“ยามเฝ้าแผ่นดิน” จี้ “เป็ดเหลิม” เร่งตรวจสอบใบปลิวหมิ่นองคมนตรี ในฐานะ รมว.มหาดไทย อย่ามัวโบ้ยให้ฝ่ายค้าน ย้ำชัด พปช.มุ่งฉีก รธน.50 ทิ้งทั้งฉบับ โละองค์กรอิสระ เอื้อประโยชน์คนบางคน เตือนสติ อสส.ต้องสร้างความเชื่อมั่น ไร้ประโยชน์ทับซ้อน พร้อมเผย “แม้ว” เมินเขียนคำนิยม “บันทึกลับ 2550” แฉเบื้องหลังลดค่าเงินบาท
คลิกที่นี่ เพื่อฟังรายการ ยามเฝ้าแผ่นดิน โดย ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ สโรชา พรอุดมศักดิ์ ช่วงที่ 1
คลิกที่นี่ เพื่อฟังรายการ ยามเฝ้าแผ่นดิน โดย ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ สโรชา พรอุดมศักดิ์ ช่วงที่ 2
รายการ “ยามเฝ้าแผ่นดิน” ออกอากาศทางเอเอสทีวี คืนวันที่ 17 เมษายน นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ นักวิชาการอิสระ และนางสาวสโรชา พรอุดมศักดิ์ ร่วมดำเนินรายการ โดยในช่วงแรกผู้ดำเนินรายการ ได้กล่าวถึงกรณี ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รมว.มหาดไทย ท้านายชวน หลีกภัย ประธานที่ปรึกษาพรรคประชาธิปัตย์ โชว์หลักฐานใบปลิวโจมตี พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ โดยช่วงหนึ่งพูดจานุ่มนวลแต่อีกช่วงหนึค่งกลับแสดงท่าทีฉุนเฉียวว่า ร.ต.อ.เฉลิม กำลังมีสองบุคลิกในคนเดียวกัน บุคลิกหนึ่งจะบอกและย้ำให้เห็นถึงต้นทุนที่มาของตัวเองว่าเป็นอย่างไร ส่วนอีกบุคลิกนั้นจะปรับเปลี่ยนไปตามอารมณ์ตามสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในขณะนั้น
อย่างไรก็ตาม หากจะมีใบปลิวโจมตีประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ คงจะมีเพียงไม่กี่กลุ่ม โดยเฉพาะกลุ่มที่ขึ้นเวทีปราศรัยโจมตี พล.อ.เปรม สามารถพิสูจน์ได้ว่าเป็นกลุ่มผู้สนับสนุน พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี และอยู่ในพรรคพลังประชาชนจนได้รับปูนบำเหน็จเป็นรัฐมนตรีและ ส.ส.กันถ้วนหน้า ดังนั้นจึงไม่แปลกที่หากประชาชนจะคิดได้ว่า คนเหล่านั้นอาจจะมีส่วนกับใบปลิวโจมตีประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ
การที่ ร.ต.อ.เฉลิม ท้าให้พรรคประชาธิปัตย์เปิดเผยหลักฐานนั้น ก็เป็นการพูดที่ไม่สมควร ร.ต.อ.เฉลิม ควรไปถามคนในพรรคพลังประชาชนดีกว่ามาย้อนถามพรรคประชาธิปัตย์ เนื่องจากสิ่งที่เกิดขึ้นในอดีต ทั้งการปลุกม็อบไปก่อกวนหน้าบ้านสี่เสาเทเวศร์ ขึ้นเวทีปราศรัยโจมตีประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ มันปรากฏชัดเจน เป็นหน้าที่ของ รมว.มหาดไทยที่จะตรวจสอบเรื่องดังกล่าว ไม่ใช่บอกให้ฝ่ายค้านหาหลักฐานมาให้ อย่างไรก็ตาม บรรยากาศในระยะเวลาการต่อสู้ระหว่างสองขั้วอำนาจในตอนนั้น ก็ไม่ปรากฏเงาของ ร.ต.อ.เฉลิม ดังนั้น ร.ต.อ.เฉลิม จึงอาจไม่เข้าใจคนต่อต้าน พล.อ.เปรม ที่อยู่ในพรรคพลังประชาชนคิดกันอย่างไรในช่วงเวลาตอนนั้น
