วงเสวนาวิชาการที่สวนลุมฯ ชี้การแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อผลประโยชน์ส่วนตัวของบางคนทำให้บ้านเมืองวุ่นวายแน่ “ประสงค์” ย้ำทำเพื่อ “แม้ว” กับพวกให้พ้นผิดหนีคุก ระบุบ้านเมืองหนีจากยุคอสูรเมื่อปี 44-49 มาเป็นยุคทายาทอสูรครองเมือง
คลิกที่นี่ เพื่อฟัง น.ต.ประสงค์ สุ่นศิริ กล่าวเริ่มการเสวนา
คลิกที่นี่ เพื่อฟัง การเสวนา "แก้รัฐธรรมนูญ ใครได้ใครเสีย" ช่วงที่ 1
คลิกที่นี่ เพื่อฟัง การเสวนา "แก้รัฐธรรมนูญ ใครได้ใครเสีย" ช่วงที่ 2
วันนี้ (5 เมษายน) ที่สวนลุมพินี มีการเสวนาทางวิชาการโดยสมัชชาประชาชนแห่งประเทศไทย (ส.ป.ท.) ในช่วงแรกเป็นการกล่าวนำโดย น.ต.ประสงค์ สุ่นศิริ ในฐานะที่ปรึกษาสมัชชาประชาชนฯ กล่าวแสดงความรู้สึก โดยยกกลอนมาเปรียบว่าเวลานี้บ้านเมืองมืดมิดเพราะคนชั่วครองเมืองทำให้เกิดความวุ่นวายไปทั่ว
น.ต.ประสงค์ กล่าวว่า ตั้งแต่ปี 2544 ถึงปัจจุบันบ้านเมืองมีปัญหาจากคนๆเดียว ทำให้กระทบไปทุกภาคส่วนและเห็นว่านโยบายประชานิยมเป็นนโยบายที่ต้มรากหญ้าจนเปื่อย
“ตั้งแต่ปี 25444-2549 ถือว่าเป็นยุคอสูรครองเมือง แต่ปี 2551 บ้านเมืองถูกครอบครองโดยทายาทอสูร” น.ต.ประสงค์ ระบุ และเปรียบเทียบว่ามนุษย์แตกต่างจากสัตว์เดรัจฉานตรงที่มีธรรมค้ำจุนจิตใจ และตั้งข้อสังเกตว่าหลังการเลือกตั้งได้เกิดอาเพศในบ้านเมืองมากมายและมีแนวโน้มว่าเหตุการณ์ในปัจจุบันคล้ายกับเมื่อ 4-5 ปีก่อน
น.ต.ประสงค์ กล่าวว่า ตั้งแต่รัฐบาลชุดนี้เข้ามาบริหารประเทศไม่ถึง 2 เดือน รัฐบาลยังไม่เคยนำปัญหาของชาวบ้านที่กำลังเดือดร้อนมาพูดมาแก้ไข ทั้งการประชุมรัฐบาล กับการประชุมสภาฯ ที่ผ่านมา มีแต่เดรัจฉานคาถา เดรัจฉานวิชาให้ชาวบ้านเห็นอยู่ตลอดเวลา ขณะนี้เกษตรกรเป็นยังไง น้ำมีหรือไม่ ซึ่งเค้าเป็นคนส่วนใหญ่ ไม่ได้คิดอย่างนี้เลย ไม่ได้ลงไปดูอย่างจริงจัง ของแพง ค่าแรงถูก ลูกไม่มีที่เรียนมันยังเป็นเดรัชฉานวิชาอยู่ วนเวียนอยู่แต่จะแก้รัฐธรรมนูญอย่างเดียวเท่านั้น
รัฐบาลชุดนี้อยากจะแก้ไขมาตรา 327 และ 309 ถามว่าจะแก้เพื่อใคร แก้ให้หัวหน้ารัฐบาลกับพรรคพลังประชาชนที่กำลังจะถูกยุบพรรค แก้มาตรา 309 แก้เพื่อ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และครอบครัวที่กำลังขึ้นสู่ศาลคดีหลายคดี ที่ถึงขั้นติดคุกติดตาราง แก้เพื่อที่จะให้เอาผิดกับคนทำงาน อย่าง คตส. และ ป.ป.ช. เพราะฉะนั้น 2 มาตรานี้คือหัวใจของรัฐบาล ส่วนมาตราอื่นมันแก้เกี้ยว เดี๋ยวจะแก้ทั้งฉบับ เดี๋ยวจะแก้ 5 มาตรา
