ข่าวร้าย พปช. ประธานอนุสอบ พปช.เป็นนอมินี ทรท. แย้มสรุปผลสอบมีช่อง กม.เล่นงาน พปช.ได้ เช่นเดียวกับ "สุเมธ" เชื่อมีช่อง กม. เอาผิดได้ ขณะที่ “เจ๊สด” ออกอาการอุ้มพลังแม้วเต็มที่ ยันไม่มี กม.ใดที่ระบุนอมินีเป็นความผิด แต่กลับมีความพยายามดึง กม.ต่างประเทศมาเล่นงาน จวก 2 กกต.แสดงความเห็น บอกคดีนี้ตัดสินใจไม่อยากหากไม่มีการเมืองเกี่ยวข้อง แบะท่า พปช.มาจากเลือกตั้งในระบอบ ปชป.ไม่ควรถูกยุบ
นายไพฑูรย์ เนติโพธิ ประธานอนุกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริง กรณีพรรคพลังประชาชนเป็นนอมินีพรรคไทยรักไทย และ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรเปิดเผยว่า ขอให้สังคมอย่าสับสนกับคำว่านอมีนี เพราะเป็นถ้อยคำที่ไม่มีใช้ในกฎหมาย มีความหมาย ในเชิงการเป็นตัวแทนซื้อขายกันทางการค้า จึงเห็นด้วยกับ กกต. ว่าไม่อาจหาความผิด กับคำว่านอมีนีในกรณีของนายสมัคร สุนทรเวช และพรรคพลังประชาชน ซึ่งคณะอนุกรรมการ ฯ เองก็ไม่ได้เอาเรื่องนี้มาเป็นเกณฑ์ในการพิจารณา เราดูในเชิงพฤติกรรมว่านายสมัครและพรรคพลังประชาชนมีความเกี่ยวเนื่องสืบเนื่องกับพรรคไทยรักไทยหรือไม่
“เราดูหลักฐานกับละเอียดตั้งแต่หลังจากที่พรรคไทยรักไทยถูกตัดสินยุบพรรค คณะกรรมการบริหารพรรคถูกเพิกถอนสิทธิทางการเมือง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ซึ่งเป็นหนึ่งใน 111 กรรมการบริหารพรรคที่ถูกตัดสิทธิทางการเมือง ได้พูดส่งเสริม พรรคพลังประชาชนให้สมาชิกรวมตัวกัน กำหนดการส่งผู้สมัครให้ลงสมัครในจังหวัดใด กำหนดให้ใครเป็นหัวหน้าพรรค ซึ่งแม้แต่สมาชิกพรรคพลังประชาชขนเองก็ยังรับว่าเป็นความจริง และเชื่อกันว่าคำสั่งตัวจริงมาจากฮ่องกง จากลอนดอน ซึ่งเข้าลักษณ์ตัวแทนทางการเมือง”
นายไพฑูรย์ กล่าวว่า คณะอนุกรรมการ ฯ ได้รวบรวมรายละเอียดทั้งหมดตั้งแต่สัญลักษณ์พรรคพลังประชาชนที่ใช้ตัว “พ” ที่ใช้สีและลวดลายที่เลียนแบบตัว “ท” ของพรรคไทยรักไทย การชำระภาษีอากร การเช่าตึกที่ได้รับสิทธิพิเศษจากเจ้าของอาคารให้ใช้ฟรี นโยบายพรรคที่ลอกของพรรคไทยรักไทยมาทั้งหมด ผู้สนุนพรรคไทยรักไทยที่มาสนับสนุนพรรคพลังประชาชนต่อ เงินบริจาคพรรค ตลอดจนการจัดงานระดมทุนที่มีผู้บริจาคซ้ำรายเดิม รวมทั้งกรรมการบริหาร 111 คน ที่มาร่วมงานด้วยบางส่วน เป็นต้น ทั้งหมดนี้เป็นข้อเท็จจริงมากพอที่จะมาปรับเข้ากับกฎหมายที่มี แม้บางข้อกฎหมายอาจจะมองในมุมกว้าง แต่ตนว่าข้อเท็จจริงตรงๆ ก็น่าจะถึงความผิดตามกฎหมายที่มีอยู่
