xs
xsm
sm
md
lg

“สนธิ” ตอก “เหลิม” ย้อนอดีตมั่ว แฉกลับเคยทำ “แม้ว” แค้น - ย้ำ 28 มี.ค.ไม่ขัดคำสั่งศาล

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


“สนธิ” ตอก “เฉลิม” โกหกต่อหน้าสื่อ กล่าวหาให้เช็คเด้ง หลังโดน รสช.ยึดอำนาจ ยันเคยช่วยเป็นเงินสด 2 หมื่นเหรียญฯ แถมตอนกลับมาเล่นการเมืองเอาไปไปอีกเป็นร้อยล้าน ส่วน “ทักษิณ” ไม่ช่วยแม้บาทเดียว เหตุแค้นอนุมัติสัมปทานเคเบิลทีวีให้คู่แข่ง พร้อมย้ำไม่ได้สู้เพื่อชนะหรือแพ้ แต่เพื่อต้านทุนสามานย์กินประเทศ ยัน 28 มี.ค.ระดมความเห็น ปชช.ไม่ละเมิดคำสั่งศาล

คลิกที่นี่ เพื่อฟังรายการ ยามเฝ้าแผ่นดิน โดย ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ สโรชา พรอุดมศักดิ์ ช่วงที่ 1

คลิกที่นี่ เพื่อฟังรายการ ยามเฝ้าแผ่นดิน โดย ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ สโรชา พรอุดมศักดิ์  ช่วงที่ 2

รายการ “ยามเฝ้าแผ่นดิน” ออกอากาศทางเอเอสทีวี คืนวันที่ 13 มีนาคม นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ และนางสาว สโรชา พรอุดมศักดิ์ ร่วมดำเนินรายการ ในช่วงแรกนายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ก่อตั้งหนังสือพิมพ์ผู้จัดการ ได้โทรศัพท์มาแสดงความคิดเห็นกรณีที่ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รมว.มหาดไทย ให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าวถึงความสัมพันธ์ในอดีตโดยบอกว่านายสนธิเคยช่วยเหลือด้วยการให้นายคำนูณ สิทธิสมาน นำเช็ค 500,000 บาทไปให้ แต่เช็คเด้ง และได้ซื้อรถยนต์ให้ลูกชายจึงยังรักนายสนธิอยู่ พร้อมทั้งได้อ้างคำสั่งศาลเตือนไม่ให้ไม่ให้นายออกมาเคลื่อนไหวทางการเมือง

โดนนายสนธิ กล่าวว่า คำให้สัมภาษณ์ของ ร.ต.อ.เฉลิม มีข้อมูลที่ผิดพลาด ซึ่งจำเป็นที่จะต้องชี้แจงให้ประชาชนเข้าใจ ขณะเดียวกันก็อยากฝากถึง ร.ต.อ.เฉลิม ให้พูดความจริง อย่าใช้นิสัยเดิมๆ ที่มาพูดรวมๆ และโกหก โดยเฉพาะการโกหกต่อหน้าสื่อมวลชน มันไม่ใช่วุฒิภาวะของคนที่รักจะเป็นพรรคการเมืองที่มีคุณภาพ ที่สำคัญตัวเองก็เป็นถึงรัฐมนตรีมหาดไทย ก็ไม่สมควรพูดโกหกด้วยประการทั้งปวง ส่วนกรณีที่ ร.ต.อ.เฉลิมอ้างว่ารู้จักกับตนเมื่อครั้งเป็นตำรวจอยู่ที่กองปราบปรามนั้นก็ไม่ถูกต้อง ตนไม่ได้รู้จัก ร.ต.อ.เฉลิม เมื่อเป็นตำรวจ มารู้จักก็ตอนเป็นนักการเมืองแล้ว

