“สุเมธ” ยืดอกสารภาพเผยผลสอบ “พลังแม้ว” เป็นนอมินี ทรท.จริง แต่ไม่มี กม.รองรับ ชี้การลงมติอาจต้องดูพฤติการณ์ผู้ถูกร้องประกอบการตัดสินใจ ด้าน “สดศรี” ย้ำไม่มี กม.ใดที่ระบุนอมินีเป็นความผิด อ้างคดีนี้ตัดสินใจไม่ยากหากไม่มีการเมืองเข้ามาเกี่ยวข้อง ขณะที่ “สมชัย” โบกมือลา กกต.ลงสมัครตุลาการศาลรธน.แล้ว
วันนี้ (13 มี.ค.) นายสุเมธ อุปนิสากร กรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ด้านการมีส่วนร่วม กล่าวถึงผลสรุปของคณะอนุกรรมการพิจารณาคำร้องของนายวีระ สมความคิด ประธานเครือข่ายประชาชนต้านคอร์รัปชัน ที่ยื่นร้องให้ตรวจสอบว่าพรรคพลังประชาชนเป็นนอมินีของพรรคไทยรักไทยหรือไม่ ที่สรุปว่าพรรคพลังประชาชนเป็นนอมินีจริงว่า ตนเคยพูดอย่างนั้นจริง เพราะผลการสอบสวนของคณะอนุกรรมการฯ ได้เขียนไว้ในสำนวนว่าเป็นนอมินีจริง แต่ไม่มีกฎหมายเอาผิด ดังนั้น กกต.จึงจำเป็นต้องสอบสวนเพิ่มเติม พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เพื่อประกอบการพิจารณา ซึ่งเรื่องนี้ตนต้องขอชี้แจงเพื่อให้เข้าใจกันว่าเหตุใดจึงต้องสอบเพิ่ม เพราะเดี๋ยวจะหาว่าจู่ๆ สอบสวนไม่เรียบร้อยแล้วจะสอบเพิ่มอะไรอีก
เมื่อถามว่า เมื่อไม่มีกฎหมายรองรับก็ไม่สามารถเอาผิดได้ใช่หรือไม่ นายสุเมธ กล่าวว่า คิดว่ามีกฎหมายบางมาตราน่าคิดที่อาจจะนำมาประกอบได้ อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้ต้องดูพฤติการณ์ประกอบ เพราะหากลงมติอะไรไปอาจจะเป็นผลร้ายกับอดีตนายกฯ ได้ ดังนั้น กกต.จึงเห็นควรให้ฟังข้อเท็จจริงประกอบการพิจารณา หาก พ.ต.ท.ทักษิณ จะให้นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา โฆษกส่วนตัวมายื่นหนังสือชี้แจงแทนก็สามารถทำได้ ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับคณะกรรมการด้วยจะเห็นอย่างไร หากคณะกรรมการพอใจเท่านั้น และ พ.ต.ท.ทักษิณพอใจที่จะทำเช่นนั้น ก็ทำได้ เท่ากับว่าเราได้ขอให้ท่านมาให้การแล้ว เพราะเรื่องนี้ไม่ใช่คดีอาญา ที่สำนวนเช่นนี้จะมาให้การด้วยตัวเองหรือเป็นหนังสือก็ได้ บางทีการให้การทางหนังสืออาจจะละเอียดกว่ามาให้การด้วยตัวเองก็ได้ หาก พ.ต.ท.ทักษิณทำหนังสือชี้แจงมาแล้ว ก็ไม่จำเป็นต้องขยายเวลา หรือเรียกเอกสารเพิ่ม ถือว่ามีเท่าใดเอาเท่านั้น