อย่างไรก็ตามนายไพฑูรย์ปฏิเสธที่จะเปิดเผยข้อกฎหมายที่คณะอนุกรรมการ ฯ ใช้ในการชี้มูลความผิด โดยอ้างว่าจะเป็นการเปิดเผยรายละเอียดเกินกว่าที่ กกต. จะอนุญาต เพียงแต่ระบุว่าอยู่ภายใต้กฎหมาย 3 ฉบับ คือรัฐธรรมนูฐ พ.ร.บ.ว่าด้วยพรรคการเมือง และ พ.ร.บ.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. และการได้มาซึ่ง ส.ว. แต่ไม่ใช่ประเด็นเรื่องการกระทำที่เป็นการทำลายล้มล้างระบอบการปกครองประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขเพราะมันกว้างเกินไป
นายไพฑูรย์ กล่าวว่าวันที่ 14 มี.ค. คณะอนุกรรมการ ฯ ชุดดังกล่าวจะมีการประชุมในช่วงเช้า 9.00 น. เพื่อหารือในการออกหนังสือเชิญ พ.ต.ท.ทักษิณ มาให้ปากคำ ซึ่งจะมี 3 แนวทางที่เตรียมรองรับไว้ คือ 1. หาก พ.ต.ท.ทักษิณตอบรับมาให้ปากคำเองก็จะมีการนัดวันเวลา 2. หาก ตอบรับว่าจะขอชี้แจงด้วยเอกสาร ซึ่งคณะกรรมการจะได้แนบหนังสือคำถามไปพร้อมกับหนังสือเชิญ และ 3. หาก ไม่ตอบรับหรือสนใจที่จะมาให้ถ้อยคำหรือส่งเอกสาร ก็จะถือว่ายุติการสอบ และส่งสำนวนให้ กกต. เพื่อพิจารณาต่อไป
นายสุเมธ อุปนิสากร กรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ด้านการมีส่วนร่วม กล่าวว่าที่ตนให้สัมภาษณ์ว่าอนุกรรมการสอบสวนการเป็นนอมินี สรุปผลการสอบสวนว่าพรรคพลังประชาชนเป็นนอมินีพรรคไทยรักไทย เพราะผลการสอบสวนของคณะอนุกรรมการฯ ได้เขียนไว้ในสำนวนว่า เป็นนอมินีจริง แต่ไม่มีกฎหมายเอาผิด ดังนั้นกกต.จึงจำเป็นต้องสอบสวนเพิ่มเติม พ.ต.ท.ทักษิณ เพื่อประกอบการพิจารณา ซึ่งเรื่องนี้ตนต้องขอชี้แจงเพื่อให้เข้าใจกันว่า เหตุใดจึงต้อง สอบเพิ่ม เพราะเดี๋ยวจะหาว่าจู่ๆ สอบสวนไม่เรียบร้อยแล้วจะสอบเพิ่มอะไรอีก
ผู้สื่อข่าวถามว่า เมื่อไม่มีกฎหมายรองรับก็ไม่สามารถเอาผิดได้ใช่หรือไม่ นายสุเมธ กล่าวว่า คิดว่ามีกฎหมายบางมาตราน่าคิดที่อาจจะนำมาประกอบได้ อย่างไรก็ตามเรื่องนี้ต้องดูพฤติการณ์ประกอบ เพราะหากลงมติอะไรไปอาจจะเป็นผลร้ายกับอดีตนายกรัฐมนตรีได้ ดังนั้นกกต.จึงเห็นควรให้ฟังข้อเท็จจริงประกอบการพิจารณา หากพ.ต.ท.