นอกจากนี้ นายสนธิยังโต้ข้อกล่าวหาส่งเช็คเด้งไปช่วยเหลือ ร.ต.อ.เฉลิม เมื่อครั้งถูก รสช.ปฏิวัติ (ปี 2534)โดยระบุว่า ตนช่วยเหลือเพราะสงสาร เห็นครอบครัว ร.ต.อ.เฉลิมต้องมารวมตัวกันอยู่ภายในห้องเล็กๆ มีความลำบาก จึงมีความคิดส่งเงินไปช่วยเหลือ ตนจึงเรียกนายคำนูณ สิทธิสมาน ให้ช่วยนำเงินสดจำนวน 2 หมื่นเหรียญสหรัฐ หรือคิดเป็นเงินไทยก็เท่ากับ 5 แสนบาทไปให้ ไม่ได้จ่ายเป็นเช็ค

ขณะเดียวกัน หลังการยึดอำนาจของ รสช.ตนยังเคยเอ่ยปากถาม พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ถึงการช่วยเหลือ ร.ต.อ.เฉลิม ขณะไปรับประทานอาหารอิตาลีที่หน้าโรงแรมปริ๊นเซส วันนั้น พ.ต.ท.ทักษิณ เดินทางไปพร้อมกับ พล.อ.สุนทร คงสมพงษ์ ประธาน รสช. ซึ่งตนเห็นว่าครั้งหนึ่ง พ.ต.ท.ทักษิณ เคยไปเฝ้าขอสัมปทานเคเบิลทีวีในสมัยที่ ร.ต.อ.เฉลิม เป็นรัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ คิดว่า พ.ต.ท.ทักษิณ น่าจะเห็นแก่มิตรภาพเก่า จึงลุกขึ้นไปถามว่าตนจะให้นายคำนูณเอาเงินไปให้ ร.ต.อ.เฉลิม จะช่วยด้วยหรือไม่ ซึ่งคำตอบที่ได้รับ คือ “ให้มันทำไม ผมให้มันไปตั้งเยอะแล้ว มันหักหลังผม ไปให้สัมปทานไทยสกายกับคุณคีรี กาญจนพาสน์ ทั้งๆ ที่ให้สัมปทานไอบีซีกับผม” ตนยังจำคำพูดนี้ได้ อีกทั้งยังจำได้ว่านายคำนูณนั้นหอบเงินสด 2 หมื่นเหรียญสหรัฐไปให้ที่เมืองนอก ร.ต.อ.เฉลิม รับเงินไปร้องไห้ไป

นายสนธิ กล่าวอีกว่า ครั้งเมื่อ ร.ต.อ.เฉลิม ได้กลับมาเมืองไทย กลับมาลงเล่นการเมืองอีกสองครั้ง ทำไม ร.ต.อ.เฉลิม ไม่เล่าว่าใครให้เงินมาลงเล่นการเมืองอีก ทั้งๆ ที่เป็นเงินจำนวนถึงหลักร้อยล้านบาท แต่ ร.ต.อ.เฉลิม ละเว้นที่จะไม่พูดถึงตอนนี้ แต่ก็ไม่เป็นไร ตนไม่อยากเล่าหรือสานต่อ ไม่ชอบพูดถึงเรื่องที่ตนช่วยเหลือคน แต่เมื่อ ร.ต.อ.เฉลิม มาโกหกต่อหน้าประชาชน ปากหนึ่งก็บอกว่าเป็นหนี้บุญคุณตน แต่อีกปากก็บอกให้เช็คมาแล้วเช็คเด้ง พูดอย่างนี้พูดเหมือนกับว่าตนเป็นคนช่วยแบบไม่จริงจัง ดังนั้น อยากฝากถึง ร.ต.อ.เฉลิม พรือพรรคพวกที่ฟังอยู่ช่วยรับทราบ หากมีอะไรที่ผิดพลาดก็ให้ออกมาแก้ไขด้วย

