“แม้ว” ปาฐกถาผ่านมูลนิธิไทยคม อ้อนคนไทยเลิกทะเลาะกัน ชักฝีปากเลิกเล่นการเมืองแน่นอน แถมทวงคืนทรัพย์สินที่โดนอายัด อ้างจะก่อตั้งกองทุนลงทุนในเอเชีย คุยโวสายสัมพันธ์ผู้นำนานาชาติยังแน่นแฟ้น ยกหูถึงกันตลอด
วันนี้ (9 เม.ย.) ที่ห้องแกรนด์บอลรูมชั้น 2 โรงแรมเชอราตัน แกรนด์ สุขุมวิท พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ฐานะประธานมูลนิธิไทยคม กล่าวปาฐกถาพิเศษ เรื่อง “อนาคตเด็กไทย อนาคตประเทศไทย” โดยมี นายพานทองแท้ นางสาวพิณทองทา นางสาวแพทองธาร ชินวัตร บุตรชายและบุตรสาว มาร่วมให้กำลังใจ และนอกจากนี้ ยังนักธุรกิจชั้นนำของเมืองไทยมาร่วมงานอย่างคับคั่ง พร้อมกันนี้ ยังมี นายนพดล ปัทมะ รมว.ต่างประเทศ นายสันติ พร้อมพัฒน์ รมว.คมนาคม นายพงศกร อรรณนพพร รมช.ศึกษาธิการ ที่นำข้าราชการระดับสูงของกระทรวงเดินทางมารับฟังแนวทางจัดการด้านการศึกษา
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นอกจากนี้ ยังมีอดีตกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทยที่ถูกตัดสิทธิทางการเมือง 5 ปี หรือที่เรียกว่าอยู่ในบ้านเลขที่ 111 อาทิ นพ.พรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช นายพันศักดิ์ วิญญรัตน์ นายเนวิน ชิดชอบ นพ.สุชัย เจริญรัตกุล นายเสริมศักดิ์ พงษ์พานิช พล.ต.อ.ชิดชัย วรรณสถิตย์ นายประวิทย์ มาลีนนท์ ขณะที่เครือญาติของ พ.ต.ท.ทักษิณ ก็เดินทางมาอย่างหนาตาเช่นกัน นางเยาวภา วงศ์สวัสดิ์ นางสาวยิ่งลักษณ์ นางเยาวเรศ ชินวัตร น้องสาว พ.ต.ท.ทักษิณ ในฐานะกรรมการมูลนิธิไทยคม นายบรรณพจน์ ดามาพงศ์ พี่ชายคุณหญิงพจมาน
ทั้งนี้ ผู้มาร่วมงานรวมทั้งสื่อมวลชน จะได้รับแจกหนังสือ “ทักษิณ ชินวัตร ปั้นเด็กไทยให้เรียนและรู้โลก คิดเป็นทำเป็น” โดยเนื้อหาเป็นการเรียบเรียงในลักษณะถามตอบ ซึ่งในหน้าที่ 35 มีการตั้งคำถามเกี่ยวกับอนาคตทางการเมือง ว่า “ท่านเคยบอกว่าคนรุ่นท่านมีหน้าที่จะต้องดูแลและบริหารบ้านเมืองให้แข็งแรงและสมบูรณ์ เพื่อส่งต่อให้คนรุ่นต่อไป วันนี้ท่านไม่ได้อยู่ในการเมือง แล้วคิดว่าจะช่วยดูแลประเทศชาติเพื่อส่งต่อให้คนรุ่นต่อไปได้อย่างไร” พ.ต.ท.ทักษิณ ตอบว่า “ผมรู้ว่ามีคนบางกลุ่ม บางคน ไม่ชอบวิธีคิดแบบผม เขาต้องการให้บ้านเมืองไปเรื่อยๆ การจะปรับจะเปลี่ยนบ้านเมือง บางคนอาจไม่เห็นด้วย ฉะนั้น วันนี้ผมก็ต้องถอยมาแล้วทำในส่วนที่จะพึงทำได้ เพราะการที่จะเปลี่ยนวิธีคิดของคนทั้งประเทศมันไม่ง่าย แต่เราก็ทำตัวอย่างให้เห็น ถ้าใครเห็นดีเห็นงามก็ทำต่อไป”