ทักษิณ จะให้นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา โฆษกส่วนตัวมายื่นหนังสือชี้แจงแทนก็สามารถทำได้ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับคณะกรรมการด้วยจะเห็นอย่างไร หากคณะกรรมการพอใจเท่านั้น และพ.ต.ท.ทักษิณพอใจที่จะทำเช่นนั้น ก็ทำได้ เท่ากับว่าเราได้ขอให้ท่านมาให้การแล้ว เพราะเรื่องนี้ไม่ใช่คดีอาญา ที่สำนวนเช่นนี้จะมาให้การด้วยตัวเองหรือเป็นหนังสือก็ได้ บางทีการให้การทางหนังสืออาจจะละเอียดกว่ามาให้การด้วยตัวเองก็ได้ หากพ.ต.ท.ทักษิณทำหนังสือชี้แจง มาแล้ว ก็ไม่จำเป็นต้องขยายเวลา หรือเรียกเอกสารเพิ่ม ถือว่ามีเท่าใดเอาเท่านั้น
ด้าน นางสดศรี สัตยธรรม กกต.ด้านกิจการพรรคการเมือง กล่าวถึงผลสรุป เรื่องพรรคพลังประชาชนเป็นนอมินีไทยรักไทย ว่า ไม่สมควรที่จะเปิดเผยเพราะกกต.ยังไม่ได้วินิจฉัย และเรื่องนี้กฎหมายไม่ได้ระบุความผิดไว้ ขณะที่ตนขอไม่เปิดเผยผลสรุป ของอนุกรรมการฯ แต่คงทราบข่าวจาก กกต. 2 คน ที่ให้สัมภาษณ์ไว้ เพราะเรื่องนอมินี ไม่มีกฎหมายรองรับ และส่วนตัวก็เห็นว่าไม่มีข้อกฎหมายใดที่จะเอาผิดได้ รวมถึง ไม่สามารถที่จะนำข้อกฎหมายอื่น หรือไปดึงกฎหมายต่างประเทศที่บอกว่านอมินี เป็นความผิด มาเทียบเคียงเพื่อเอาผิดได้เช่นกัน ซึ่งอยากขอว่าอย่าพยายาม ใช้กระแสการเมืองมากดดันการวินิจฉัยของกกต. เพราะกกต.จำเป็นต้องมีความเป็นกลาง และวินิจฉัยอย่างไม่มีอคติ
“กกต.ต้องเป็นกลาง ไม่ควรเข้าข้างฝ่ายใด ซึ่งขณะนี้มี 2 ขั้วอำนาจ คือ อำนาจเก่าและอำนาจใหม่ และการพยายามเปิดเผยข้อมูลเพื่อชี้นำไม่น่าเป็นการกระทำของ กกต. และอนุกรรมการ เพราะเราต้องไม่มีคำว่าฝ่ายไหน ไม่มีฝ่ายซ้าย หรือฝ่ายขวา คิดว่าในเมื่อ กกต.ทำหน้าที่คล้ายศาลแล้ว ไม่ควรมีการชี้นำหรือมองว่าตัวเองอยู่ในขั้วอำนาจไหน กกต.ต้องยึดตัวบทกฎหมายเป็นหลัก เราจะไม่พยายาม ยึดความชอบกับไม่ชอบ ไม่มีอคติในพรรคการเมืองใดๆทั้งสิ้น ไม่ว่ากกต.หรือตุลาการ ถ้าจะพิจารณาประเด็นเรื่องใด แล้วมีอคติกับพรรคการเมืองก็ไม่น่าพูดกันขึ้นมา ต้องเป็นกลาง”