นายสุเมธยังกล่าวถึงกรณีที่คณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง กรณีที่ กกต.มีมติเพิกถอนสิทธิการเลือกตั้งกรรมการบริหารพรรคชาติไทย และมัชฌิมาธิปไตย จะสรุปสำนวนวันนี้เพื่อเสนอให้ กกต.ในวันที่ 14 มี.ค.ว่า กกต.นัดหารือเรื่องดังกล่าว วันที่ 18 มี.ค.ช่วงเช้า ซึ่งหากแต่ละคนนำเอกสารไปพิจารณา หากไม่มีปัญหาก็สามารถลงมติเรื่องดังกล่าวได้เลย ในวันที่ 18 มี.ค.ได้เลย แต่หากมีการสอบถามเจ้าหน้าที่ที่ทำหน้าที่ไต่สวนและเห็นว่าจะสอบเพิ่ม ก็ต้องรอดูอีกครั้ง หรือหากกรรมการเห็นว่าสมบูรณ์แล้วแต่ กกต.ชุดใหญ่เห็นว่ายังไม่สมบูรณ์ก็สามารถสอบเพิ่มได้ เพื่อให้เกิดความกระจ่าง อย่างไรก็ตาม กกต.มีหน้าที่เพียงฟังความเห็นไม่ว่าคดีไหน และเรื่องดังกล่าวต้องไปสู้ในชั้นศาลฎีกา และศาลรัฐธรรมนูญ
เมื่อถามว่าดูเบื้องต้นที่ กกต.ให้ใบแดงกับกรรมการบริหารพรรคทั้ง 2 พรรค จะเป็นข้อมูลเพียงพอว่าพรรคมีส่วนเกี่ยวข้องและต้องรับผิดชอบด้วยหรือไม่ นายสุเมธ กล่าวว่า ต้องช่วยกันอ่านกฎหมายในมาตรา 103 วรรค 3 พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง ว่าหากกรรมการบริหารพรรคกระทำผิดทุจริตเลือกตั้ง กฎหมายระบุว่าต้องส่งศาลรัฐธรรมนูญ และหากข้อเท็จจริงเพียงพอก็ต้องส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความ
นายสุเมธ กล่าวถึงกรณีการรับรอง ส.ว.6 คนที่ กกต.ยังไม่ได้รับรองว่า ขณะนี้มีเรื่องร้องคัดค้าน 11 สำนวน และเจ้าหน้าที่กำลังทำความเห็นเพื่อเสนอมายัง กกต. ดังนั้น กกต.จึงยังคงไม่สามารถให้การรับรองว่าที่ ส.ว.ทั้ง 6 คนได้ทันเพื่อให้ร่วมประชุมวุฒิสภานัดแรกใน วันที่ 14 มี.ค.เพื่อเลือกประธานวุฒิสภาได้
นางสดศรี สัตยธรรม กกต.ด้านกิจการพรรคการเมือง กล่าวถึงผลสรุปเรื่องพรรคพลังประชาชนเป็นนอมินีไทยรักไทยว่า ไม่สมควรที่จะเปิดเผยเพราะกกต.ยังไม่ได้วินิจฉัย และเรื่องนี้กฎหมายไม่ได้ระบุความผิดไว้ ขณะที่ตนขอไม่เปิดเผยผลสรุปของอนุกรรมการ แต่คงทราบข่าวจาก กกต.2 คนที่ให้สัมภาษณ์ไว้ เพราะเรื่องนอมินีไม่มีกฎหมายรองรับ และส่วนตัวก็เห็นว่าไม่มีข้อกฎหมายใดที่จะเอาผิดได้ รวมถึงไม่สามารถที่จะนำข้อกฎหมายอื่น หรือไปดึงกฎหมายต่างประเทศที่บอกว่านอมินีเป็นความผิด มาเทียบเคียงเพื่อเอาผิดได้เช่นกัน ซึ่งอยากขอว่าอย่าพยายามใช้กระแสการเมืองมากดดันการวินิจฉัยของ กกต. เพราะ กกต.จำเป็นต้องมีความเป็นกลางและวินิจฉัยอย่างไม่มีอคติ
“กกต.ต้องเป็นกลาง ไม่ควรเข้าข้างฝ่ายใด ซึ่งขณะนี้มี 2 ขั้วอำนาจ คือ อำนาจเก่าและอำนาจใหม่ และการพยายามเปิดเผยข้อมูลเพื่อชี้นำไม่น่าเป็นการกระทำของ กกต. และอนุกรรมการ เพราะเราต้องไม่มีคำว่าฝ่ายไหน ไม่มีฝ่ายซ้ายหรือฝ่ายขวา คิดว่าในเมื่อกกต.ทำหน้าที่คล้ายศาลแล้ว ไม่ควรมีการชี้นำหรือมองว่าตัวเองอยู่ในขั้วอำนาจไหน กกต.ต้องยึดตัวบทกฎหมายเป็นหลัก เราจะไม่พยายามยึดความชอบกับไม่ชอบ ไม่มีอคติในพรรคการเมืองใดๆ ทั้งสิ้น ไม่ว่า กกต.หรือตุลาการถ้าจะพิจารณาประเด็นเรื่องใด แล้วมีอคติกับพรรคการเมืองก็ไม่น่าพูดกันขึ้นมา ต้องเป็นกลาง”
