“กล้านรงค์” เฉ่ง “วิเชียรโชติ” มั่ว ตะแบงมติ ป.ป.ช. 24/2545 อุ้ม ครม. “สมัคร 1” แจงกรณีที่โฆษกรัฐบาลอ้างใช้กับ ขรก.ประจำไม่ใช่ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง
นายกล้านรงค์ จันทิก ในฐานะโฆษกคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) แถลงชี้แจงข้อเท็จจริงเกี่ยวกับมติคณะกรรมการ ป.ป.ช.ครั้งที่ 24/2545 เมื่อวันที่ 21 มี.ค. 2545 ในการให้สัมภาษณ์ ของ พล.ต.ท.วิเชียรโชติ สุกโชติรัตน์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ว่า คณะกรรมการ ป.ป.ช.ได้เคยมีมติในการประชุมดังกล่าวว่าการกล่าวหาเจ้าหน้าที่ของรัฐ ตามพ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 จะต้องกล่าวหาในขณะที่ผู้ถูกกล่าวหาเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐหรือพ้นจากการ เป็นเจ้าหน้าที่รัฐหรือพ้นจากการเป็นเจ้าหน้าที่รัฐไม่เกิน 2 ปี และการเป็นเจ้าหน้าที่รัฐจะต้องไม่ขาดตอนและต่อเนื่องกัน หากขาดตอนแล้วจะถือเอาความเป็น เจ้าหน้าที่ของรัฐในครั้งหลังมาเป็นองค์ประกอบความผิดในขณะที่เป็นเจ้าหน้าที่รัฐในครั้งก่อนไม่ได้นั้น
นายกล้านรงค์ กล่าวว่า ขอชี้แจงว่า มติ ป.ป.ช. ในการประชุมครั้งที่ 24/2545 เมื่อวันที่ 21 มี.ค.2545 ดังกล่าว เป็นกรณีที่ค ป.ป.ช. ได้รับเรื่องกล่าวหาเจ้าหน้าที่รัฐซึ่งเป็นผู้บริหารรัฐวิสาหกิจแห่งหนึ่งจำนวน 2 คน กระทำความผิดเกี่ยวกับการดำเนินโครงการก่อสร้างทางด่วน โดยขณะที่มีการกล่าวหาต่อ ป.ป.ช.นั้น ปรากฎว่าผู้ถูกกล่าวหารายหนึ่งได้ดำรงตำแหน่ง ส.ส. ส่วนผู้ถูกกล่าวหาอีกรายหนึ่งได้รับแต่งตั้งให้เป็นผู้บริหารรัฐวิสาหกิจอีกแห่งหนึ่ง จึงมีปัญหาข้อกฎหมายว่า ผู้ถูกกล่าวหาทั้งสองรายซึ่งพ้นจากการเป็นเจ้าหน้าที่รัฐในสังกัดรัฐวิสาหกิจเดิมเกินกว่า 2 ปีแล้ว แต่ไปดำรงตำแหน่งเจ้าหน้าที่รัฐในตำแหน่งใหม่จะอยู่ในอำนาจของ ป.ป.ช.หรือไม่ ที่ประชุมจึงมีมติให้ส่งปัญหาข้อกฎหมายดังกล่าวให้คณะอนุกรรมการกฎหมายและระเบียบพิจารณา
ต่อมา ป.ป.ช.ในการประชุมครั้งที่ 30/2545 เมื่อวันที่ 11 เม.ย. 2545 ได้พิจารณาความเห็นในปัญหาข้อกฎหมายดังกล่าวตามที่อนุกรรมการกฎหมายและระเบียบเสนอแล้วมีมติว่า ในเรื่องนี้เป็นการกล่าวหาเจ้าหน้าที่ของรัฐ ในฐานะผู้บริหารรัฐวิสาหกิจ มิใช่เป็นการกล่าวหาว่ากระทำความผิดต่อตำแหน่ง ส.ส. จึงเป็นการกล่าวหา ตามมาตรา 84 แห่ง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 ซึ่งจะต้องกล่าวหาในขณะที่ผู้ถูกกล่าวหา เป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ หรือพ้นจากการเป็นเจ้าหน้าที่รัฐไม่เกิน 2 ปี และจะต้องเป็นกรรม และวาระเดียวกัน หากความเป็นเจ้าหน้าที่รัฐได้ขาดตอนไม่ต่อเนื่องกันแล้วจะถือเอาความเป็นเจ้าหน้าที่รัฐในครั้งหลังมาเป็นองค์ประกอบในการกล่าวหาการกระทำความผิดในขณะเป็นเจ้าหน้าที่รัฐในครั้งก่อนไม่ได้