**แฉรัฐหวังฉีก รธน.50 ฟื้นฟูระบอบทักษิณ
ผู้ดำเนินรายการ กล่าวถึงกรณีที่คณะอนุกรรมการยกร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ ฉบับปี 2550 จะให้องค์กรอิสระที่ถูกตั้งขึ้นภายใต้รัฐธรรมนูญ ฉบับปี 2550 จะต้องถูกกลับไปเป็นหน่วยงานราชการภายหลังประกาศใช้รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ว่า แค่เบื้องต้นกระบวนการคิดก็ไม่ถูกต้องแล้ว รัฐบาลต้องไม่ลืมว่า สถานการณ์ที่ผ่านมา พรรคไทยรักไทยในยามที่มีความเข้มแข็ง หรือพรรคพลังประชาชน ก็มาจากเสียงของประชาชน 12 ล้านคน ไม่ถึง 14 ล้านคนที่ออกมารับร่างรัฐธรรมนูญ ฉบับปี 2550 ดังนั้นหากจะมีการแก้ไขด้วยความคิดเห็นเพียงคนไม่กี่คนโดยไม่ฟังเสียงของประชาชนคงไม่ถูกต้อง
นอกจากนี้ ปัจจุบันได้มีความขัดแย้งเกิดขึ้นภายในรัฐบาล โดยเฉพาะการแก้ไขมาตรา 309 ที่ยังไม่มีข้อสรุป แสดงให้เห็นว่า การมีส่วนได้ส่วนเสียของคนที่อยากจะแก้ไขมาตรา 309 มีอยู่เพียงไม่กี่คน ความขัดแย้งจึงเกิดขึ้นโดยไม่สามารถหาข้อสรุปได้จนถึงปัจจุบัน ส่วนการแก้ไขมาตรา 237 ภาระคงไม่ได้ตกไปอยู่พรรคพลังประชาชน พรรคร่วมรัฐบาลต่างมีส่วนได้ส่วนเสียพร้อมๆ กัน จึงพยายามเกาะกลุ่มอย่างเหนียวแน่นจะแก้ไขมาตรา 237 เพื่อผลประโยชน์ต่อพรรคตนเอง
ผู้ดำเนินรายการ กล่าวต่อว่า วันนี้พรรคพลังประชาชนกำลังใช้วิธีแก้ไขรัฐธรรมนูญ ฉบับปี 2550 ด้วยวิธีฉีกรัฐธรรมนูญ ฉบับปี 2550 ทิ้งทั้งหมด แล้วนำรัฐธรรมนูญ ฉบับปี 2540 มาใช้โดยไม่สนใจกระบวนที่มาของรัฐธรรมนูญ ฉบับปี 2540 ซึ่งเป็นวิธีการที่ไม่ง่าย หากพรรคพลังประชาชนคิดจะแก้ไขเพื่อให้ตัวเองพ้นความผิด เป็นความพยายามฟื้นฟูระบอบทักษิณ ตัดตอนกระบวนการยุติธรรม แทรกแซงกดดันโยกย้ายการตรวจสอบจากทุกองค์กร พยายามล้มทุกองค์กรที่มาจากคณะรัฐประหาร
**จี้ อสส.สร้างความเชื่อมั่นสางทุจริตโต้ข้อครหา
ผู้ดำเนินรายการ กล่าวถึงกรณีที่ นายสุเมธ อุปนิสากร กรรมการการเลือกตั้ง (กกต.)ปฏิเสธชี้แจงถึงผลกระทบหากมีการตัดมาตราที่เกี่ยวกับการยุบพรรคออกไป ว่า หากการแก้ไขนำไปสู่การประกาศใช้รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ในอนาคต กกต.ก็ต้องปฏิบัติตาม เพียงแต่วันนี้ยังไม่มีความคืบหน้า กกต.ต้องทำหน้าที่สะสางคดีที่ค้างอยู่ให้เสร็จลุล่วง โดยเฉพาะการรวบรวมสำนวนส่งอัยการสูงสุดเพื่อส่งต่อให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยต่อไป
ส่วนกระแสข่าวที่ระบุว่า สำนักงานอัยการสูงสุดอาจจะไม่ส่งสำนวนยุบพรรคต่อศาลรัฐธรรมนูญนั้น ผู้ดำเนินรายการ กล่าวว่า เรากำลังเดิมพันคดีทุจริตทุกอย่างกับสำนักงานอัยการสูงสุดว่าจะส่งต่อเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมหรือไม่ ซึ่งหากอัยการสูงสุดเป็นผู้ซึ่งมีส่วนได้ส่วนเสียต่อกระบวนการตรวจสอบ ปัญหาก็จะเกิดขึ้น เนื่องจากคดีอาจจะถูกสั่งไม่ฟ้อง เนื่องจากไปมีส่วนได้ส่วนเสีย ดังนั้นสำนักงานอัยการสูงสุดต้องสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชนเห็น อย่าให้ประชาชนต้องลุกขึ้นมาปกป้องเกียรติภูมิของตัวก่อนถึงจะดำเนินการอย่างถูกวิธี