“ผมเป็นคนที่เล่นลิ้นไม่เป็น ผิดกับ ร.ต.อ.เฉลิม ที่เป็นคนบริหารคำพูดเก่ง เพราะว่าเป็นคนบริหารงานด้วยคำพูด ส่วนการที่ ร.ต.อ.เฉลิม ออกมาเตือนให้หักห้ามใจ อย่าไปทำอะไรที่ไม่ชนะนั้น ก็ถือเป็นความคิดที่ผิด ผมไม่ได้สู้ พ.ต.ท.ทักษิณ เพื่อชนะหรือแพ้ แต่สู้ระบอบทักษิณ เพราะเห็นระบอบเผด็จการทุนนิยมสามานย์เป็นสิ่งที่ประเทศไทยรับไม่ได้ ผมลุกขึ้นมาสู้กับระบบ ผมไม่ได้เห็น ร.ต.อ.เฉลิม หรือ พ.ต.ท.ทักษิณอยู่ในสายตาเลยแม้แต่นิดเดียว อีกทั้งผมเห็นว่าหากระบบนี้ถ้ามันยังอยู่ในประเทศต่อไป ประเทศไทยจะล่มสลาย คุณงามความดี วัฒนธรรม ศีลธรรม คุณธรรม จริยธรรมมันจะไม่มี ผมสู้เพราะว่าผมศรัทธา เชื่อมั่น เอาธรรมนำหน้า แพ้หรือชนะไม่ใช่ประเด็น”

นายสนธิ ยังกล่าวถึงการจัดการสัมมนารายการ “ยามเฝ้าแผ่นดิน ภาคพิเศษ” ในวันศุกร์ที่ 28 มีนาคม ที่หอประชุมใหญ่ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ว่าไม่ได้เป็นการชุมนุม แต่เป็นการออกมาแสดงความคิดเห็นโดยสุจริต ในเรื่องอนาคตของชาติบ้านเมือง เป็นการใช้สิทธิตามรัฐธรรมนูญ จะมาอ้างว่าตนละเมิดคำสั่งศาลไม่ได้ เพราะตนไม่ได้ละเมิดคำสั่งที่จะมาเดินขบวน หรือมาปราศรัยในที่กลางแจ้ง และหาก ร.ต.อ.เฉลิม จะมีเส้นสายในวงการศาล จับตนเข้าคุกเพราะละเมิดคำสั่งศาล ก็ฝากอย่าทำให้เป็นน้ำผึ้งหยดเดียว อีกทั้งตนก็จะยอมเข้าคุก แล้วถ้าเหตุผลที่ตั้งทำให้ตนเข้าคุกได้ ก็ให้ดูต่อไปว่าประเทศอะไรจะเกิดขึ้น อย่ามาขู่ ร.ต.อ.เฉลิมต้องรู้ว่า ตัวเองเป็นนักการเมืองที่เล่นในระบบเลือกตั้ง แต่ตนเชื่อในภาคประชาชน

“ทำไมตอนที่ทักษิณมีอำนาจ คุณถึงเก็บตัวเงียบอยู่แต่ในรู ไม่ยอมออกมาทำอะไรทั้งสิ้น แต่วันนี้ พ.ต.ท.ทักษิณ จำเป็นต้องใช้คุณ คุณก็เลยมารับใช้ พ.ต.ท.ทักษิณ อย่างเต็มๆ ผมถึงพูดกับคุณตลอด ว่า ทุกอย่างในชีวิตเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ในอดีตคุณได้เป็นรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี คอยปกป้อง พล.อ.ชาติชาย แล้วไปทะเลาะ กับ พล.อ.สุนทร จนถูก พล.อ.สุนทร ยึดอำนาจ คุณเฉลิมถูกไล่ออกไปมือสั่นอยู่เมืองนอก เมื่อผมเห็นเช่นนั้นก็เกิดสงสาร อยากช่วยเหลือ และการช่วยเหลือก็เป็นการช่วยด้วยเจตนาบริสุทธิ์ แล้วอนิจจัง คุณได้กลับมาอีก แล้วคุณได้เล่นการเมืองอีก แล้วทุกอย่างมันทุกขัง คือมันไม่มีอะไรคงอยู่สภาพเดิม คุณก็กลับมาเป็นรัฐมนตรีมหาดไทย แล้วคุณไม่นึกว่ามันจะอนิจจังอีกครั้งหนึ่งหรือ”นายสนธิกล่าว

