหลายครั้งโดยเจ้าหน้าที่รัฐหลิ่วตาตลอดกว่า 6 เดือนที่ผ่านมา
การที่มวลชนของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยไม่อาจระงับโทสะและใช้อาวุธปืนเข้ามาตอบโต้การกระทำของฝ่ายตรงข้าม เป็นการละทิ้งหลักการสันติอหิงสา เป็นการกระทำที่ผิดกฎหมายแน่ แต่นั่นก็คือ การป้องกันตัวเองจากการถูกทำร้ายด้วยอาวุธปืน ระเบิดครั้งแล้วครั้งเล่าไม่ใช่หรือ
สิ่งที่ผมพูดนี้บางคนหรือฝ่ายตรงข้ามอาจจะกล่าวหาว่าเป็นข้อแก้ตัว แต่โดยข้อเท็จจริงจะมีใครปฏิเสธหากกลับไปทบทวนและลำดับเหตุการณ์อย่างไม่มีอคติแล้ว เรื่องนี้เป็นเรื่องจริงไม่ใช่เรื่องปั้นแต่ง
การ์ดปลอกแขน “เหลือง” ที่ไปไล่ยิงไล่ตีกลุ่มแท็กซี่ที่ปากซอยวิภาวดี 3 จะไม่เกิดขึ้นแน่ ถ้าเจ้าหน้าที่รัฐซึ่งมีอำนาจในการป้องกันและระงับเหตุได้เข้ามาพิทักษ์สันติราษฎร์จริง แต่โดยข้อเท็จจริงก็คือ มีประจักษ์พยานและข่าวชัดเจนว่า ก่อนหน้านั้นตำรวจซึ่งมีหน้าที่ดังกล่าวกลับผสมโรงและยืนดูการใช้ความรุนแรงต่อพันธมิตรฯ อย่างชัดแจ้ง
พฤติกรรมของตำรวจที่เกิดขึ้นนั้น ไม่ใช่เพิ่งเกิดขึ้น แต่เกิดขึ้นทุกครั้งที่พันธมิตรฯ ถูกรุมทำร้าย แล้วจะให้เรารอไปพึ่งกระบวนการยุติธรรมได้อย่างไร
แต่ผมกลับไม่เคยเห็นนักวิชาการบางคน โดยเฉพาะมหาวิทยาลัยกำมะลอ “เที่ยงคืน” ที่ออกมาตัดขาพันธมิตรประชานเพื่อประชาธิปไตย และ “ให้ท้าย” ระบอบทักษิณ และนปก. เสมอมา ออกมาประณามพฤติกรรมเช่นนี้ของอันธพาลของรัฐบาลเลย
ถ้าเราจำเหตุการณ์ที่อุดรธานีได้ พันธมิตรฯ ถูกกลุ่มคน “เสื้อแดง” ไล่ทุบตีจนได้รับบาดเจ็บสาหัสหลายคน นักวิชาการกลุ่มหนึ่งได้ลงชื่อเพื่อประณามเหตุการณ์ครั้งนั้น เชื่อไหมครับว่า มีนักวิชาการมหาวิทยาลัยเที่ยงคืนเพียงคนเดียวที่ลงชื่อสนับสนุนคือ นายชำนาญ จันทร์เรือง แต่ไม่มีนักวิชาการจากมหาวิทยาลัยเที่ยงคืนคนอื่นๆ ลงชื่อสนับสนุนเลย
เมื่อเป็นเช่นนั้นผมถามว่า การที่พวกเขาออกมาประณามพันธมิตรฯ หลังจากไม่ยอมอดกลั้นยึดหลักอหิงสาต่อการก่อความรุนแรงครั้งแล้วครั้งเล่านั้น เป็นเพราะพวกเขายึดมั่นหลักการประณามการใช้ความรุนแรงด้วยความจริงใจหรือ
ใช่หรือไม่ว่า ความรุนแรงและมิคสัญญีที่เกิดขึ้นนี้เนื่องจากสังคมเรามีนักวิชาการเห็บเหาตะกวดแลนแบบมหาวิทยาลัยเที่ยงคืนและอื่นๆ และสื่อมวลชนจำนวนหนึ่งที่ไม่รายงานข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นในสังคม ว่า ใครเป็นฝ่ายใช้ความรุนแรง ใครเป็นฝ่ายยับยั้งความรุนแรง ใครเป็นการป้องกันตัวเองตามหลักการสิทธิพื้นฐานของความเป็นมนุษย์
ถ้าเราจำได้นักวิชาการเห็บเหาตะกวดแลนแบบมหาวิทยาลัยเที่ยงคืนเคยร่วมมือกับระบอบทักษิณ และนปก.ในการร่วมกันรณรงค์คัดค้านการลงประชามติร่างรัฐธรรมนูญ 2550 มาแล้ว ตอนนั้นอดีตศาสดาของกลุ่ม (เป็นอดีตเพราะไปไฮแจ็คเมียเพื่อน) ถึงกับประกาศว่า เอาเงินทักษิณมาเคลื่อนไหวแล้วจะทำไม