ในหน้าที่ 36 มีคำถามว่า “ท่านประกาศวางมือทางการเมืองแล้วจะทุ่มเททำงานเรื่องสังคมและการศึกษา ท่านวางแผนที่จะทำเรื่องเหล่านี้อย่างไรบ้าง” โดย พ.ต.ท.ทักษิณ ตอบว่า ผมจะทำงานมูลนิธิ อย่างเช่น ที่ผ่านมาก็ได้บริจาคเงินจำนวน 240 ล้านบาท ให้กับมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี เพื่อก่อสร้างอาคารสถาบันนวัตกรรมการเรียนรู้เฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา เพื่อใช้ในการต่อยอดเรื่องการเรียนการสอนตามนแนวทฤษฎีการเรียนรู้เพื่อการสร้างสรรค์ด้วยปัญญา นอกจากนี้ มูลนิธิยังมีโครงการมอบทุนการศึกษา 2 โครงการได้แก่ โครงการต่อทุน หนุนฝันให้กับนักเรียนที่เรียนดี ประพฤติดีแต่ขาดทุนทรัพย์ และโครงการร้อยเรียงคำถวายพ่อ เพื่อต่อฝัน ให้กับเยาวชน ที่มีความสามารถทางด้านการแต่งกลอนสุภาพ
พ.ต.ท.ทักษิณ ปาฐกถาพิเศษว่า การตั้งมูลนิธิไทยคมและสิ่งที่จะดำเนินการตามกระแสโลกที่ก้าวหน้าไปมาก มูลนิธินี้เปิดกว้างกับประชาชน แม้มูลนิธินี้ครอบครัวตนเป็นผู้ก่อตั้ง แต่ก็อยากให้ประชาชนมีส่วนร่วม เพราะมูลนิธิไม่ต้องเสียภาษี วันนี้เข้าใจว่ามีเงินบริจาคเข้ามูลนิธิ20ล้านบาท ตนจะนำเงินนี้แบ่งเป็นสองส่วนคือ ส่วนหนึ่งจะจัดเป็นทุนการศึกษา โดยครอบครัวตนจะสมทบอีก 1 พันล้านบาท อีกส่วนหนึ่งจะทำโครงการถวายสมเด็จพระเทพฯในการช่วยเหลือเด็กหูหนวก
พ.ต.ท.ทักษิณ กล่าวว่า ตนเป็นห่วงประเทศ เพราะโลกเปลี่ยนไปมาก สิ่งที่ห่วงมากสุด คืออนาคตของประเทศ ตนนั่งดูงานที่ทำให้ประเทศหลายปีที่ผ่านมาก็ห่วงและคิดว่าควรจะหาทางเตรียมอนาคตของประเทศว่าควรทำเช่นใด ตนก็เขียนหนังสือว่า ถ้าเราไม่ลงทุนกับเด็กในวันนี้ ก็เท่ากับเราไม่ลงทุนกับอนาคต เพราะคนรุ่นเรากำลังรีไทร์ ฉะนั้น การเตรียมสร้างชาตินั้นต้องเตรียมตัวสร่างเด็กรุ่นใหม่ ตนคิดว่าการลงทุนกับเด็กในวันนี้จะเป็นการลงทุนในอนาคต เพราะคนพวกนี้คือผู้ใหญ่ของชาติ ปัจจุบันเด็กยุคเจนเนอเรชัน X คือ อายุ 25-35 ปี และเจนเนอเรชัน Y คือ 15-25 ปี นั้นยังคิดไม่เป็น สองเจเนอเรชั่นนี้สำคัญที่จะบอกว่าข้างหน้านั้นประเทศจะเป็นเช่นใด หากคนในสองเจนเนอเรชันนี้ไม่มีคุณภาพ ประเทศก็ไม่มีคุณภาพแน่นอน