**ชี้ “อภิรักษ์” สร้างบรรทัดฐานจริยธรรม

ในช่วงที่ 2 ผู้ดำเนินรายการกล่าวถึงกรณีที่ นายอภิรักษ์ โกษะโยธิน ประกาศยุติการทำหน้าที่ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร หลังจาก คตส.ชี้มูลความผิดในคดีจัดซื้อรถและเรือดับเพลิงของ กทม.ว่า เรื่องนี้คงไม่ใช่เกมการเมืองที่พรรคประชาธิปัตย์จะกดดัน 3 รัฐมนตรีที่ถูกฟ้องในคดีหวยบนดินแต่อย่างใด สิ่งที่นายอภิรักษ์ทำลงไปเป็นการรักษาจริยธรรมที่ดีในการเป็นผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง โดยเฉพาะผู้ว่า กทม.ที่มาจากการเลือกตั้ง

ที่จริงแล้วนายอภิรักษ์ยังไม่ต้องลาออกก็ได้ เพราะถือว่ายังไม่ถูกตัดสินให้ผิด เพียงแค่ถูกกล่าวหาเท่านั้น แต่นายอภิรักษ์ได้สร้างบรรทัดฐานเชิงจริยธรรมที่สูงกว่ากฎหมาย ซึ่งทำให้เกิดการเปรียบเทียบโดยปริยายกับรัฐมนตรี 3 คนในรัฐบาลชุดนี้ที่ถูกกล่าวหาในคดีหวยบนดินว่าควรจะอยู่ในตำแหน่งต่อไปหรือไม่ โดยเฉพาะ นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี รมว.คลัง ที่ดูแลการจัดเก็บรายได้และรายจ่ายของประเทศรวมทั้งยังดูแลสำนักงานสลากกินแบ่งเองโดยตรง

**หวั่นอำนาจเงินชี้ขาดประธาน ส.ว.

ต่อมา ผู้ดำเนินรายการกล่าวถึงการเลือกประธานวุฒิสภาว่า ล่าสุดนายสมชาย แสวงการ ส.ว.สรรหา ได้ออกมาเปิดโปงถึงการเสนอผลประโยชน์เพื่อแลกกับการลงคะแนนเลือกประธาน ส.ว. สอดคล้องกับก่อนหน้านี้ที่มีข่าวว่ามีการเสนอเงินให้ ส.ว.รายละ 1 ล้านบาทไม่รวมเงินเดือน ทำให้น่าเป็นห่วงว่าอำนาจเงินกำลังจะครอบงำ ส.ว.อีกครั้งหรือไม่

สิ่งที่น่าเป็นห่วงต่อไป คือ ขณะนี้มีการคัดเลือกตุลการรัฐธรรมนูญ ซึ่งหาก ส.ว.ซื้อขายได้ เกียรติภูมิในการรักษากระบวนการยุติธรรมหลังจากนี้จะพังหมด เพราะ ถ้า ส.ว.ซื้อได้ กระบวนการตัดสินคดีเกี่ยวกับนักการเมืองจะล่มสลาย เหมือนระบอบทักษิณที่ผ่านมา เช่น คดียุบพรรคก็ต้องจบที่ตุลาการฯ ถ้าบุคลากรถูกล็อบบี้มาตั้งแต่ต้นน้ำคือ ส.ว. มันก็จะพังทลายที่ศาลรัฐธรรมนูญ

** อัด กกต.ปล่อยคนโกงเข้าสภา - ต้นตอวิกฤตชาติ

ผู้ดำเนินรายการ กล่าวต่อว่า แม้แต่ กกต.วันนี้ ก็ยังไม่แน่นอนว่าจะเป็นที่พึ่งด้านความยุติธรรมได้หรือไม่ และขอไม่เห็นด้วยกับนางสดศรี สัตยธรรม กกต.ที่พูดถึงคดีนอมินี และขอตั้งข้อสังเกตว่าในระยะหลังมี กกต. 2 คนที่ชอบออกมาแสดงความคิดเห็นในเรื่องต่างๆ คือนางสดศรี และนายสมชัย ซึ่งมักจะโน้มเอียงไปในทางเป็นประโยชน์ต่อพรรคพลังประชาชน ล่าสุดนางสดศรออกมาแสดงความไม่พอใจที่มีการนำผลสอบคดีนอมินีมาเปิดเผยก่อนที่จะมีข้อสรุป แต่ขณะเดียวกันนางสดศรีกลับแสดงความเห็นของตัวเอง

