xs
xsm
sm
md
lg

ส.ส.ร.ขวาง “พลังแม้ว” แก้ รธน.ลั่นต้องไม่แก้ตามอำเภอใจโจร

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


“ส.ส.ร.” ผนึกกำลังขวาง “พลังแม้ว” แก้ รธน.ยันไม่ใช่จงอางหวงไข่ แต่ต้องไม่ใช่แก้ตามอำเภอใจ “โจร” ที่ทำเพื่อผลประโยชน์ของตัวเองอย่างชัดเจน โดยไม่คำนึงถึงเจตนารมณ์ที่แท้จริงของ รธน.“ประสงค์” ย้ำต้องการแก้ความผิดของตัวเอง โดยไม่เคารพกระบวนการยุติธรรม แนะ ส.ส.ร.ให้ข้อมูลภาค ปชช.อย่างเต็มที่

วันนี้ (25 มี.ค.) เมื่อเวลา 13.00 น.อดีตสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ ปี 2550 และกรรมาธิการ(กมธ.) ยกร่างรัฐธรรมนูญ ในนามชมรม ส.ส.ร.50 ประมาณ 20 คน อาทิ น.ต.ประสงค์ สุ่นศิริ นายเสรี สุวรรณภานนท์ นายเจิมศักดิ์ ปิ่นทอง นายคมสัน โพธิ์คง นายสุรชัย เลี้ยงบุญเลิศชัย นายปกรณ์ ปรียากร นายมานิจ สุขสมจิตร ได้นัดประชุมเป็นกรณีพิเศษ เพื่อหารือถึงกรณีที่พรรคพลังประชาชน จะดำเนินการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ม.237 ว่าด้วยการยุบพรรคการเมือง โดยส่วนใหญ่ไม่เห็นด้วย เนื่องจากเป็นการแก้กฎหมายเพื่อผลประโยชน์ของตัวเอง ไม่คำนึงถึงเจตนารมณ์ที่แท้จริงของรัฐธรรมนูญที่ต้องการสร้างความโปร่งใส บริสุทธิ์ ยุติธรรม ให้กับการเลือกตั้ง

นายมานิจ กล่าวว่า ขณะนี้ที่พูดกัน คือ ส.ส.ร.เป็นพวก “จงอางหวงไข่” ไม่ยอมให้ใครมาแก้รัฐธรรมนูญ ต้องบอกว่า รัฐธรรมนูญแก้ได้ เราจึงมีบทบัญญัติว่าด้วยการแก้ไขเอาไว้ แต่การแก้ต้องไม่ใช่การแก้ตามใจ ถ้าจะแก้ตามใจชอบของโจร กฎหมายอาญาทั้งหลายทั้งปวง เรื่องการปล้นฆ่า ชิงทรัพย์ ต้องยกเลิกให้หมด เพราะโจรไม่ชอบแน่นอน รัฐธรรมนูญต้องไม่แก้ตามความพอใจของคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง

นายเสรี ยืนยันว่า ในระหว่างการร่าง ม.237 ขึ้นมานั้น ได้ขอความเห็นจากพรรคการเมืองทุกพรรค ปรากฏว่า ไม่มีพรรคการเมืองใดคัดค้าน หรือโต้แย้งแต่อย่างใด และการลงประชามติจากประชาชนมาแล้ว แต่เมื่อรัฐธรรมนูญมาตรานี้เริ่มทำการตรวจสอบนักการเมืองที่ไม่บริสุทธิ์ต่อการเลือกตั้ง พรรคการเมืองเหล่านี้กลับมาขอแก้ไข เห็นชัดเจนว่า ปัญหาไม่ได้เกิดจากรัฐธรรมนูญ แต่เกิดจากคนใช้รัฐธรรมนูญ ดังนั้น การแก้รัฐธรรมนูญเป็นไปเพื่อผลประโยชน์ของตัวเองอย่างชัดเจน

ขณะที่ นายคมสัน ระบุว่า รัฐธรรมนูญมาตรานี้ ให้อำนาจศาลรัฐธรรมนูญในการวินิจฉัยว่าจะยุบหรือไม่ยุบพรรคการเมือง ดังนั้น การจะแก้ไขมาตรานี้เท่ากับว่าพรรคพลังประชาชน พยายามจะหลบหลีกตัวเองให้รอดพ้นจากกระบวนการยุติธรรม ถือว่าไม่มีความชอบธรรม ไร้มารยาททางการเมืองอย่างยิ่ง ยกตัวอย่าง นักโทษที่อยู่ในคุกเมื่อเขาถูกคำสั่งประหารชีวิต เขาก็ต้องปฏิบัติตาม แต่เหตุใดนักการเมืองเมื่อทำความผิดกลับไปแก้กฎหมายให้ตัวเองพ้นผิด ทำไมนักการเมืองถึงไม่รับผิดในสิ่งที่ตัวเองกระทำเหมือนที่ประชาชนทั่วไปยอมรับ