น.ต.ประสงค์ กล่าวว่า สิ่งที่ผ่านมารัฐบาลไม่เคยดูว่าประชาชนเดือดร้อนอะไร บ้านเมืองต้องการอะไร ที่ทำกันอยู่ขณะนี้เรื่องของตัวเองทั้งนั้น และตัวเองก็ทำผิดกติกา ทำผิดกฎหมายทำผิดรัฐธรรมนูญ แต่โทษรัฐธรรมนูญไม่ดี คำโบราณบอกว่า รำไม่ดีโทษปี่โทษกลอง แต่สำหรับคำไม่โบราณ คำปัจจุบัน คือ “ขี้ลาด พลาดร่อง แล้วโทษร่องว่าไม่ตรงที่ขี้” เปรอะไปหมดเลย แม้กระทั่งสภาฯ เอง เตะถีบกันให้เห็นแล้วก็บอกว่าไม่ได้ทำ สภาอย่างนี้หรือเป็นสภาผู้ทรงเกียรติ ต่อไปนี้คนไหนทำตัวอย่างนี้ต้องเรียน “ไอ้สมาชิกผู้ทรงเกี๊ยะ” คำว่าเกี๊ยะไม่ใช่ของหยาบช้า แต่การแต่งตัวในสภาฯ เขาใส่รองเท้า คำพูดคำจาต้องพูดแบบคนที่มีเกียรติ ไม่ใช่คนถ่อย แล้วก็แก้ตัวว่าถ่อยนั้นไม่ใช่คำหยาบคาย หรือขณะนี้พูดว่าเป็นเรื่องส่วนตัวไม่ใช่เรื่องพรรค
“มีเพื่อนบ้านมาเล่าให้ผมฟัง ว่าทำไมหมู่นี้แมวที่เลี้ยงไว้มันกร่างกับเจ้าของไม่เห็นเหมือนเมื่อก่อนเลย มันไม่ฟังเสียงเจ้าของเลย เพราะมันบอกว่ามันเป็นเพื่อนกับนายกฯ ท่านเลี้ยงแมวที่บ้าน กลับไปที่บ้านวันนี้ลองไปถามดูนะว่าจะเป็นแมวอย่างที่ผมเล่ามาหรือเปล่า ฟังเสียงเจ้าของไหม เดี๋ยวนี้ไม่ฟังอะไรเลยเรื่องแก้รัฐธรรมนูญ บอกไม่ต้องฟังหรอประชามติเพราะเราได้เสียงข้างมากมา แสดงว่าประชาชนเค้าเลือกเรามาให้ทำ เถียงไปข้างๆ คูๆ ผมขอสรุปว่าบ้านเมืองกำลังมีปัญหาจากรัฐบาลที่ไม่ได้มาทำงานให้ประชาชนหรือบ้านเมือง แต่กำลังเข้ามาเพื่อแก้ตัว แก้ความผิดต่างๆ ที่พวกตัวทำไว้ บ้านเมืองมีความเสี่ยงมากเพราะไม่รู้จะเกิดอะไรขึ้นมา ย้ายคนโน้นย้ายคนนี้” น.ต.ประสงค์ กล่าว
น.ต.ประสงค์ กล่าวอีกว่า ตนอยากจะบอกความรู้สึกในใจว่า ขณะนี้เรายากจน เศรษฐกิจไม่ดี แต่เราอยู่กันได้หรือไม่ ถ้าเราใช้แนวทางตราพระราชดำรัสเรื่องเศรษฐกิจพอเพียง แต่ปัญหาการเมืองที่เป็นวิกฤตเลวร้ายลงทุกวัน และการเมืองเป็นรากเหง้าที่จะจัดสรร ผลประโยชน์ ความช่วยเหลือลงไปให้พี่น้องประชาชน ถ้าการเมืองยังเป็นอย่างนี้ ตนว่าวิกฤตยิ่งกว่าเศรษฐกิจในตอนนี้ เพราะเศรษฐกิจไม่ดีเราอยู่ได้ถ้าเรารู้จักพอเพียงได้ รัฐบาลชุดนี้ไม่ได้ดำเนินตาม เศรษฐกิจพอเพียงของในหลวงเลย ทั้งที่รัฐธรรมนูญเขียนไว้ ว่าให้ดำเนินนโยบายเศรษฐกิจตามนโยบายเศรษฐกิจพอเพียง นี่ไม่ใช่เลย เปิดบ่อน กู้เงิน ทำรถไฟสายนั้นสายนี้ ลงทุนเป็นหมื่นๆ แสนๆ ล้าน แต่ทีเรื่องการทุจริตสนามบินหลายหมื่นล้านยังไม่เห็นมีใครไปดูเลย ดังนั้นขอสรุปว่า บ้านเมืองมีปัญหาเราอยู่กับความเสี่ยง ตราบใดที่รัฐบาลยังทำอยู่อย่างนี้เราคงทนต่อไปไม่ได้
จากนั้นมีการเสวนาการแก้ไขรัฐธรรมนูญในหัวข้อ “แก้รัฐธรรมนูญ ใครได้ใครเสีย” โดยมี นายเจิมศักดิ์ ปิ่นทอง เป็นผู้ดำเนินรายการ นายปราโมทย์ นาครทรรพ นักวิชาการอาวุโส นายสมคิด เลิศไพฑูรย์ คณบดีคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และอดีตเลขาธิการคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ และนายคมสัน โพธิ์คง อดีตกรรมาธิการยกร่างฯ ร่วมเสวนา
นายเจิมศักดิ์ กล่าวนำว่า เราเปรียบเหมือนคนเฝ้าประเทศไม่ให้กลุ่มไหนมาครอบครอง และปัจจุบันเฝ้ามองคนที่มาปกครองว่ามันขี้เหร่ และเริ่มเป็นขี้เรื้อน
