xs
xsm
sm
md
lg

“สุริยะใส” เตือนหุ่นเชิด จุดชนวนรัฐประหารด้วยน้ำมือ

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

สุริยะใส กตะศิลา เลขาธิการครป.
เลขา ครป.ประมินผลงานรัฐบาลหุ่นเชิด 3 เดือนสอบตก ปัญหาเศรษฐกิจรุมเร้า เพราะมัวแต่แก้ไข รธน.เพื่อฟอกมาร เชื่อรัฐประหารจะเกิดซ้ำรอย เพราะรัฐบาลบริหารบ้านเมืองจนพัง

วันนี้ (11 พ.ค.) นายสุริยะใส กตะศิลา เลขาธิการคณะกรรมการรณรงค์พื่อประชาธิปไตย (ครป.) ได้อออกแถลงการณ์ถึงบทประเมิน 3 เดือนรัฐบาลหุ่นเชิด ในหัวข้อ “สังคมอึดอัด เบื่อหน่าย เริ่มไร้ความหวัง” โดยมีใจความว่านับตั้งแต่การเข้ามาของรัฐบาลนอมินี แม้จะเป็นที่เคลือบแคลงกังขาของหลายฝ่ายตั้งแต่เริ่มต้น แต่ก็ได้รับฉันทานุมัติจากสังคมวงกว้าง ด้วยเหตุที่มาจากการเลือกตั้งและวิถีประชาธิปไตยทั่วๆ ไป แม้มีกระแสต่อต้านก็ยังอยู่ในขอบเขตจำกัดไม่ขยายตัว กระทั่งรัฐบาลได้โอกาสจากประชาชนเพื่อพิสูจน์ผลงาน โดยเฉพาะการฟื้นฟูกระบวนการประชาธิปไตย การสมานฉันท์ การแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจข้าวยากหมากแพง ฯลฯ

แต่ตลอดเวลา 3 เดือนที่ผ่านมา โจทย์หรือปัญหาเก่าที่หวังให้รัฐบาลคลี่คลายกลับมีแนวโน้มขยายตัว ด้วยการตอกลิ่มของรัฐบาลเสียเอง ไม่ว่าจะเป็นปัญหาความแตกแยกที่รัฐบาลไม่แสดงตนเป็นเจ้าภาพแสวงหาวิธีสมานฉันท์ แต่กลับใช้อำนาจรัฐเลือกข้างเลือกกลุ่มแบ่งแยกประชาชนแล้วปกครองด้วยอำนาจที่กร้าวร้าวและพยายามบิดเบือนข้อเสนอกลุ่มคนที่เห็นต่างจากรัฐบาล นอกจากนี้ทีมเศรษฐกิจที่ดูเหมือนความรู้ความสามารถอ่อนหัดกว่า วิกฤติปัญหายิ่งทำให้ปัญหาเศรษฐกิจเริ่มต้นนับหนึ่งสู่วิกฤติอย่างเลี่ยงไม่พ้น ปัญหาปากท้อง ค่าครองชีพ และเงินเฟ้อออกอาการอย่างรุนแรงและขยายตัวรวดเร็วพร้อมๆ กับการพุ่งทะยานของราคาน้ำมันแทบทุกวัน

โจทย์และปัญหาเดิมจึงเขม็งเกลียวมากขึ้นในขณะที่โจทย์หรือปัญหาใหม่ ได้ทยอยเข้าแถวรายวันไม่ว่าจะเป็นการรื้อรัฐธรรมนูญเพื่อฟอกผิดตนเอง การคุกคามสื่อ การปลุกกลุ่มประชาชนในเครือข่ายรัฐบาลออกมาท้าทายกับกลุ่มประชาชนอีกฝ่าย และวาระซ่อนเร้นในการใช้อำนาจรัฐที่เริ่มพบสัญญาณของการเอื้อประโยชน์พวกพ้อง ครอบครัว และการถอนทุนเพื่อรองรับความเปลี่ยนแปลงทางการเมือง ไม่ว่าจะเป็นกรณีเขาพระวิหาร เมกะโปรเจกต์ การขึ้นราคาน้ำตาลทราย เป็นต้น