“ต้องเข้าใจว่า อนาคตจะหากินแบบใดหากไม่พัฒนาสมองเด็ก คนเหล่านี้จะเป็นข้าราชการ นักการเมือง นักธุรกิจ และจะทำให้เศรษฐกิจเติบโตได้หรือไม่หากไม่มีคุณภาพ ประเทศก็ไม่มีคุณภาพแน่นอน อย่าคิดว่าเราจัดการไว้แล้ว หากคนรุ่นใหม่ไม่มีคุณภาพขึ้นมาก็กินบุญเก่า ฉะนั้น ควรสร้างคนรุ่นใหม่ที่คุณภาพเหนือกว่าเราจะดีกว่าไหมและสังคมไทยนั้นยังคิดไม่เป็น สังคมเรากลายเป็นสังคมกระแส ฉะนั้น ต้องเน้นการศึกษาอย่างจริงจังเพราะตอนนี้เรื่องนี้กำลังมีปัญหา เพราะประเทศเรายังไม่ยอมหลุดออกจากยุคโลกกำลังพัฒนา เพราะสอนกันแค่ว่าคนนี้ขันน็อตก็ทำหน้านี้เท่านั้น ต่างคนต่างทำ มันติดในวัฒนธรรมที่แก้ไม่หาย และเรื่องการใช้อำนาจ ที่พ่อแม่ดุลูกมากกว่าคุยกันและอธิบายแสดงความเห็น ครูก็สั่งมากกว่าให้เด็กแสดงออก เด็กก็ไม่กล้าให้เหตุผล ฉะนั้นต้องเริ่มแก้” พ.ต.ท.ทักษิณ กล่าว
พ.ต.ท.ทักษิณ กล่าวว่า ตรงนี้น่าห่วง ตนมีความคิดว่า แนวทางการศึกษาที่จะนำคอมพิวเตอร์มาใช้กับเด็กในทุกหลังคาเรือนนั้น เพื่อให้สะดวกในการค้นหาข้อมูล ก้าวทันโลกตนเคยคิดจะทำระบบการศึกษาจากห้องเรียนใน กทม.ไปยังต่างจังหวัดเพื่อให้การศึกษาดีขึ้น อยากให้เด็กไทยมีความคิดเป็นอินเตอร์ ขอฝากกระทรวงศึกษาธิการเปลี่ยนระบบการศึกษาให้บูรณาการมากขึ้น ใช้เทคโนโลยีให้มาก ให้เด็กกล้าคิดกล้าแสดงออก เน้นการฝึกครูให้เข้ารับการฝึกฝนและครูควรเรียนรู้ร่วมกับเด็ก
พ.ต.ท.ทักษิณ กล่าวว่า ขอให้รัฐบาลเน้นงานโดยเฉพาะทางการศึกษา ไม่อย่างนั้นจะตามไม่ทัน โดยเฉพาะการศึกษาที่ไม่เข้าใจกันระหว่างรัฐกับเอกชน ตนได้ข่าวว่าว่า กระทรวงศึกษาฯไม่ค่อยเข้าใจเอกชน และยังเป็นอุปสรรคในการพัฒนาอีกมาก เอกชนควรรวมตัวไปบอกกับกระทรวงศึกษาฯ ตนเชื่อว่า จะทำให้ระบบการศึกษาที่เอกชนมีบทบาทนั้นจะทำได้ดี เพราะเอกชนมีเครื่องมือเยอะแต่ไม่มีคนเก่งมาเรียนมากนัก แต่ภาครัฐคนเก่งเยอะแต่ไม่มีเครื่องมือโดยเทียบกับคณะวิศวกรรมศาสตร์
อดีตนายกฯ กล่าวว่า หลังถูกรัฐประหาร ขอเล่าว่า ตนใช้เวลาคิดนั้นคิดนี่ พอดีว่าปลัดกระทรวงการต่างประเทศคนปัจจุบันตอนนั้นเป็นทูตประจำกรุงวอชิงตัน ดี.ซี.ก็มาพบตนตามหน้าที่ โดยถือหนังสือหนึ่งเล่มมาด้วย ตนก็เอาไปอ่าน แล้วก็ได้ความคิดจากหนังสือว่า ตกงานเรื่องเล็ก ทำใจให้สบาย ไปหางานใหม่ดีกว่า เพราะหนังสือเล่มนี้บอกว่าไม่มีอะไรแย่ไปกว่าแม่ตายแล้ว ฉะนั้นมันควรปล่อยวางกับเพื่อนร่วมงานในเวลาที่เครียด ควรมีอารมณ์ขัน มีแผนการทำงาน มียุทธศาสตร์ ตนก็นำแนวคิดนี้มาใช้และตนก็สบายๆ ลูกๆของตนก็บอกว่า ตนไม่เครียดเลยและเดินทางไปทั่วโลกดูแนวทางทำมาหากินเพื่อคิดว่าไทยนั้นควรจะหากินอย่างไร
