ที่ประชุม ส.ว.เห็นชอบตั้ง กมธ.15 คณะสอบข่าวแจกเงินแลกเก้าอี้ประธาน สางข้อครหาหวั่นสภาทาสภาค 2 ด้าน “สมชาย” แย้มชื่ออดีตนักการเมืองอีสาน ตัวย่อ “ป” ต้นเหตุเสนอสินบน ด้านเด็กในคาถา “ยี้ห้อย” ไม่กล้าทวนกระแสออกแรงหนุนกวาดบ้านเต็มที่
วันนี้ (21 มี.ค.) ในการประชุมวุฒิสภา โดยมี นายประสพสุข บุญเดช ประธานวุฒิสภา ทำหน้าที่ประธานการประชุมเป็นครั้งแรก หลังจากที่ประชุมรับทราบพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งประธานและรองประธานวุฒิสภา แล้ว ได้มีมติกำหนดให้มีการประชุมวุฒิสภาทุกวันศุกร์ เวลา 09.30 น.
จากนั้นเข้าสู่วาระพิจารณาเรื่องด่วนการตั้งคณะกรรมาธิการพิจารณาเสนอรายชื่อและตรวจสอบคุณสมบัติผู้สมควรดำรงตำแหน่งกรรมการตุลาการ (ก.ต.) ศาลยุติธรรมผู้ทรงคุณวุฒิ เพื่อเสนอบุคคลที่เหมาะสมจำนวน 4 คน เพื่อให้วุฒิสภาเลือกเหลือ 2 คน ทั้งนี้ ที่ประชุมมีมติตั้งคณะกรรมาธิการจำนวน 15 คณะ และกำหนดระยะเวลาทำงาน 45 วัน
ต่อมาที่ประชุมได้พิจารณาญัตติตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาสอบสวนเรื่องข่าวการให้ค่าตอบแทนในการเลือกประธานวุฒิสภา โดย นายวิเชียร คันฉ่อง ส.ว.ตรัง และคณะ เป็นผู้เสนอ โดย นายวิเชียร กล่าวว่า กรณีสื่อทุกแขนงเสนอข่าวเมื่อวันที่ 13 และ 14 มีนาคม ว่า มีบุคคลติดต่อ ส.ว.เพื่อให้เลือกบุคคลหนึ่งเป็นประธาน และจะมีค่าตอบแทนให้ ถือเป็นการเสื่อมต่อระบบรัฐสภา และจะซ้ำรอย วุฒิสภาในอดีต ที่มีข้อครหามากมาย ไม่ว่าจะเป็นการเลือกกรรมการองค์กรอิสระที่ออกมาตามโผ หรือการทำหน้าที่ 6 ปี แต่ไม่เคยมีญัตติการอภิปรายทั่วไปโดยไม่ลงมติกับรัฐบาล แม้จะมีความพยายามหลายครั้งแต่สุดท้ายก็ถอนชื่อ และมีข่าวการรับเงินทองตามมา ดังนั้น วุฒิสภาชุดนี้ต้องไม่ทำอะไรเสียหาย ไม่เช่นนั้นจะเป็นตราบาป สิ่งที่เกิดขึ้น มีสมาชิกจำนวนหนึ่งได้รับการติดต่อและก็เก็บเบอร์ไว้มาเปิดเผยในสภา ฉะนั้นจึงต้องสอบสวนให้เป็นที่ประจักษ์
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สมาชิกส่วนใหญ่อภิปรายสนับสนุน อาทิ นายตวง อันทะไชย ส.ว.สรรหา กล่าวว่า ผลการศึกษาต้องนำไปสู่การใช้ประมวลจริยธรรมวุฒิสภา 2544 ให้ได้ เพราะที่ผ่านมามีการละเลย เพื่อจะได้มีการประณามทางสังคม และป้องปรามบุคคลที่จะมาทำพฤติกรรมแบบนี้ ส่วนกรรมาธิการจะเรียก ส.ว.ที่ได้รับการติดต่อ หรือ สำนักข่าวกรองแห่งชาติ หรือคนที่เป็นเจ้าของเบอร์มาสอบสวนอย่างไรก็แล้วแต่จะออกแบบ