ส่วน นายสุรชัย เลี้ยงบุญเลิศชัย กล่าวว่า ขณะนี้ พรรคพลังประชาชน กำลังบิดเบือนเจตนารมณ์ ม.237 อย่างรุนแรง เช่น อ้างว่ามาตรานี้เป็นการลงโทษทำผิดคนเดียวแต่เหมาเข่งเล่นงานทั้งพรรค ทั้งที่องค์ประกอบความผิดในมาตรานี้มีถึง 3 เงื่อนไข คือ 1.ต้องสนับสนุนการกระทำความผิด 2.รู้เห็นเป็นใจกับการกระทำ และ 3.รู้แล้วแต่ปล่อยปละละเลย หากไม่เข้า 1 ใน 3 เงื่อนไขนี้ความผิดที่เกิดขึ้นก็ยังเป็นความผิดส่วนตัว นอกจากนี้ มีการอ้างว่า ม.237 มีความต้องการทำลายพรรคการเมือง ซึ่งเจตนารมณ์ที่แท้จริง คือ ต้องการพัฒนาพรรคการเมืองให้เป็นสถาบันทางการเมืองที่มีความมั่นคงจึงวางมาตรการไว้อย่างเข้มข้น

น.ต.ประสงค์ สุ่นศิริ กล่าวว่า ที่พรรคพลังประชาชน อ้างว่า รัฐธรรมนูญฉบับนี้มาจากท็อปบูต จึงต้องรีบแก้ไขเพื่อให้ต่างชาติเกิดความมั่นใจนั้น ขอเรียนว่า รัฐธรรมนูญทุกฉบับของเรา 50-60 ปี ที่ผ่านมา ล้วนมาจากท็อปบูตทั้งสิ้น และที่ผ่านมา ต่างชาตินั้นเมื่อต้องการแสวงหาผลประโยชน์จากประเทศไทย ก็ไม่เคยสนใจว่ารัฐบาลมาจากความชอบธรรมหรือไม่ คิดเพียงว่าเขาสามารถติดสินบนนักการเมืองของเรา และเข้าถึงผลประโยชน์ของเราได้เท่านั้น แต่เมื่อไหร่ที่เราต้องการแก้ปัญหาภายในกลับหาว่าไม่เป็นประชาธิปไตย วิจารณ์เราโดยไม่ศึกษาประวัติศาสตร์ทางการเมืองไทย บอกฝรั่งไปเลยว่าอย่าดูว่ารัฐธรรมนูญมาจากท็อปบูตหรือไม่ แต่ต้องดูว่ารัฐบาลมีธรรมาภิบาลหรือไม่มากกว่า

น.ต.ประสงค์ กล่าวว่า สำหรับ ม.237 นั้น มีการรับฟังความคิดเห็นจากพรรคการเมืองแล้ว แต่ไม่มีพรรคการเมืองใดเสนอให้แก้ไขมาตรา 237 เลย แต่นี่มาแก้เพราะกระทำผิด ถ้าไม่ได้ทำผิดแล้วกลัวอะไร ทำไมไม่เคารพกระบวนการยุติธรรม ต้องย้ำว่าเราเคยให้ท่านดูแล้ว แต่ท่านก็ไม่แก้เอง แต่มาตอนนี้ท่านกลับมาขอแก้ เมื่อไปทำผิดมา แสดงให้เห็นว่า ไม่ใช่การแก้เพื่อประเทศชาติบ้านเมืองเลย ดังนั้น เราควรสร้างความรู้สึกร่วมกันกับประชาชนเพื่อตอกย้ำข้อเท็จจริงของเจตนารมณ์มาตรา 237 โดยขอให้ ส.ส.ร.ช่วยให้ข้อมูลอย่างเต็มที่ โดยในวันที่ 5 เม.ย. นี้จะมีการจัดเสวนา เรื่อง “แก้รัฐธรรมนูญใครได้ใครเสีย” ในเวลา 14.00-15.00 น.โดยมีตัวแทนภาคประชาชนจากทั่วประเทศมาเสวนาร่วมกัน

“ส.ส.ร.50 ต้องรวมตัวกันอย่างต่อเนื่อง เพราะเรื่องแก้รัฐธรรมนูญคงไม่มีข้อยุติง่าย เพราะฝ่ายที่จะแก้เขาทุรนทุรายที่จะแก้ให้ได้ภายใน 1-2 เดือน ดังนั้น เราต้องทำให้ประชาชนเข้าใจมากขึ้น ทั้งนี้ส่วนตัวได้ประเมินสถานการณ์แล้วไม่อยากให้มีเรื่องวุ่นวาย แต่มันคงจะมีหากยังดื้อดึง ไม่มีการฟังเสียงประชาชน” น.ต.ประสงค์ กล่าว