พ.ต.ท.ทักษิณ กล่าวว่า ขอชวนคนไทยบุกตลาดโลก เพราะปี 1997 เราหดตัวไปเยอะ แต่วันนี้เราแข็งแรงแล้วต้องบุกใหม่ ตนซื้อสโมสรแมนฯซิตี้นั้นถูกมาก แต่ต้องรวมมูลค่านักฟุตบอลด้วยเพราะคือทรัพย์สิน วันนี้หากขายสโมสรไปก็ได้กำไรไม่น้อยกว่า100ล้านปอนด์ วันนี้ก็จะหาลู่ทางให้สินค้าไทยไปเผยแพร่และเกิดประโยชน์จากสโมสร แต่ตนไม่ขาย ขอเรียนว่าลู่ทางการหากินในต่างประเทศนั้นมีเยอะ ขอให้นักธุรกิจไทยไปลงทุน
พ.ต.ท.ทักษิณ กล่าวว่า ตนที่อยู่ต่างประเทศ ตนได้เจอเพื่อนที่มาจากอาเซียน วันนี้หลายประเทศไปไกลจนน่าสนใจ ตนไปตีกอล์ฟกับสมเด็จฮุนเซน นายกฯ กัมพูชา โดยทราบว่าเกาหลีจะสร้างตึก 57 ชั้นในพนมเปญ และเพื่อนตนไปลงทุนในเวียดนามเล่าให้ฟังว่า ลงทุนปี 2002 ตอนนี้ได้กำไรไม่มากในตลาดหุ้นและที่ดินคือกว่าแสนล้านบาทเอง วันนี้ต้องรวมพลังอย่างสร้างสรรค์ เพราะทุกประเทศไปไกล ไม่ต้องเดินขบวนเพราะไม่มีประโยชน์ ควรนำความคิดที่สร้างสรรค์ไปบอกรัฐบาลว่าให้ปรับนโยบายกับสิ่งที่เกิดขึ้น
พ.ต.ท.ทักษิณ กล่าวว่า ตนอยากให้กำลังใจคนไทยทุกคน วันนี้หลายคนมาให้กำลังใจตนที่ระหกระเหินในต่างประเทศ ยอมรับว่า มีชีวิตมีทั้งทุกข์และสุข บางคนบอกว่าชีวิตของตนนั้นดีนะ เพราะเห็นนรกและสวรรค์ในชาติเดียว ตอนไปต่างประเทศในช่วงเป็นนายกฯบางประเทศมีพรมแดงปูต้อนรับ แต่ไปอีกครั้งกลับโดน ตม.สอบสวน ตนคิดว่า เกิดมาตั้งอยู่ดับไป ตนปล่อยวางแล้ว ล่าสุด ตนกลับไปอังกฤษก็โดย ตม.สอบสวนกว่าสองชั่วโมง เพราะตอนนั้นทนายความของตนให้ตนดัดแปลงขอลี้ภัยการเมือง เพราะทหารจะจับตนในฐานะผู้ร้ายข้ามแดน ตอนแรกตนบอกว่าไม่เอา ตนไม่สน ไม่กลัวเสียหาย ไม่ได้ทำผิด จะกลัวอะไร แต่ทนายความไม่ยอมจนตนต้องไปยื่นเอกสารขอลี้ภัย แต่ตอนหลังก็ไปถอนเรื่อง แต่เรื่องนี้มันค้างไว้ในคอมพิวเตอร์ เมื่อตนกลับไปก็สอบสวนตนว่าจะลี้ภัยการเมือง ตอนที่ตนไปญี่ปุ่นก็โดนเรื่องนี้อีกโดยฝีมือของสถานทูตไทยในญี่ปุ่น สิ่งเหล่านี้ตนเจอมาก็ถือว่าเรียนรู้เยอะมาก และตนยังรู้ว่าในแต่ละประเทศ การเมืองและการทำมาหากินนั้นทำอย่างไร แม้ตอนที่ตนไม่ได้เป็นนายกฯผู้นำหลายประเทสก็ต่อสายคุยกับตน
“ผมพูดแบบนี้ก็ไม่คิดกลับไปเล่นการเมืองแล้ว ผมทำหน้าที่นี้ในฐานะคนไทยคนหนึ่งที่อย่างน้อยทำหน้าที่นายกฯมาหลายปี ตอนนั้นผมเหมือนลูกคนจนไปเรียนต่างประเทศ ไปแล้วกลับไม่ได้ ไปเรียนหลักสูตรปริญญาโท 17 เดือน ปิดเทอมไม่ได้กลับบ้าน หากได้เรียนปริญญาเอกนานกว่านั้นไม่ไหว ขอบคุณคนไทยที่ให้ผมได้กลับบ้าน” อดีตนายกฯกล่าว