เมื่อถามว่าเรื่องดังกล่าวอาจต้องยกคำร้องหรือไม่ นางสดศรี กล่าวว่า เป็นอีกประเด็นหนึ่ง หากเรื่องนี้ไม่เอาเรื่องการเมืองเข้ามาเกี่ยวข้องก็ไม่มีเรื่องอะไรที่ยากในการตัดสินใจ หรือยากในการวินิจฉัย หากจะยัดเยียดให้ผิดก็ทำได้ทั้งนั้น แต่ตนขอถามว่าเราสมควรจะมีการเลือกตั้งซ้ำไปซ้ำมา และกินเงินภาษีประชาชนเป็นจำนวนมากอย่างนั้นหรือไม่ การเลือกตั้งแต่ละครั้งใช้งบประมาณจำนวนมาก การที่จะล้มระบบประชาธิปไตยโดยที่ไม่มีข้อกฎหมายรองรับ หรือใช้ข้อกฎหมายที่เทียบเคียงมาล้มพรรคการเมืองใดพรรคการเมืองหนึ่ง และใช้อคติเข้ามา คิดว่าไม่ใช่หน้าที่ของ กกต.และไม่ใช่วิสัยที่ กกต.พึงกระทำ
นางสดศรี กล่าวถึงผลสรุปสำนวนของคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงกรณียุบพรรคที่มีนายบุญทัน บุญไธสง เป็นประธานว่าจะมีการประชุมกันวันนี้และทำสำนวนกันขึ้นมา โดยคณะกรรมการจะลงชื่อพร้อมกัน และจะส่งสำนวนให้ กกต.ได้ในวันที่ 14 มี.ค. ส่วนมติของคณะกรรมการฯ เรายังไม่ได้รับทราบเลย คณะกรรมการยังไม่มีใครมาบอก ตนก็ทราบจากสื่อ จะยืนยันได้เมื่อเห็นสำนวนเท่านั้น เรื่องนี้หากพิจารณาข้อกฎหมายก็ไม่มีเรื่องอะไรต้องพิจารณา แต่ถ้าเอาเรื่องข้อเท็จจริงมาผูกโยงกันแล้ว ก็ต้องไปดูว่ามีพฤติกรรมอย่างไร
“สมมติว่าไปใช้เงินที่ถูกยึดได้ไปเป็นเงินของพรรคการเมือง ก็เป็นเรื่องที่พรรคการเมืองต้องรับผิดชอบโดยตรง แต่ถ้าเป็นเงินส่วนตัวก็ไม่น่าจะใช่ กฎหมายเขียนไว้ชัดว่าถ้าเป็นเรื่องกรรมการบริหารพรรคดำเนินการ พรรคการเมืองต้องรับผิดชอบ เราต้องดูตามข้อเท็จจริงที่คณะกรรมการเสนอมา อย่างไรก็ตาม ขณะที่ดิฉันเป็นกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ เราไม่เห็นด้วยเลยและเป็นกรรมาธิการเสียงข้างน้อยตลอด หรือตอนยกร่างกฎหมายลูกของ กกต.ทั้ง 3 ฉบับก็ไม่ได้รับเลือกไป ดิฉันคงมีความประพฤติที่ดีมากไป” นางสดศรีกล่าว
นางสดศรี กล่าวถึงความคืบหน้าการส่งสำนวนของนายยงยุทธ ติยะไพรัช ประธานรัฐสภา และรองหัวหน้าพรรคพลังประชาชนว่า เจ้าหน้าที่ยังไม่ได้นำกลับมาให้ กกต.ตรวจสอบสำนวน และเซ็นลงนามทั้ง 5 คน ซึ่งขณะนี้เรื่องอยู่ที่ฝ่ายสืบสวนสอบสวน เพราะต้องปรับปรุงเนื่องจากเป็นเรื่องใหม่ที่ กกต.จะต้องทำเรื่องส่งศาล จึงอาจล่าช้า แต่ก็ต้องทำให้เรียบร้อยสมบูรณ์เพื่อไม่ให้มีการยกคำฟ้องเพราะสำนวนไม่ถูกต้อง คิดว่าใน 2 สัปดาห์นี้คงยังไม่ครบ แต่อย่างไรก็ต้องส่งภายใน 2 สัปดาห์นี้