เป็นที่ทราบกันดีว่าสัญญาณความไม่ลงตัวระหว่างอดีตนายกฯ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ผู้มีบารมีเหนือพรรคและรัฐบาล กับ นายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี เริ่มปรากฎชัดขึ้นนับตั้งแต่ปัญหาการแต่งตั้ง ครม.การโยกย้ายในกองทัพ การแก้ไขรัฐธรรมนูญ กระทั่งการปรับ ครม.รอบใหม่ที่นายสมัครพยายามจะจัดการเองแต่ถูกขัดขวางจากผู้มีอำนาจตัวจริง

3 เดือนของรัฐบาลนอมินี จึงเป็น 3 เดือนของการคุมเชิงทางอำนาจระหว่างผู้มีอำนาจตัวจริง กับผู้มาใหม่ที่พยายามสถาปนาอำนาจของตนหรือสร้างก๊กอำนาจใหม่ ส่งผลให้อำนาจทางการเมืองถูกชักกะเย่อจากสองขั้วอำนาจ ในขณะที่พรรคร่วมรัฐบาลก็ลอยตัวไม่สังฆกรรม แต่เล่นบทฉวยโอกาสต่อรองผลประโยชน์ไปพร้อมๆ กับการเสพสุขอยู่กับตำแหน่งทางการเมืองที่ได้มาตามโควตา

ความไร้เอกภาพทางการเมืองส่งผลให้ยุทธศาสตร์การแก้ปัญหาของประเทศล่องลอยห่างไกลจากความเป็นจริง เพราะผู้นำและ ครม.ไม่สามารถกุมสภาพและขับเข็นมาตรการหรือนโยบายที่ดีสู่เป้าหมายได้อย่างแท้จริง ทำให้ปัญหาของประเทศและปัญหาของประชาชนมาทีหลังหรือเข้าคิวรอไปก่อน

สังคมไทยมีบทเรียนที่เจ็บปวดกับการรัฐประหารครั้งแล้วครั้งเล่า แม้แต่รัฐประหาร 19 กันยายน 2549 ที่ได้รับการยอมรับจากหลายฝ่ายในช่วงต้นก็ตาม สถานการณ์ปัจจุบันได้เริ่มย้อนลอยบรรยากาศก่อนการรัฐประหาร 19 กันยาอีกครั้ง แม้หลายฝ่ายจะออกมาส่งสัญญาณเตือนรัฐบาลให้เร่งนำการเมืองออกจากเงื่อนไขการรัฐประหารก็ตาม แต่รัฐบาลกลับไม่นำพา

เงื่อนไขการรัฐประหารเดิม คือ ความแตกแยกและการเผชิญหน้า การจาบจ้วงสถาบันเบื้องสูงยังดำรงอยู่แล้ว ยังมีเงื่อนไขใหม่คือวิกฤติเศรษฐกิจ และการใช้อำนาจเพื่อคนๆ เดียว ด้วยการแทรกแซงกระบวนการยุติธรรม โยกย้ายข้าราชการประจำแบบมีเงื่อนงำ ใช้เสียงข้างมากมัดมือชกเสียงข้างน้อย ล้วนแต่ทำให้บรรยากาศการเมืองหันหัวสู่เงื่อนไขรัฐประหารรอบใหม่อีกครั้ง

ภูมิคุ้มกันการรัฐประหารที่ดีที่สุดคือการฉีดวัคซีนประชาธิปไตยลงในทุกอนูของระบบการเมืองการท้าทายให้ทหารออกมารัฐประหารของคนในรัฐบาล จึงเป็นความขาดเขลามากกว่าความกล้าที่น่าสรรเสริญ เพราะหากผู้สร้างเงื่อนไขและเชื้อเชิญการรัฐประหารเป็นคนๆ เดียวกับผู้ที่ต่อต้านการรัฐประหาร การเมืองไทยก็ไม่มีวันได้นักประชาธิปไตยที่แท้จริง มีแต่นักฉวยโอกาสที่หลอกใช้ประชาชนเป็นเครื่องมือและกลับเข้าไปเสพสุขในอำนาจรัฐซ้ำแล้วซ้ำเล่าเท่านั้นเอง
กำลังโหลดความคิดเห็น