นายจิตติพงษ์ วิริยะโรจน์ ส.ว.ศรีสะเกษ กล่าวว่า ข่าวดังกล่าวสร้างความเสียหายต่อ ส.ว.อีสานที่มาจากการเลือกตั้ง เพราะมีการกล่าวหาว่า รับเงินเพื่อให้สนับสนุนบุคคลที่ได้รับการเสนอชื่อคนหนึ่งเป็นประธาน และมีบุคคลนอกสภาเข้ามาเกี่ยวข้อง ดังนั้น ต้องตรวจสอบให้ถึงที่สุด ไม่ให้โดนตราหน้าว่าเป็นสภาทาส เหมือน ส.ว.ในอดีต
พล.ต.ต.ขจร สัยวัตร์ ส.ว.หนองคาย กล่าวว่า เรื่องดังกล่าวเป็นความผิดทางอาญา ความผิดมีไปถึงประหารชีวิต ฉะนั้น ต้องแจ้งความกับตำรวจควบคู่ไปด้วย เพราะไม่อยากเห็นมวยล้มต้มคนดู มั่นใจว่า ตำรวจจะหาคนทำผิดได้ โดยสืบไปทางเบอร์โทรศัพท์ ไม่เช่นนั้นจะถือว่าเป็นการละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 ด้านนาย สุรชัย เชื้อตระกูลทอง ส.ว.ชลบุรี กล่าวว่า ผู้ได้รับการติดต่อต้องไปแจ้งความดำเนินคดี เพราะเรื่องนี้ผิดกฎหมายอาญาชัดเจน เพราะเป็นเรื่องการเสนอให้เพื่อผลประโยชน์ต่อสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งรัฐ ไม่ใช่ให้ข่าวไปเรื่อยๆ และสื่อก็เอาไปเขียนจนวุฒิสภาเสื่อมเสีย
ขณะที่ นายสาย กังกเวคิน ส.ว.ระยอง กล่าวว่า ควรสอบข้อเท็จจริงเบื้องต้นก่อน ค่อยไปสอบสวนทางคดี เพราะที่มีข่าวออกมา ไม่รู้ว่าจะเป็นการปล่อยข่าวเพื่อกวนน้ำให้ขุ่นหรือไม่ ตนกลัวว่า หลักฐานจะอ่อนเกินไป หากไปสอบสวนทางคดีทันที
ส่วน นายสมชาติ พรรณพัฒน์ ส.ว.นครปฐม กล่าวว่า ช่วงเลือกประธานวุฒิสภา หนังสือพิมพ์ลงข่าวว่า “ลากตั้งถล่มเด็กห้อย” รวมถึงลงข่าวเรื่องการให้เงิน 1 ล้านบาท ตนถือว่า เป็นเรื่องน่าอับอายกับวุฒิสภามาก อย่างไรก็ดี การให้ข่าวของสมาชิกบางคนทำให้วุฒิสภาทั้งหมดเสียหายเช่นกัน ที่สมาชิกเลือกนายประสพสุข เพราะเห็นว่ามีคุณสมบัติครบถ้วน แต่เมื่อมีข่าวออกมาเหมือนเอาสีไปสาดใส่ นายประสพสุข ถ้าเกิดอีกครั้งตนจะลาออก เพราะทนไม่ได้กับสภาอัปยศ เนื่องจากต้องคำถามต่อประชาชนว่ารับเงินมาจริงหรือไม่ ดังนั้น อย่าให้เรื่องนี้จบง่ายๆ ต้องหาคนที่สร้างเรื่องขึ้นมา
นายทวีศักดิ์ คิดบรรจง ส.ว.บุรีรัมย์ อดีตผู้ได้รับการเสนอชื่อประธานวุฒิสภา กล่าวว่า ข่าวการให้ทรัพย์สินเป็นข่าวที่คลุมเครือมาตลอด ไม่ทราบว่าข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร ตนไม่สบายใจมาโดยตลอด ดังนั้นการตั้งกรรมาธิการตรวจสอบดีที่สุด เพื่อศักดิ์ศรีของสมาชิกและองค์กร
ด้าน นายประวัติ ทองสมบูรณ์ ส.ว.สรรหา กล่าวว่า ข่าวที่ลงระบุว่า คนที่จ่ายเงินมีตัวย่อ ป. เป็นอดีตนักการเมือง ตนเป็นอดีต ส.ส.และยุติบทบาทไปนานแล้วจนมาสมัครเป็นส.ว. ข่าวที่ออกมาทำให้มีคนโทรมาสอบถามตนมากมาย ซึ่งยืนยันว่า ไม่เกี่ยวข้อง และขอสนับสนุนให้สอบสวนเรื่องนี้จนถึงที่สุด