ในประเด็นที่ 2 ไม่เห็นด้วยกับนางสดศรีพูดถึงคดีนอมินี โดยให้เหตุผลว่า หากจะยัดเยียดให้ผิดก็ทำได้ทั้งนั้น แต่สมควรจะมีการเลือกตั้งซ้ำไปซ้ำมาและกินเงินภาษีประชาชนเป็นจำนวนมากอย่างนั้นหรือไม่ การเลือกตั้งแต่ละครั้งใช้งบประมาณจำนวนมาก

ผู้ดำเนินรายการย้ำว่า ประโยคดังกล่าวไม่ถูก เพราะการเลือกตั้งไม่สำคัญว่าจะใช้งบเท่าไหร่ก็ตาม ขึ้นกับว่านักการเมืองได้ทุจริตในการเลือกตั้งหรือไม่ ถ้าผิดก็ต้องว่าไปตามผิด ผลคนที่กระทำผิดก็ต้องชดใช้ กฎหมายระบุไว้อย่างนั้น จะเลือกตั้งหลายครั้งก็ไม่ใช่เรื่องแปลก ตราบใดที่นักการเมืองที่ได้มายังไม่ใช่คนที่สุจริต กกต.มีหน้าที่กันคนเหล่านั้นออกจากสภา ไม่ใช่ปล่อยให้ใครก็ได้เข้ามาและลามไปถึงกระบวนการอีกมากมาย มีการออกกฎหมายล้างความผิดให้ตัวเอง หรือเลือกรัฐมนตรีที่มีมลทิน เลือกประธานสภาฯ หรือ ตำแหน่งสำคัญๆ เป็นสีเทา ลามไปถึงวุฒิสภา ไปถึงกระบวนการตรวจสอบทั้งหมด เมื่อพังและล่มสลายทั้งหมด สื่อของรัฐก็ถูกครอบงำอีก ประชาชนก็ไม่มีทางเลือก เขาต้องใช้สิทธิตามรัฐธรรมนูญ

“ผมว่าจุดเริ่มต้นของวิกฤตของชาติอยู่ที่ กกต. ถ้า กกต.เที่ยวนี้ ยังไม่สามารถสร้างบรรทัดฐานในความยุติธรรมได้ มีแต่คิดว่าการเลือกตั้งจบแล้วเป็นประชาธิปไตยแล้ว โศกนาฏกรรมหลังจากนี้เป็นผลงานของ กกต.ชุดนี้โดยตรง ไม่ว่าจะเป็นผลงานจากสภาผู้แทนราษฎรที่เต็มไปด้วยคนที่พร้อมจะขายเสียงของตัวเองในการยกมือ ขาดอุดมการณ์ ไร้จริยธรรม ไร้ซึ่งจิตสำนึกของตัวเองว่า พร้อมที่จะยืนอยู่ข้างประชาชนอย่างไร เป็นที่มาของรัฐบาลที่มาจากกลุ่มก๊วนต่างๆ ที่มาจากเงินทองของกลุ่มนายทุน เป็นที่มาของการทุจริตและการโกงกินบ้านเมือง และเป็นที่มาของการแทรกแซงกระบวนการยุติธรรมอื่นๆ จุดเริ่มต้นอยู่ที่ กกต.ที่จะต้องรับผิดชอบเป็นด่านแรก”

คลิกที่นี่ เพื่อชมวิดีโอคลิป
รายการยามเฝ้าแผ่นดิน ช่วงที่ 1

( 56 k ) | ( 256 K )



คลิกที่นี่ เพื่อชมวิดีโอคลิป
รายการยามเฝ้าแผ่นดิน ช่วงที่ 2

( 56 k ) | ( 256 K )



กำลังโหลดความคิดเห็น