**เตือน “หมัก” ย้าย ขรก.ระวังซ้ำรอยรัฐบาลแม้ว
ผู้ดำเนินรายการ กล่าวเตือนนายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี อย่าซ้ำรอยพ.ต.ท.ทักษิณ เกี่ยวกับความเหมาะสมในการพูดถึงการโยกย้ายก่อนมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ว่า ไม่อยากให้เกิดเหตุการณ์อย่างที่รัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ กลับมาเกิดขึ้นอีกในรัฐบาลชุดนี้ โดยเฉพาะวันนี้มีการพูดถึงตำแหน่ง ผบ.ตร.เป็นตำแหน่งที่ต้องมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งหรือให้พ้นจากตำแหน่ง คณะรัฐมนตรีเป็นผู้เสนอ ดังนั้นตำแหน่ง ผบ.ตร.จะสมบูรณ์ก็ต่อเมื่อมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ พล.ต.อ. เสรีพิศุทธ์ เตมียาเวส จึงยังไม่พ้นจากตำแหน่ง การกระทำดังกล่าวของรัฐบาลจึงละเลยไม่นำพาพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ และอาจขัดต่อรัฐธรรมนูญก็เป็นได้
**แฉเบื้องหลังลอยตัวค่าเงินบาท
ในช่วงที่ 2 นายปานเทพ ได้กล่าวถึงบทความ “ถอดรหัสคำพิพากษาศาลฎีกาคดีค่าเงินบาท ย้อนรอยวิกฤต 40 เปิดขบวนการปล้นชาติ” ซึ่งได้นำเสนอทางหนังสือพิมพ์ผู้จัดการรายวัน และเว็บไซต์ผู้จัดการออนไลน์ (www.manager.co.th) ไปแล้ว 2 ตอนว่า เป็นการขยายความจากกรณีศาลฎีกาได้มีคำพิพากษายกฟ้องคดีที่นายโภคิน พลกุล อดีต รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรียื่นฟ้องนายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ ในข้อหาหมิ่นประมาท กรณีที่นายสุเทพได้อภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ในสภาเมื่อวันที่ 27 กันยายน 2540 ว่านายโภคินอาจนำความลับในที่ประชุมเพื่อพิจารณาลดค่าเงินบาทในปี 2540 ไปบอก พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร จนบริษัทในเครือของ พ.ต.ท.ทักษิณได้ประโยชน์ ซึ่งแม้ว่านายโภคินจะปฏิเสธว่าไม่ได้อยู่ในที่ประชุมดังกล่าวโดยอ้างคำพูดของ พล.อ.ชวลิต แต่พยานของนายโภคินเองกลับยืนยันว่านายโภคินอยู่ในที่ประชุมด้วย และศาลได้ชี้ว่านายนายสุเทพซึ่งขณะนั้นเป็น ส.ส.มีหน้าที่ตรวจสอบรัฐบาลจึงมีสิทธิที่จะตั้งข้อสงสัยในเรื่องดังกล่าวได้
นายปานเทพ กล่าวต่อว่า ถึงแม้ พล.อ.ชวลิตจะปฏิเสธว่าการประชุมเพื่อพิจารณาลอยตัวค่าเงินบาทในวันที่ 29 มิ.ย.40 ไม่มีนายโภคินอยู่ด้วย แต่ พล.อ.ชวลิตกลับเป็นคนจุดประกายให้ตนเขียนหนังสือเล่มหนึ่งในปี 2548 ชื่อ “บันทึกลับ 2540” ซึ่งไม่เข้าใจว่าหากปฏิเสธเรื่องดังกล่าวแล้วจะให้ตนเขียนหนังสือเล่มนี้ขึ้นมาทำไม
นอกจากนี้ หนังสือเล่มดังกล่าวถือเป็นการทดลองใจ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ด้วย เพราะหนังสือเล่มนี้เป็นเล่มที่ 2 ในหนังสือชุด 3 เล่ม โดยเล่มแรกชื่อ “โลกสีขาวของ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ” ส่วนเล่มที่ 3 ชื่อ “การต่อสู้ครั้งสุดท้ายของ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ” ปรากฏว่าเล่มที่ 1 และ 3 พ.ต.ท.ทักษิณเขียนคำนิยมให้ แต่เล่มที่ 2 ที่เกี่ยวกับการลอยตัวค่าเงินบาทในปี 2540 ไม่ยอมเขียน