แต่การทำงานของมหาวิทยาลัยครั้งนั้นก็ไม่ได้รับการขานรับจากกลุ่มคนที่มีปัญญา แม้กระทั่งในประชาคมมหาวิทยาลัยเชียงใหม่เอง
ดังนั้นการออกมาเคลื่อนไหวของกลุ่มนี้ในแต่ละครั้ง จึงเป็นไปเพื่อ “ตัดขา” พันธมิตรฯ และ “ให้ท้าย” นปก.และรัฐบาลหุ่นเชิดขายชาติของระบอบทักษิณเท่านั้น
เมื่อวันก่อน ฯพณฯ สมชาย ปรีชาศิลปกุล คณบดีนิติศาสตร์ แห่งมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ถึงกับ “ให้ท้าย” กลุ่มเสื้อแดงในบทความของเขาว่า การแสดงตัวของ “เสื้อแดง” มีส่วนสำคัญต่อการสร้างความชอบธรรมทั้งในแง่เชิงหลักการและเชิงโวหาร ทำให้รัฐบาลสามารถยังคงดำรงตำแหน่งอยู่ต่อไปได้ รวมทั้งทำให้ผู้ที่ต้องการใช้อำนาจนอกระบบต้องขบคิดและออกแรงมากขึ้น หากต้องการให้เกิดความเปลี่ยนแปลงนอกกรอบของระบบรัฐสภา
ถ้าเราติดตามทัศนคติของนักวิชากลุ่มนี้อย่างเสมอมา คล้ายกับพวกเขามองว่า “กลุ่มคนเสื้อเหลือง” นั้น เป็นอันธพาลทางการเมือง แต่ “กลุ่มคนเสื้อแดง” เป็นพลังของนักต่อสู้เพื่อระบอบประชาธิปไตยอันบริสุทธิ์
นักวิชาการพวกนี้ไม่เคยยอมรับว่า มวลชน “ส่วนใหญ่” ของกลุ่มเสื้อแดงนั้น เป็นมวลชนที่ถูกจัดตั้งขึ้นมา ไม่ใช่เกิดจากสำนึกโดยธรรมชาติ การรณรงค์คว่ำรัฐธรรมนูญก็ถูกกลุ่มการเมืองในระบอบทักษิณหลอกลวงประชาชนที่ไม่รู้ต่างๆ นานา เช่น ถ้ารัฐธรรมนูญฉบับนี้ผ่าน ทักษิณจะไม่ได้กลับประเทศ มุสลิมจะกลืนศาสนาพุทธ ฯลฯ
บทความข้างต้นของสมชาย ถึงกับกล่าวด้วยว่า การก่อตัวของขบวนการต่อต้านรัฐบาลทักษิณ แม้จะสามารถระดมผู้คนมาเข้าร่วมได้อย่างกว้างขวางนับตั้งแต่ระยะเริ่มต้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเข้าร่วมของชนชั้นกลางและคนเมืองซึ่งในอดีตเคยเป็นกลุ่มคนที่มีความสำคัญต่อการล้มรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง อย่างไรก็ตาม สำหรับการเคลื่อนไหวที่เกิดขึ้นในปัจจุบันนั้นมีความแตกต่างจากที่เคยเป็นมา
สมชายบอกว่า ขบวนการเคลื่อนไหวโดยลำพังไม่อาจที่จะล้มรัฐบาลลงได้อย่างง่ายดายเช่นที่เคยเกิดขึ้น อันเป็นการสะท้อนให้เห็นถึงสถานะของระบบรัฐสภา ที่ลงหลักปักฐานอย่างแน่นหนามากขึ้น ฐานเสียงของประชาชนมีความสำคัญต่อการค้ำยันระบบรัฐบาล ทำให้เกิดการถ่วงดุลเสียงของพลังจากชนชั้นกลางที่เคยสามารถ “ชี้เป็นชี้ตาย” ทางการเมืองได้ด้วยผ่านการสร้างฉันทามติกรุงเทพฯ ต้องประสบกับฉันทามติจากรากหญ้ามาเป็นเสียงทัดทาน
ทัศนะเช่นนี้นั้นมีที่มาจากการบูชาประชาธิปไตย 4 วินาทีอย่างแน่นอน ระบบรัฐสภาของเราได้ลงหลักปักฐานอย่างหนาแน่นจริงๆ หรือว่า ถูกควบคุมด้วยระบอบเผด็จการพรรคการเมืองกันแน่ ส.ส.มีเสรีภาพในการแสดงความเห็นและลงมติด้วยสำนึกของความถูกต้องชั่วดีหรือระบอบเผด็จการพรรคการเมืองกันแน่ ระบอบไหนที่ใช้เงินซื้อวุฒิสภาและองค์กรอิสระ
ด้วยทัศนะเช่นนี้ ทำให้ผมมองว่า นักวิชาการกลุ่มนี้เป็นเพียงเห็บเหาตะกวดแลนในวงการวิชาการเท่านั้น