ผู้สื่อข่าวถามว่า เรื่องดังกล่าวอาจต้องยกคำร้องหรือไม่ นางสดศรีกล่าวว่า เป็นอีกประเด็นหนึ่ง หากเรื่องนี้ไม่เอาเรื่องการเมืองเข้ามาเกี่ยวข้องก็ไม่มีเรื่องอะไรที่ยากในการตัดสินใจ หรือยากในการวินิจฉัย หากจะยัดเยียดให้ผิดก็ทำได้ทั้งนั้น แต่ตนขอถามว่าเราสมควรจะมีการเลือกตั้งซ้ำไปซ้ำมา และกินเงินภาษีประชาชน เป็นจำนวนมากอย่างนั้นหรือไม่ การเลือกตั้งแต่ละครั้งใช้งบประมาณจำนวนมาก การที่จะล้มระบบประชาธิปไตยโดยที่ไม่มีข้อกฎหมายรองรับ หรือใช้ข้อกฎหมาย ที่เทียบเคียงมาล้มพรรคการเมืองใดพรรคการเมืองหนึ่ง และใช้อคติเข้ามา คิดว่า ไม่ใช่หน้าที่ของกกต.และไม่ใช่วิสัยที่กกต.พึงกระทำ
นายพีระพันธุ์ พาลุสุข ส.ส.ยโสธร พรรคพลังประชาชน พร้อมด้วยพ.ต.ท.กานต์ เทียนแก้ว ส.ส.ระบบสัดส่วน พรรคพลังประชาชน แถลงถึงกรณีที่นายสุเมธ อุปนิสากร กกต.ระบุว่า รายงานของคณะอนุกรรมการตรวจสอบพรรคพลังประชาชนเป็น นอมินี พรรคไทยรักไทยอาจจะเข้าข่ายมาตรา 94 และ 97 พ.ร.บ.พรรคการเมือง รวมทั้งระบุว่า ไม่รู้ว่าจะเอาผิดได้อย่างไรเพราะคำว่านอมินีไม่มีในกฎหมายแต่อาจมีความผิด เข้าเข้าข่ายกฎหมายมาตราอื่นว่า อยากให้ นายสุเมธ ไปดูกฎหมายพ.ร.บ.ตลาดหลักทรัพย์ซึ่งให้ความหมายว่า ถือหุ้นแทนกัน ทั้งนี้ นายสุเมธไม่ควรพูดให้สังคมเกิดความสับสน เพราะการที่ระบุว่าพรรคพลังประชาชนเป็นตัวแทนของ พรรคไทยรักไทยนั้น ขณะนี้พรรคไทยรักไทยถูกยุบไปแล้วจะมีตัวแทนได้อย่างไร ตัวการไม่มีแล้วจะมีตัวแทนได้อย่างไร ดังนั้นเมื่อไม่มีกฎหมาย ไม่มีความผิด ก็ควรจะยกคำร้องเรื่องนี้ไป ไม่ใช่มาสร้างความไขว้เขว หรือจะพยายามเอาผิดพรรคพลังประชาชนให้ได้
“กกต.พยายามจะสอบเพิ่ม พยายามจะดึงพ.ต.ท.ทักษิณ มาให้ปากคำ มายืนยัน ทั้งๆ ที่พรรคไทยรักไทยแตกไปแล้วพวกผมจึงย้ายมาอยู่พรรคพลังประชาชน ซึ่งหาก ยื้อเพื่อจะสอบต่อไปให้ได้คงมองจุดมุ่งหมายอื่นไปไม่ได้ นอกจากความพยายามจะหาเรื่องสร้างความวุ่นวายให้สังคมต่อไป”
พ.ต.ท.กานต์ กล่าวว่า กรณีที่นายสุเมธระบุว่า กรรมการบริหารพรรคที่ถูกยุบ ไม่มีสิทธิ์เป็นกรรมการบริหารพรรคที่จัดตั้งขึ้นใหม่ได้นั้น ในฐานะที่ตนเป็นอดีตประธานที่ปรึกษาพรรคพลังประชาชน ยืนยันว่าพรรคพลังประชาชนไม่ใช่พรรคใหม่ เพราะก่อตั้งมาตั้งแต่พ.ศ. 2541 มีกิจกรรมทางการเมืองอย่างต่อเนื่อง เปิดโอกาสให้ผู้ที่ประสงค์จะลงสมัครรับเลือกตั้งส.ส.ลงสมัครในนามพรรคพลังประชาชนโดยไม่เกี่ยวข้อง ใดๆ กับพรรคไทยรักไทย การที่นายสุเมธพูดลักษณะดังกล่าวเป็นการสร้าง ความวุ่นวาย ให้กับบ้านเมือง ผิดมารยาท ขอให้นายสุเมธลาออก เพราะอายุก็เกิน 70 ปีบริบูรณ์แล้วด้วย การพูดเช่นนี้จะยิ่งสร้างความสับสนให้กับสังคมเปล่าๆ