พ.ต.ท.ทักษิณ กล่าวว่า ตอนนี้ตนสบายแล้วเพราะไม่มีงานทำ พรรคพวกก็ชวนไปตั้งมูลนิธิบ้านเลขที่ 111 จะนั่งทำอะไรที่เป็นประโยชน์ต่อส่วนรวม ขอให้เชื่ออย่างเถอะว่าคนที่เข้ามาการเมือง ไม่ว่าดีหรือเลว อย่างน้อยในใจ 50 เปอร์เซ็นต์รักประชาชน และประเทศ อยากทำงานให้ส่วนรวม วันนี้ตนไม่มีเวลาเตรียมตัวก็พูดใจจากใจที่ห่วงใย ตอนนี้ตนเป็นหวัด หายช้า อาจเพราะแก่ เพราะเชื้อโรคก็เหมือนเศรษฐกิจที่สับสน ซับซ้อน ยุ่งยากและเดินทางผสมหลายพันธุ์จนไม่รู้ว่ามันคืออะไร เพราะโลกเชื่อมโยงขึ้น หากคิดวิเคราะห์ไม่เป็น จะไปไม่รอด ขอแนะนำว่าท่านทั้งหลายไปซื้อหนังสือที่เกี่ยวกับวิธีคิดมาอ่าน
พ.ต.ท.ทักษิณ กล่าวว่า วันนี้เงินมีเยอะมากในโลก แต่เราต้องรู้ช่อง ทางในการดึงเงินมา วันนี้นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี รองนายกฯ และ รมว.คลัง ไปโรดโชว์ในต่างประเทศ ทั้งนี้ เงินสดในโลกนี้เหลือเยอะมาก คนมีเงินสดเยอะก็กำลังหาที่ลง ซึ่งเงินพวกกนี้ที่มาลงบ้านเราก็เป็นพวกอสังหาริมทรัพย์ ก็ขอให้ทำตรงนี้ให้ดี เพราะต่างชาติอยากมาซื้อมาก การดึงเงินเข้าประเทศไทยนั้นไม่ยากเลย ขอเพียงว่าอย่าส่งสัญญาณความขัดแย้งกันเองในประเทศต่อไป ถ้าใครรักบ้านเมือง รักชาติ ก็อย่าทำ อย่าทะเลาะกัน ไม่มีประโยชน์หรอก ไม่กี่ปีก็ตายจากกันแล้ว เราควรส่งสัญญาณเชิงบวกออกไปให้ประเทศดูสงบ เงินจะเข้าประเทศเยอะมาก เพราะเงินเหลือจากรัฐและเอกชนต่างประเทศที่พร้อมลงทุน ถ้าจำได้สมัยตนเป็นนายกฯ บอกเชิญชวนมาลงทุนโดยไทยไม่ต้องออกเงินสักบาทเดียวแต่จะใช้คืนเป็นสินค้าเกษตร ซึ่งมีนักธุรกิจสนใจมาลงทุนกว่า 2 พันราย ตอนนั้นเงินสดในโลกไม่เยอะเท่าวันนี้ อย่างไรก็ดี ช่วงนี้ถึงเวลาแล้วที่เราควรลงทุนเมกะโปรเจกต์ เพราะว่าวันนี้เงินบาทแข็งค่า ซึ่งหากไม่ลงทุนช่วงนี้จะเสียโอกาส อยากให้รัฐบาลให้ความสำคัญเรื่องนี้ด้วย
“ที่ว่าผมรวยนั้น ผมมีแค่ 1 พันล้านปอนด์ แถมโดนอายัดด้วย หากไปเทียบกับคนอื่นๆ ที่อังกฤษนั้น ผมมีแค่นี้เอง (ทำมือยกนิ้วก้อย) เพราะคนเยอะ ผมชวน นายลักษมี มิตตาล มาวันนี้ก็รวยอันดับ 4 ของโลก และอันดับ 1 ในอังกฤษมาวันนี้ก็เพื่อให้แนวคิดกับนักธุรกิจไทยในการลงทุนในตลาดโลก” พ.ต.ท.ทักษิณ กล่าว และว่า การไปดูไบนั้น ตนก็รู้และอยากบอกข่าวร้ายว่าน้ำมันจะถึง 120 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล เพราะดอลลาร์อ่อนตัว คนที่ขายน้ำมันก็คิดว่าค่าเงินลดลง ฉะนั้น ปรับราคาน้ำมันขึ้นแน่นอน
