เลขา ปชป.พร้อมสื่อมวลชน สะใจศาลฎีกาสั่ง “โภคิน” แพ้คดีฟ้องหมิ่น หลังต่อสู้มายาวนานกว่า 10 ปี กรณีถูกแฉกลางสภา อยู่ร่วมวงประชุมลอยตัวค่าเงินบาทสมัย “บิ๊กจิ๋ว” ทั้งที่ไม่มีหน้าที่ ก่อนคาบข่าวฝาก “แม้ว” ถลุงค่าเงินยับเยิน
วันนี้ (1 เม.ย.) นายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ แถลงว่า ในวันนี้ (1 เม.ย.) ศาลฎีกาได้แถลงคำพิพากษาคดี ที่ นายโภคิน พลกุล เป็นโจทก์ยื่นฟ้องตนเป็นจำเลยที่ 1 และสื่อมวลชน อีก 16 ราย เป็นจำเลยที่ 2 ในข้อหาละเมิดเรียกค่าเสียหาย 2,562 ล้านบาท เนื่องจากในปี 2540 ตนในฐานะฝ่ายค้านในขณะนั้น ได้อภิปรายไม่ไว้วางใจ พล.อ. ชวลิต ยงใจยุทธ นายกรัฐมนตรี ในสมัยนั้น ถึงกรณีการประกาศลอยตัวค่าเงินบาท โดยตนเป็นหนึ่งที่ได้รับมอบหมายให้อภิปราย พล.อ.ชวลิต กระทำการในสิ่งที่ไม่ควร โดยในการประชุมตัดสินใจประกาศลอยตัวค่าเงินบาท ซึ่งปกติจะมีบุคคลที่เข้าประชุมเพียง 3 คน คือ นายกฯ รมว.คลัง และ ผู้ว่าการ ธปท.แต่ พล.อ.ชวลิต ได้ส่งบุคคล คือ นายโภคิน พลกุล ได้เข้าร่วมการประชุมในครั้งนั้นด้วย ซึ่งถือเป็นการไม่เหมาะสม เนื่องจาก นายโภคิน มีตำแหน่งเป็นรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ไม่มีหน้าที่รับผิดชอบค่าเงินบาท และได้นำความลับในที่ประชุมไปบอกกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และได้หาประโยชน์กับการลอยตัวค่าเงินบาท
นายสุเทพ กล่าวว่า พล.อ.ชวลิต ได้ออกมาปฎิเสธในที่ประชุมสภาว่านายโภคิน ไม่ได้อยู่ร่วมประชุม ส่งผลให้นายโภคิน ฟ้องคดีกับตน เรียกค่าเสียหาย 4,000 ล้านบาท แต่ภายหลังได้ลดจำนวนเหลือ 2,500 ล้านบาท และได้มีการต่อสู้คดีจนถึงวันนี้ เป็นเวลา 11 ปี จนในที่สุดศาลฏีกา โดยมติที่ประชุมใหญ่ได้อ่านคำพิพากษาว่าสิ่งที่ตนอภิปรายนั้น เป็นการทำหน้าที่ของ ส.ส.อย่างถูกต้อง และมีสิทธิที่จะทำได้ ถือว่าไม่เป็นความผิดเป็นการติชมโดยสุจริต ในการอภิปรายนายกฯ และรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง แต่ที่สำคัญพยานที่นายโภคินได้อ้างต่อศาล ได้แก่ นายทนง พิริยะ รมว.คลัง นายเริงชัย มะระกานนท์ ผู้ว่า ธปท. ได้ให้การว่า นายโภคิน ได้เข้าร่วมอยู่ในที่ประชุมจริง ทั้งที่เป็นพยานให้นายโภคิน แต่กลับให้การตรงกันข้ามกับนายโภคิน โดยนายเริงชัย ระบุว่าได้ ทักท้วงว่านายโภคินไม่ควรอยู่ร่วมประชุมด้วย แต่ พล.อ.ชวลิต กลับบอกว่า ให้อยู่ร่วมได้ไม่เป็นไร ฉะนั้นที่กล่าวหาว่าตนอภิปรายด้วยข้อความเป็นเท็จ ศาลจึงบอกว่าตนได้อภิปรายในสิ่งที่เป็นความจริง
เลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า นายโภคินฟ้องตนว่าใส่ร้าย และทำให้เขาเสียหาย แต่ที่ประชุมใหญ่ของศาลฏีกาได้พิพากษาว่า ตนเป็น ส.ส.ทำหน้าที่ตรวจสอบการทำงานของรัฐบาล ตามรัฐธรรมนูญ และ พล.อ.ชวลิต และนายโภคิน ถือเป็นบุคคลที่ต้องได้รับการตรวจสอบโดย ส.ส. ดังนั้น การอภิปรายของตนถือว่าได้ทำหน้าที่ถูกต้องแล้ว และนายโภคินไม่มีหน้าที่เกี่ยวข้องในการรับรู้การประชุมดังกล่าว ดังนั้น ศาลฏีกาจึงตัดสินตนไม่มีความผิด
“กรณีนี้ถือเป็นเรื่องที่สื่อ และ ส.ส. ควรจะได้รับทราบ และเป็นประโยชน์ เพราะการทำหน้าที่อย่างสุจริต และยึดถือประโยชน์ของสื่อ และ ส.ส.ย่อมได้รับความคุ้มครองทางกฎหมาย ตอนที่คุณโภคินฟ้องผม พร้อมเรียกค่าเสียหาย 4 พันล้านบาท สร้างความตกใจให้กับหลายคน เพราะนายโภคินเป็นดอกเตอร์ด้านกฎหมาย แต่ผมก็ได้ต่อสู้มาจนในที่สุดศาลก็พิสูจน์ได้ว่า ศาลยังมีความยุติธรรมให้กับเราได้ ดังนั้น สื่อและประชาชนที่ทำหน้าที่ให้ประโยชน์ส่วนร่วมไม่ต้องตกใจกฎหมายยังศักดิ์สิทธิ์เสมอ หากใครรู้สึกท้อแท้ในสถานการณ์ของบ้านเมืองให้มั่นใจได้ว่า ศาลสถิตยุติธรรมยังเป็นที่พึ่งของประชาชนได้"นายสุเทพกล่าว