“มติกรรมการ ป.ป.ช.ข้างต้นนี้ เป็นเรื่องของการกล่าวหาเจ้าหน้าที่ของรัฐตาม ม. 84 แห่ง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญฯ ซึ่งกฎหมายบัญญัติให้ต้องกล่าวหาต่อ ป.ป.ช. ในขณะที่ผู้ถูกกล่าวหาเป็นเจ้าหน้าที่รัฐหรือพ้นจากการเป็นเจ้าหน้าที่รัฐไม่เกิน 2 ปี แต่หากเป็นการกล่าวหาผู้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรี ส.ส. ,ส.ว. หรือข้าราชการการเมืองอื่น ตาม ม. 66 แห่ง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญฯ แล้ว ป.ป.ช.ย่อมมีอำนาจที่จะรับเรื่องกล่าวหาบุคคลดัง กล่าวไว้พิจารณาดำเนินการไต่สวน ข้อเท็จจริงได้ภายในกำหนดอายุความตามประมวลกฎหมายอาญา ทั้งนี้เนื่องจาก พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการพิจารณาคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่ง ทางการเมือง พ.ศ.2542 ม. 23 กำหนดให้ผู้มีอำนาจฟ้องคดีต่อศาลฏีกา แผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง คือ (1) อัยการสูงสุด (2) คณะกรรมการ ป.ป.ช.โดยมาตรา 10 บัญญัติให้อัยการสูงสุดยื่นฟ้องคดีต่อ ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองได้ก็ต่อเมื่อ ป.ป.ช.มีมติว่า เรื่องที่กล่าวหา นายกรัฐมนตรี รัฐมนตรี ส.ส. , ส.ว. หรือข้าราชการการเมืองอื่น มีมูลเป็นความผิด”
สำหรับ ในประเด็น ม. 55เรื่องการยุติการปฎิบัติหน้าที่นั้น ทาง ป.ป.ช. ไม่ได้มีการวินิจฉัยหรือนำเรื่องสู่ที่ประชุม ดังนั้น ป.ป.ช.จึงไม่มีการวินิจฉัย แต่เป็นในส่วนที่ คตส.ได้ฟ้องคดีต่อศาลฏีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่ง ทางการเมือง และ คตส.ได้มีหนังสือไปยังนายกรัฐมนตรีให้พิจารณา ม. 55 ซึ่ง คตส. ไม่ได้ชี้ว่า กรณีนั้นจะเข้า ม. 55 หรือไม่ เป็นเพียงแค่การบอกว่า มี ม.55 แล้วก็ส่งเรื่องให้นายกฯ ในฐานะหัวหน้ารัฐบาลพิจารณา
นายกล้านรงค์ กล่าวว่า คตส.ไม่มีอำนาจไปวินิจฉัย เป็นแต่เพียงว่า เมื่อไต่สวนแล้ว ดำเนินการแล้ว เห็นว่ากรณีนี้เข้าเข้าตาม ม.43 (2) คตส.ก็ชี้ ม. 55 เพื่อให้พิจารณาเท่านั้นเอง ซึ่งรายละเอียด โฆษก คตส.ก็จะเป็นผู้ชี้แจง ส่วนตนก็ชี้แจงในฐานะ ป.ป.ช.