พ.ต.ท.ทักษิณ กล่าวว่า ขอบคุณ คมช.ไม่อย่างนั้นตนไม่มีโอกาสเดินทาง และรู้อะไรแบบนี้ หากตนได้เงินคืนมาจะตั้งกองทุนลงทุนในเอเชีย แต่เน้นหนักที่ไทย เพื่อให้เงินเข้าไทยเยอะๆไม่อย่างนั้นจะไม่มีโอกาส เพราะมันเหมือนฝนที่ตกใหม่ๆ ไม่ทั่วฟ้า หากตกนานๆ จะทั่วฟ้า เราต้องพยายามให้ฝนตกนานๆ เพราะคนไทยมีศักยภาพแต่ต้องรวมมพลังมากกว่านี้ ต้องเลิกขัดแย้งและทะเลาะกัน อย่าทิฐิใส่กัน เพราะเราเป็นลูกพระพุทธเจ้า ต้องมองโลกแง่บวก ช่วยเหลือและให้กำลังใจกัน ทำในสิ่งดีๆ บ้านเมืองจะไปได้
พ.ต.ท.ทักษิณ กล่าวว่า ตนลงทุนในแมนฯซิตี เพราะกีฬาสอนให้เล่นตามกฎ รู้แพ้ รู้ชนะ รู้อภัย ในการแข่งขันนั้น กีฬาทำให้คนมีวินัย เล่นตามกฎ อังกฤษนั้นเคารพกติกา กรรมการ เป่านกหวีดหากใครเถียงกรรมการจะโดนไล่ออก แต่ของเรานั้นกรรมการต้องเป็นพวกเรา หากแพ้ก็โทษกรรมการ และไม่ยอมรับว่าแพ้ หากเรารักษากติกาได้ ตนคิดว่าประเ ทศจะเจริญกว่านี้เยอะ เพราะคนไทยนั้นมีความสามารถเฉพาะตัวดี แข่งกีฬาเดี่ยวไปได้
แต่ขอให้กำลังใจนักธุรกิจแม้โลกข้างนอกน่ากลัว แต่ก็ขอให้กำลังใจ
พ.ต.ท.ทักษิณ ให้สัมภาษณ์เพิ่มเติมถึงการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ ว่า ยอมรับว่าในเรื่องเศรษฐกิจมีปัจจัยภายนอกมาก เช่น เรื่องราคาน้ำมัน วิกฤตซับไพรม์จากสหรัฐอเมริกา และปัจจัยภายในก็พอมี รวมไปถึงการเจริญเติบโตของโลกลดลง และยังมีความเป็นห่วงเรื่องการส่งออก อาจจะมีการต่อสู้กันหนักหน่อย ที่สำคัญ ประเทศเราต้องรีบฟื้นฟูการท่องเที่ยวโดยด่วน เนื่องจากช่วงการปฏิวัติทำให้การท่องเที่ยวตกลงไป เพราะขณะนี้คนมีเงินในโลกอย่างท่องเที่ยวยังมีอยู่เป็นจำนวนมาก เราจึงต้องดึงเข้ามาเพราะข้อดีคือเงินในโลกยังเหลือเยอะ
“ถ้าเรามีนโยบายที่ดีก็จะสามารถดึงการลงทุนเข้ามาได้ ก็อยากจะฝากผู้ที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งช่วงนี้ ประเทศเราไปกลัวเรื่องเงินเฟ้อมากเกินไป ซึ่งตนคิดว่าไม่น่ากลัวสำหรับประเทศไทย เพราะเงินเฟ้อเกิดจากปัจจัยเรื่องราคาน้ำมันที่มีต้นทุนที่สูง ถ้าหากเราจะเร่งการใช้จ่ายภาคครัวเรือนโดยการให้เงินลงสู่ระบบให้มากก็น่าจะเป็นประโยชน์ โดยเฉพาะเรื่องการอัพเกรดขีดความสามารถเครื่องจักรต่างๆ และเรามีเงินสำรองเยอะรวมทั้งค่าเงินที่แข็งค่าขึ้นด้วย” พ.ต.ท.ทักษิณ กล่าว