นายปานเทพ กล่าวต่อว่า จากคำพิพากษาศาลฎีกายกฟ้องคดีนายโภคินฟ้องนายสุเทพดังกล่าว เมื่อนำมาประกอบกับข้อมูลในหนังสือบันทึกลับ 2540 แล้ว จะทำให้รู้ข้อมูลลึกๆ ของการลอยตัวค่าเงินบาทเมื่อปี 2540 มากขึ้น
ทั้งนี้ หากเรียบเรียงเหตุการณ์ พบว่า ผู้บริหารแบงก์ชาติ 6 คน เริ่มหารือกันเรื่องการลดค่าเงินบาทตั้งแต่วันเสาร์ที่ 21 มิ.ย.40 ก่อนที่จะโทรศัพท์หานายเริงชัย มรกานนท์ ผู้ว่าแบงก์ชาติขณะนั้น แสดงว่ารู้กันแล้ว 7 คน วันที่ 24 มิ.ย.40 แบงก์ชาติมีการทำสัญญาสว็อปกับเอกชนบ้าง และเริ่มมีการทำสว็อปล็อตใหญ่ในวันพฤหัสฯ ที่ 25 มิ.ย.จนเงินสำรองเหลือน้อยลงเหลือเพียง 4 พันกว่าล้านเหรียญ และแบงก์ชาติแจ้งให้นายทนง พิทยะ รมว.คลังขณะนั้นทราบ และบอกให้แบงก์ชาติปรับอัตราแลกเปลี่ยน แต่แบงก์ชาติขอไปหารือกันก่อน จนกระทั่งวันศุกร์ที่ 27 มิ.ย.40 แบงก์ชาติกลับทำสว็อปเป็นมูลค่าถึง 35,000 ล้านบาท หรือ 3,400 ล้านเหรียญ ทั้งๆ ที่รู้ว่าจะต้องมีการลดค่าเงิน ซึ่งจะทำให้ขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยน
จะเห็นว่าเงินทุนสำรองระหว่างประเทศหายไปในช่วง 3 วันก่อนประกาศลอยตัวค่าเงินบาท ในวันที่ 2 ก.ค. 2540 เป็นมูลค่าถึง 5 หมื่นล้านบาท และสอดคล้องกับกรณีที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ให้สัมภาษณ์หนังสือพิมพ์มติชนสุดสัปดาห์เมื่อวันที่ 24 มิ.ย.2540 ว่า จะมีการลดค่าเงินบาท
ขณะเดียวกัน ช่วงก่อนวันประกาศลอยตัวค่าเงินบาทบริษัทชินวัตรคอมพิวเตอร์แอนด์คอมมิวนิเคชั่นส์ จำกัด ของ พ.ต.ท.ทักษิณได้ทำทำสัญญาซื้อเงินตราต่างประเทศล่วงหน้าและแลกเปลี่ยนอัตราดอกเบี้ย เพื่อป้องกันความเสี่ยงขาดทุนจากการเปลี่ยนแปลงของอัตราแลกเปลี่ยนและอัตราดอกเบี้ย ในมูลค่าที่สัญญาไว้เป็นจำนวนเงินรวม 6,775 ล้านบาท ทำสัญญาซื้อเงินตราต่างประเทศล่วงหน้า เพื่อป้องกันความเสี่ยงขาดทุนจากการเปลี่ยนแปลงของอัตราแลกเปลี่ยนอีก 1,592.96 ล้านบาท และมีสินค้าคงเหลือจาก 869 ล้านบาท จากไตรมาสแรกของปี 2540 เพิ่มขึ้นกลายมาเป็น 2,196 ล้านบาท มากกว่าไตรมาสแรกถึง 2.52 เท่าตัว นี่เป็นข้อมูลที่ทำให้มีข้อสังเกตว่าใครได้ประโยชน์จากการลอยตัวค่าเงินบาทครั้งนั้น
อ่านเรื่องเกี่ยวเนื่อง
-ถอดรหัสคำพิพากษาศาลฎีกาคดีค่าเงินบาท ย้อนรอยวิกฤต 40 เปิดขบวนการปล้นชาติ - ตอนที่ 1 : เวลา 4 ทุ่ม กับคืนที่ทักษิณรู้ข่าวลดค่าเงินบาท
-ถอดรหัสคำพิพากษาศาลฎีกาคดีค่าเงินบาท ย้อนรอย วิกฤต’40 เปิดขบวนการปล้นชาติ ตอนที่ 2: เปิดบัญชี “ชินวัตร”ก่อนลอยค่าเงิน
-เปิดคำพิพากษาศาลฎีกาคดีลดค่าเงินบาท(ฉบับเต็ม) ไขความลับดำมืด "ทักษิณ"อินไซด์ข้อมูล สะสมทุนตั้งพรรคกินเมือง??