นายวีระ สมความคิด เลขาธิการเครือข่ายประชาชนต้านคอร์รัปชั่น กล่าวว่า ในประเด็นที่มีการถกเถียงกันใน ม.55 เมื่อ คตส.ใช้อำนาจ ป.ป.ช. ในม.55 ว่ารัฐมนตรีควรจะเว้นวรรคการปฎิบัติหน้าที่นั้น เพื่อให้ได้ข้อยุติในเรื่องนี้ ฝ่ายบริหาร รัฐบาล ควรส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยเพื่อยุติปัญหาการถกเถียง และที่สำคัญ นายกรัฐมนตรีเองจะได้ไม่ถูกดำเนินคดีในฐานการเว้นการปฎิบัติหน้าที่ในการออกมา ปกป้อง 3 รัฐมนตรี อย่างไรก็ตามในอดีตเคยมีบรรทัดฐานในการใช้ ม. 55 กรณี 9 ป.ป.ช.ที่ขึ้นเงินเดือนตัวเอง ซึ่งหนึ่งในจำนวนนั้น มี พล.ต.ท.วิเชียรโชติ สุกโชติรัตน์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีขณะนี้อยู่ด้วย ต้องยุติการปฎิบัติหน้าที่ภายหลังที่ประธานวุฒิสภาส่งเรื่องให้ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง เพราะคดีนี้ ป.ป.ช.เป็นผู้กระทำความผิด ผู้ที่จะตรวจสอบคือสภา แต่หากเป็นองค์กรอื่น หรือนักการเมือง ป.ป.ช.จะเป็นผู้ตรวจสอบและส่งฟ้องศาลฏีกา
“แม้ว่า ม. 55 ไม่เคยมีการส่งตีความศาลรัฐธรรมนูญหรือมีคำพิพากษา ศาลฎีกาที่มีอันต้องสิ้นสุด แต่โดยหลักกฎหมายเขียนไว้ชัดเจนว่าจะต้องยุติการปฎิบัติหน้าที่ทันทีถ้าถูกกล่าวหาว่ากระทำความผิด เพราะกฎหมายไม่ได้เขียนไว้ว่าจะต้องอยู่ในตำแหน่งเดิมหรืออยู่ในตำแหน่งใหม่”
นายกล้านรงค์ จันทิก ในฐานะโฆษกคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) แถลงชี้แจงข้อเท็จจริงเกี่ยวกับมติคณะกรรมการ ป.ป.ช.ครั้งที่ 24/2545 เมื่อวันที่ 21 มี.ค. 2545 ในการให้สัมภาษณ์ ของ พล.ต.ท.วิเชียรโชติ สุกโชติรัตน์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ว่า คณะกรรมการ ป.ป.ช.ได้เคยมีมติในการประชุมดังกล่าวว่าการกล่าวหาเจ้าหน้าที่ของรัฐ ตามพ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 จะต้องกล่าวหาในขณะที่ผู้ถูกกล่าวหาเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐหรือพ้นจากการ เป็นเจ้าหน้าที่รัฐหรือพ้นจากการเป็นเจ้าหน้าที่รัฐไม่เกิน 2 ปี และการเป็นเจ้าหน้าที่รัฐจะต้องไม่ขาดตอนและต่อเนื่องกัน หากขาดตอนแล้วจะถือเอาความเป็น เจ้าหน้าที่ของรัฐในครั้งหลังมาเป็นองค์ประกอบความผิดในขณะที่เป็นเจ้าหน้าที่รัฐในครั้งก่อนไม่ได้นั้น