เมื่อถามว่า สถานการณ์บ้านเมืองไม่ค่อยสงบทำให้นักลงทุนไม่กล้าเข้ามาลงทุนหรือไม่ พ.ต.ท.ทักษิณ กล่าวว่า ทุกฝ่ายต้องหันหน้าเข้าหากันและมองกันในปัจจัยบวกมากกว่าปัจจัยลบเพื่อจะได้มองโลกอย่างสร้างสรรค์ เพราะประเทศไทยเป็นประเทศที่มีศักยภาพแต่เราต้องไม่ทำลายศักยภาพของเราเอง ด้วยการส่งสัญญาณความขัดแย้งทะเลาะกัน
พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ถึงการแก้ไขรัฐธรรมนูญที่มีหลายฝ่ายพยามดึงอดีตนายกฯเข้ามาเป็นเงื่อนไขว่า คิดว่าการแก้รัฐธรรมนูญเป็นหน้าที่ของทุกฝ่ายที่รักประชาธิปไตย ที่จะต้องทำรัฐธรรมนูญเป็นรัฐธรรมนูญที่เป็นประชาธิปไตยอย่างถูกต้อง ฉะนั้น การแก้ไขใดๆ ต้องคำนึงถึงสิทธิเสรีภาพของประชาชน คำนึงถึงตัวแทนของประชาชน ที่จะทำหน้าที่ของตัวเองได้อย่างโปร่งใสและเพื่อประโยชน์ของประเทศโดยรวม ส่วนเรื่องอื่นๆไม่ต้องไปห่วงให้มันเป็นไปตามกลไกของมัน
เมื่อถามว่า วิตกหรือไม่ว่าเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญจะนำไปสู่ความขัดแย้ง พ.ต.ท.ทักษิณ กล่าวว่า อย่าไปหาเรื่องกันต้องพยายามช่วยกัน อะไรที่ไม่ดีไม่ควรแก้ก็อย่าไปแก้ อะไรที่ควรแก้ก็แก้ ต้องบอกกัน ต้องเตือนกัน มองโลกอย่างสร้างสรรค์จะได้เป็นประโยชน์อย่ามองโลกในแง่ร้าย
“ถ้าคนไทยไม่ทะเลาะกันเองให้กำลังใจส่งเสริมซึ่งกันและกัน ตนว่าประเทศเราเป็นประเทศที่คนอยากจะมาเยอะ จากการที่ได้คุยกับนักลงทุน นักลงทุนนักธุรกิจ ผู้นำประเทศเขาอยากมาประเทศไทย เพราะประเทศไทยมีคนไทยที่น่ารักคนอยากมาเที่ยว แต่ปัญหาคือเราอย่าไปส่งสัญญาณในทางความขัดแย้ง บางทีเรื่องหมอดูเราก็ทำเป็นเรื่องใหญ่ไป ซึ่งความจริงมันไม่ควรเป็นเรื่องใหญ่ จะทำให้สัญญาณเป็นบวกมากขึ้น” พ.ต.ท.ทักษิณ กล่าว
เมื่อถามว่ามีคนพยายามดึง พ.ต.ท.ทักษิณ เข้าไปเกี่ยวข้องว่าอยู่เบื้องหลังรัฐบาล และความขัดแย้งต่างๆ พ.ต.ท.ทักษิณ กล่าวว่า “อย่าไปมองเห็นตัวผมมากนัก ตัวผมไม่มีอะไร เกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไป อีกไม่กี่วันกี่ปีก็ตายจากกันไป ผมไม่ได้เป็นปัญหาอะไร อยู่ก็พยายามทำประโยชน์ให้ประเทศ ไม่ได้ไปยุ่งกับการเมือง” เมื่อถามว่า เห็นมีรัฐมนตรีหลายคนเดินตามหลังตลอด พ.ต.ท.ทักษิณ กล่าวว่า เขาคิดถึงตนเพราะไม่ได้เจอกันนานเดี๋ยวก็คงหายคิดถึง