น.ต.ประสงค์ กล่วตอบคำถามที่รัฐบาลมักอ้างว่ารัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันมีที่มาจากเผด็จการจึงต้องแก้ไขว่า รัฐธรรมนูญทุกฉบับที่มีมาในบ้านเราล้วนมาจากเผด็จการทั้งสิ้น ดังนั้นต้องพิจารณาที่เนื้อหา และรัฐธรรมนูญปี 2550 ก็ปรับปรุงมาจากทุกฉบับ แม้รัฐธรรมนูญปี 40 ที่พวกนี้ชอบเพราะมีเชื้อโรคมีการซื้อเสียง ดังนั้นต้องใช้ยาแรง คือถ้าซื้อเสียงก็ต้องลงโทษหนัก
นายสมคิด กล่าวว่า ความประสงค์ของการแก้ไขครั้งนี้ที่มีการอ้างตั้งแต่ต้นคือต้องการแก้ไขมาตรา 237 และมาตรา 309 น่าจะแก้ไขเพื่อตัวเอง เพื่อให้ตัวเองพ้นผิด ถือว่าเป็นปัญหา ต่อไปจะแก้ไข กม.ทุกฉบับ ระบบกฎหมายจะพังหมด ถ้ายอมให้คนทำผิดแล้วแก้กฎหมาย
นายสมคิด ยกตัวอย่างโทษประหารชีวิตบางประเทศก็ไม่เห็นด้วย แต่ก็ขึ้นกับสถานการณ์นั้นๆ พร้อมยกตัวอย่างการยุบพรรคต่างประเทศหลายประเทศมีการยุบพรรคยาก แต่ประเทศนั้นไม่มีการซื้อเสียงมากมายเหมือนประเทศไทย เป็นยาแรง แต่ก็ไม่ได้แรงจนเกินไป เพราะ ส.ส.สามารถย้ายพรรคใหม่ได้ ไม่ได้ห้ามเล่นการเมือง
นายคมสัน กล่าวว่า ได้ยกตัวอย่างคำวินิจของตุลการรัฐธรามนูญที่ระบุในระหว่างการยุบพรรคไทยรักไทยที่ระบุเรื่องการแก้กฎหมายเพื่อประโยชน์ตัวเองทำให้คนไม่พอใจออกมาเดินขบวนประท้วงในเรื่องของการขายธุรกิจโทรคมนาคมและการแก้กฎหมายรองรับการขายหุ้น
นายคมสัน ย้ำว่า การแก้ไขรัฐธรรมนูญครั้งนี้ของ ส.ส.ถือว่ากระทำขัดรัฐธรรมนูญมาตรา 122 ที่ระบุในเรื่องของผลประโยชน์ทับซ้อน เป็นการกระทำเพื่อผลประโยชน์ส่วนตัว ทำไม่ได้ เพราะไม่เช่นนั้นต่อไปนักโทษอาจจะแก้กฎหมายให้พ้นผิดได้
นายปราโมทย์ กล่าวว่า การแก้ไขรัฐธรรมนูญนั้นทำได้ แต่ตั้งตอบเงื่อนไข 4 ข้อให้ได้ก่อน คือ 1.แก้เมื่อไหร่ 2.แก้โดยใคร 3.แก้เพื่ออะไร และ 4.แก้อย่างไร
นายปราโมทย์ กล่าวว่า กระบวนการทำลายรัฐธรรมนูญ ทำลาย กม.มีมาตั้งแต่ปี 2544 ตั้งแต่มีคดีซุกหุ้น มีการฆ่าตัดตอน ทำสัญญากับต่างประเทศโดยไม่ผ่านสภา และว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญต้องแก้หลังจากที่รัฐบาลออกไปแล้ว หรือรัฐบาลถูกไล่ ตายไปแล้ว หรืออยู่ครบวาระ ถึงจะแก้ไขในตอนนั้น และการแก้ไขต้องทำโดยคนที่ไม่ใช่คนที่ทำลายประชาธิปไตย เราจะไว้ใจคนแบบนี้ไม่ได้
นายสมคิด กล่าวถึง นายสมัครที่ระบุว่าจะเป็นผู้นำในการแก้ไขว่า ต้องถามว่านายสมัครเป็นผู้นำจริงหรือเปล่า และที่ผ่านมาเคยพูดว่าไม่อยากแก้ไขมาตรา 309 ส่วนเลิกเล่นการเมืองนั้นก็ยังถือว่ามีผลประโยชน์ และย้ำว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญสามารถแก้ไขได้ถ้าแก้ให้ดีขึ้น แต่ถ้าแก้เพื่อผลประโยชน์ส่วนตัวถือว่าน่าอับอาย และคนที่ทำผิดก็ต้องรับโทษไม่เช่นนั้นก็วุ่นวาย
/0110