นายกล้านรงค์ กล่าวว่า ขอชี้แจงว่า มติ ป.ป.ช. ในการประชุมครั้งที่ 24/2545 เมื่อวันที่ 21 มี.ค.2545 ดังกล่าว เป็นกรณีที่ค ป.ป.ช. ได้รับเรื่องกล่าวหาเจ้าหน้าที่รัฐซึ่งเป็นผู้บริหารรัฐวิสาหกิจแห่งหนึ่งจำนวน 2 คน กระทำความผิดเกี่ยวกับการดำเนินโครงการก่อสร้างทางด่วน โดยขณะที่มีการกล่าวหาต่อ ป.ป.ช.นั้น ปรากฎว่าผู้ถูกกล่าวหารายหนึ่งได้ดำรงตำแหน่ง ส.ส. ส่วนผู้ถูกกล่าวหาอีกรายหนึ่งได้รับแต่งตั้งให้เป็นผู้บริหารรัฐวิสาหกิจอีกแห่งหนึ่ง จึงมีปัญหาข้อกฎหมายว่า ผู้ถูกกล่าวหาทั้งสองรายซึ่งพ้นจากการเป็นเจ้าหน้าที่รัฐในสังกัดรัฐวิสาหกิจเดิมเกินกว่า 2 ปีแล้ว แต่ไปดำรงตำแหน่งเจ้าหน้าที่รัฐในตำแหน่งใหม่จะอยู่ในอำนาจของ ป.ป.ช.หรือไม่ ที่ประชุมจึงมีมติให้ส่งปัญหาข้อกฎหมายดังกล่าวให้คณะอนุกรรมการกฎหมายและระเบียบพิจารณา
ต่อมา ป.ป.ช.ในการประชุมครั้งที่ 30/2545 เมื่อวันที่ 11 เม.ย. 2545 ได้พิจารณาความเห็นในปัญหาข้อกฎหมายดังกล่าวตามที่อนุกรรมการกฎหมายและระเบียบเสนอแล้วมีมติว่า ในเรื่องนี้เป็นการกล่าวหาเจ้าหน้าที่ของรัฐ ในฐานะผู้บริหารรัฐวิสาหกิจ มิใช่เป็นการกล่าวหาว่ากระทำความผิดต่อตำแหน่ง ส.ส. จึงเป็นการกล่าวหา ตามมาตรา 84 แห่ง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 ซึ่งจะต้องกล่าวหาในขณะที่ผู้ถูกกล่าวหา เป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ หรือพ้นจากการเป็นเจ้าหน้าที่รัฐไม่เกิน 2 ปี และจะต้องเป็นกรรม และวาระเดียวกัน หากความเป็นเจ้าหน้าที่รัฐได้ขาดตอนไม่ต่อเนื่องกันแล้วจะถือเอาความเป็นเจ้าหน้าที่รัฐในครั้งหลังมาเป็นองค์ประกอบในการกล่าวหาการกระทำความผิดในขณะเป็นเจ้าหน้าที่รัฐในครั้งก่อนไม่ได้
“มติกรรมการ ป.ป.ช.ข้างต้นนี้ เป็นเรื่องของการกล่าวหาเจ้าหน้าที่ของรัฐตาม ม. 84 แห่ง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญฯ ซึ่งกฎหมายบัญญัติให้ต้องกล่าวหาต่อ ป.ป.ช. ในขณะที่ผู้ถูกกล่าวหาเป็นเจ้าหน้าที่รัฐหรือพ้นจากการเป็นเจ้าหน้าที่รัฐไม่เกิน 2 ปี แต่หากเป็นการกล่าวหาผู้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรี ส.ส. ,ส.ว. หรือข้าราชการการเมืองอื่น ตาม ม. 66 แห่ง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญฯ แล้ว ป.ป.ช.ย่อมมีอำนาจที่จะรับเรื่องกล่าวหาบุคคลดัง กล่าวไว้พิจารณาดำเนินการไต่สวน ข้อเท็จจริงได้ภายในกำหนดอายุความตามประมวลกฎหมายอาญา ทั้งนี้เนื่องจาก พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการพิจารณาคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่ง ทางการเมือง พ.ศ.2542 ม. 23 กำหนดให้ผู้มีอำนาจฟ้องคดีต่อศาลฏีกา แผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง คือ (1) อัยการสูงสุด (2) คณะกรรมการ ป.ป.ช.โดยมาตรา 10 บัญญัติให้อัยการสูงสุดยื่นฟ้องคดีต่อ ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองได้ก็ต่อเมื่อ ป.ป.ช.มีมติว่า เรื่องที่กล่าวหา นายกรัฐมนตรี รัฐมนตรี ส.ส. , ส.ว. หรือข้าราชการการเมืองอื่น มีมูลเป็นความผิด”