จากนั้นชมรมฯได้ออกแถลงการณ์ มีเนื้อหาว่า หลังจากที่มีข้อเสนออย่างเข้มแข็งให้แก้รัฐธรรมนูญ ม.237 พร้อมทั้งมีการประณามรัฐธรรมนูญว่าร่างขึ้นด้วยเจตนาทำร้าย และล้มล้างกลุ่มการเมืองบางฝ่าย ทำให้เกิดความเสียหายแก่ประเทศชาติและประชาชน ส.ส.ร.จึงขอชี้แจงว่า 1.รัฐธรรมนูญฉบับนี้ได้ผ่านการลงประชามติ เท่ากับว่า ผ่านความเห็นชอบของประชาชนไทยอย่างถูกต้องชอบธรรม 2.การแก้ไขรัฐธรรมนูญนั้น สามารถทำได้ และในประวัติศาสตร์ก็เคยทำมาตลอดในระบอบการเมืองที่กำหนดขึ้นอย่างเป็นที่ยอมรับกัน เพราะฉะนั้นจึงมีความเป็นเหตุเป็นผลที่รวมและปรับปรุงแก้ไข เปลี่ยนแปลงรัฐธรรมนูญได้

3.การแก้ไขรัฐธรรมนูญต้องขึ้นอยู่กับว่าสามารถยอมรับเหตุผลของการแก้ไขนั้นแค่ไหน หาใช่แก้ไขเพื่อประโยชน์เฉพาะเหตุ เฉพาะกลุ่ม ของฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดหรือเพื่อขอหลีกเลี่ยงกระบวนการยุติธรรมหรือไม่ ในขณะที่สาธารณชนไทยจะหลีกเลี่ยงกระบวนการยุติธรรมไม่ได้

4.เจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ 50 นั้น ไม่มีเจตนาที่จะทำลาย หรือทำร้ายเฉพาะกลุ่ม หรือสถาบันการเมืองใด หากแต่มีเจตนารมณ์สำคัญที่จะช่วยการเมืองของประเทศไทยคืนสภาพพัฒนาระบอบประชาธิปไตยให้ดีขึ้น มีประสิทธิภาพ และสร้างความเข้มแข็งให้แก่การพัฒนาประเทศชาติและประชาชนต่อไป และมุ่งเน้นแก้ไขข้อบกพร่องของอดีต ที่มีการนำความผิดทางการเมืองอย่างโจ่งแจ้งและบิดพลิ้วเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญมาแล้ว
5.ส.ส.ร.50 ตระหนักในปฏิกิริยาและข้อโต้แย้งต่อรัฐธรรมนูญ จึงต้องชี้แจงเจตนารมณ์ที่แท้จริง การที่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งตีความ เพื่อประโยชน์ของฝ่ายใดๆ ก็ตาม แต่ฝ่ายเดียวจะเท่ากับเป็นความพยายามบิดพลิ้วเจตนารมณ์แท้จริงของรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2550 ดังที่เป็นข่าววิพากษ์วิจารณ์อยู่ในขณะนี้

นายเจิมศักดิ์ กล่าวว่า ส.ส.ร.ไม่เป็นห่วงเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญ แต่ไม่เห็นด้วยกับการแก้ไขเพื่อตัวเอง หลังจากนี้ส.ส.ร.จะมีการประชุมกันทุกวันอังคาร ที่รัฐสภา โดยจะระดมอดีตส.ส.ร. และอดีตกรรมาธิการทั่วประเทศมาประชุมร่วมกัน เพื่อเกาะติด ตรวจสอบแนวทางการแก้ไขรัฐธรรมนูญของรัฐบาลว่ามีความชอบธรรมและเป็นไปเพื่อผลประโยชน์ของชาติหรือผลประโยชน์ส่วนตัว

นายปกรณ์ ปรียากรณ์ กล่าวว่า ม.237 นั้นเป็นสร้างลู่ทางการเข้าสู่อำนาจรัฐด้วยความโปร่งใส บริสุทธิ์ ไม่ต้องการให้เกิดปัญหาเป็นวังวนเหมือนที่เคยพบมา หากจะแก้ไขต้องถามประชาชน 14 ล้านเสียง ที่เห็นชอบอย่าให้ประชาชนรู้ว่าเป็นการแก้รัฐธรรมนูญเพื่อหลีกหนีการกระทำความผิดของกลุ่มและพวกของตัวเอง ซึ่งไม่ทำให้รัฐบาลดูสง่างาม เพราะจะขนาดรัฐธรรมนูญซึ่งเป็นกฎหมายหลักของประเทศ ยังหลีกเลี่ยงแก้ไขได้ นับประสาอะไรกับกฎหมายเล็กน้อยกว่านั้นรัฐบาลจะไม่แก้เพื่อผลประโยชยน์ของตัวเอง หากรัฐบาลยังเร่งแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรานี้ความไว้เนื้อเชื่อใจจะลดทอนลงไปอย่างแน่นอน


กำลังโหลดความคิดเห็น