ฝ่าย นายสมชาย แสวงการ ส.ว.สรรหา ซึ่งเป็นผู้ออกมาเปิดเผยเรื่องดังกล่าวในที่ประชุมวุฒิสภาที่ผ่านมา กล่าวว่า ตนเจ็บปวดเหมือนสมาชิกทุกคน แต่ต้องพูดเพราะ เรื่องความพยายามจากคนภายนอกที่เข้ามาแทรกแซงเป็นเรื่องจริง ตนมีเบอร์โทรศัพท์เก็บไว้ ซึ่งถ้าตนและสภาไม่ทำอะไร จะโดนสื่อตั้งฉายาว่า สภาทาส 2 และ หากไม่จริงตนคงไม่กล้าพูดกับสื่อ โดยวันที่10 มีนาคม ระหว่างที่ตนนั่งอยู่ในห้องรับรองช่วง 15.00 น.มีอดีตนักการเมืองภาคอีสาน ตัวย่อ ป. แต่ไม่ได้อยู่ในสภาแห่งนี้ และไม่ใช่นายประวัติ ติดต่อมาพยายามพบให้ได้ ตนจะไปออกรายการที่เนชั่นเลิก 4 ทุ่ม ก็ยังบอกว่า จะตามไปพบ ตนจึงถามตรงๆ ว่า ต้องการอะไร ก็มีการเสนอว่า จะดูแลตลอดวาระและดูแลเบื้องต้นก่อนด้วย และมีสมาชิกมารวมกลุ่ม 18-20 คน แล้ว ส่วนเรื่องอื่นไม่ว่ารถเบนซ์หรือฝ่ายบริหารแทรกแซง ตนไม่ได้พูด เรื่องนี้ต้องตรวจสอบให้ถึงที่สุด ตนยินดีให้ข้อมูล ทั้งชื่อ และหมายเลขโทรศัพท์ของบุคคลดังกล่าว
หลังการอภิปรายกันอย่างกว้างขวาง ที่ประชุมมีมติเห็นชอบให้ตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญเพื่อตรวจสอบเรื่องดังกล่าว จำนวน 15 คน ประกอบด้วย 1.นางนฤมล ศิริวัฒน์ ส.ว.อุตรดิตถ์ 2.พล.ต.อ.สุนทร ซ้ายขวัญ ส.ว.สรรหา 3.พ.ต.ท.คมกฤษ ไวสืบข่าว 4.นายสุริยา ปันจอร์ ส.ว.สตูล 5.นายวิเชียร คันฉ่อง ส.ว.ตรัง 6.นายชูชัย เลิศพงศ์อดิศร ส.ว.เชียงใหม่ 7.พล.ต.ต. เกริก กัลยาณมิตร ส.ว.สรรหา 8.พ.ท.กมล ประจวบเหมาะ ส.ว.สรรหา 9.พ.ต.ท.จิตต์ ศรีโยหะ มุกดาธนพงศ์ ส.ว.มุกดาหาร 10.นายสงคราม ชื่นภิบาล 11.น.ส.รสนา โตสิตระกูล ส.ว.กทม. 12.นายภิญโญ สายนุ้ย ส.ว.กระบี่ 13.พล.ต.ต.ขจร สัยวัตร์ ส.ว.หนองคาย 14.นาย พิเชต สุนทรพิพิธ ส.ว.สรรหา 15.นาย สมชาติ พรรณพัฒน์ ส.ว.นครปฐม ทั้งนี้กำหนดเวลาการตรวจสอบข้อเท็จจริง 45 วัน
นอกจากนี้ ยังมติตั้งคณะกรรมาธิการยกร่างข้อบังคับการประชุม 23 คน อาทิ พล.อ. เลิศรัตน์ รัตนวานิช นายสมชาย แสวงการ นายสุรชัย เลี้ยงบุญเลิศชัย นายคำนูณ สิทธิสมาน นายวรินทร์ เทียมจรัส ส.ว.สรรหา นางจิราวรรณ จงสุทธนามณี วัฒนสิริธร ส.ว.เชียงราย นางสาว รสนา โตสิตระกูล ส.ว.กทม.กำหนดเวลาดำเนินการ 30 วัน เพื่อให้ทันตั้งคณะกรรมาธิการสามัญ ก่อนปิดสมัยประชุมสามัญทั่วไปวันที่ 19 พฤษภาคม จากนั้นได้สั่งปิดประชุมเวลา 12.40 น.