สำหรับ ในประเด็น ม. 55เรื่องการยุติการปฎิบัติหน้าที่นั้น ทาง ป.ป.ช. ไม่ได้มีการวินิจฉัยหรือนำเรื่องสู่ที่ประชุม ดังนั้น ป.ป.ช.จึงไม่มีการวินิจฉัย แต่เป็นในส่วนที่ คตส.ได้ฟ้องคดีต่อศาลฏีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่ง ทางการเมือง และ คตส.ได้มีหนังสือไปยังนายกรัฐมนตรีให้พิจารณา ม. 55 ซึ่ง คตส. ไม่ได้ชี้ว่า กรณีนั้นจะเข้า ม. 55 หรือไม่ เป็นเพียงแค่การบอกว่า มี ม.55 แล้วก็ส่งเรื่องให้นายกฯ ในฐานะหัวหน้ารัฐบาลพิจารณา
นายกล้านรงค์ กล่าวว่า คตส.ไม่มีอำนาจไปวินิจฉัย เป็นแต่เพียงว่า เมื่อไต่สวนแล้ว ดำเนินการแล้ว เห็นว่ากรณีนี้เข้าเข้าตาม ม.43 (2) คตส.ก็ชี้ ม. 55 เพื่อให้พิจารณาเท่านั้นเอง ซึ่งรายละเอียด โฆษก คตส.ก็จะเป็นผู้ชี้แจง ส่วนตนก็ชี้แจงในฐานะ ป.ป.ช.
นายวีระ สมความคิด เลขาธิการเครือข่ายประชาชนต้านคอร์รัปชั่น กล่าวว่า ในประเด็นที่มีการถกเถียงกันใน ม.55 เมื่อ คตส.ใช้อำนาจ ป.ป.ช. ในม.55 ว่ารัฐมนตรีควรจะเว้นวรรคการปฎิบัติหน้าที่นั้น เพื่อให้ได้ข้อยุติในเรื่องนี้ ฝ่ายบริหาร รัฐบาล ควรส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยเพื่อยุติปัญหาการถกเถียง และที่สำคัญ นายกรัฐมนตรีเองจะได้ไม่ถูกดำเนินคดีในฐานการเว้นการปฎิบัติหน้าที่ในการออกมา ปกป้อง 3 รัฐมนตรี อย่างไรก็ตามในอดีตเคยมีบรรทัดฐานในการใช้ ม. 55 กรณี 9 ป.ป.ช.ที่ขึ้นเงินเดือนตัวเอง ซึ่งหนึ่งในจำนวนนั้น มี พล.ต.ท.วิเชียรโชติ สุกโชติรัตน์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีขณะนี้อยู่ด้วย ต้องยุติการปฎิบัติหน้าที่ภายหลังที่ประธานวุฒิสภาส่งเรื่องให้ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง เพราะคดีนี้ ป.ป.ช.เป็นผู้กระทำความผิด ผู้ที่จะตรวจสอบคือสภา แต่หากเป็นองค์กรอื่น หรือนักการเมือง ป.ป.ช.จะเป็นผู้ตรวจสอบและส่งฟ้องศาลฏีกา
“แม้ว่า ม. 55 ไม่เคยมีการส่งตีความศาลรัฐธรรมนูญหรือมีคำพิพากษา ศาลฎีกาที่มีอันต้องสิ้นสุด แต่โดยหลักกฎหมายเขียนไว้ชัดเจนว่าจะต้องยุติการปฎิบัติหน้าที่ทันทีถ้าถูกกล่าวหาว่ากระทำความผิด เพราะกฎหมายไม่ได้เขียนไว้ว่าจะต้องอยู่ในตำแหน่งเดิมหรืออยู่ในตำแหน่งใหม่”