นายไพฑูรย์ เนติโพธิ ประธานอนุกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริง กรณีพรรคพลังประชาชนเป็นนอมินีพรรคไทยรักไทย และ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรเปิดเผยว่า ขอให้สังคมอย่าสับสนกับคำว่านอมีนี เพราะเป็นถ้อยคำที่ไม่มีใช้ในกฎหมาย มีความหมาย ในเชิงการเป็นตัวแทนซื้อขายกันทางการค้า จึงเห็นด้วยกับ กกต. ว่าไม่อาจหาความผิด กับคำว่านอมีนีในกรณีของนายสมัคร สุนทรเวช และพรรคพลังประชาชน ซึ่งคณะอนุกรรมการ ฯ เองก็ไม่ได้เอาเรื่องนี้มาเป็นเกณฑ์ในการพิจารณา เราดูในเชิงพฤติกรรมว่านายสมัครและพรรคพลังประชาชนมีความเกี่ยวเนื่องสืบเนื่องกับพรรคไทยรักไทยหรือไม่
“เราดูหลักฐานกับละเอียดตั้งแต่หลังจากที่พรรคไทยรักไทยถูกตัดสินยุบพรรค คณะกรรมการบริหารพรรคถูกเพิกถอนสิทธิทางการเมือง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ซึ่งเป็นหนึ่งใน 111 กรรมการบริหารพรรคที่ถูกตัดสิทธิทางการเมือง ได้พูดส่งเสริม พรรคพลังประชาชนให้สมาชิกรวมตัวกัน กำหนดการส่งผู้สมัครให้ลงสมัครในจังหวัดใด กำหนดให้ใครเป็นหัวหน้าพรรค ซึ่งแม้แต่สมาชิกพรรคพลังประชาชขนเองก็ยังรับว่าเป็นความจริง และเชื่อกันว่าคำสั่งตัวจริงมาจากฮ่องกง จากลอนดอน ซึ่งเข้าลักษณ์ตัวแทนทางการเมือง”
นายไพฑูรย์ กล่าวว่า คณะอนุกรรมการ ฯ ได้รวบรวมรายละเอียดทั้งหมดตั้งแต่สัญลักษณ์พรรคพลังประชาชนที่ใช้ตัว “พ” ที่ใช้สีและลวดลายที่เลียนแบบตัว “ท” ของพรรคไทยรักไทย การชำระภาษีอากร การเช่าตึกที่ได้รับสิทธิพิเศษจากเจ้าของอาคารให้ใช้ฟรี นโยบายพรรคที่ลอกของพรรคไทยรักไทยมาทั้งหมด ผู้สนุนพรรคไทยรักไทยที่มาสนับสนุนพรรคพลังประชาชนต่อ เงินบริจาคพรรค ตลอดจนการจัดงานระดมทุนที่มีผู้บริจาคซ้ำรายเดิม รวมทั้งกรรมการบริหาร 111 คน ที่มาร่วมงานด้วยบางส่วน เป็นต้น ทั้งหมดนี้เป็นข้อเท็จจริงมากพอที่จะมาปรับเข้ากับกฎหมายที่มี แม้บางข้อกฎหมายอาจจะมองในมุมกว้าง แต่ตนว่าข้อเท็จจริงตรงๆ ก็น่าจะถึงความผิดตามกฎหมายที่มีอยู่
อย่างไรก็ตามนายไพฑูรย์ปฏิเสธที่จะเปิดเผยข้อกฎหมายที่คณะอนุกรรมการ ฯ ใช้ในการชี้มูลความผิด โดยอ้างว่าจะเป็นการเปิดเผยรายละเอียดเกินกว่าที่ กกต. จะอนุญาต เพียงแต่ระบุว่าอยู่ภายใต้กฎหมาย 3 ฉบับ คือรัฐธรรมนูฐ พ.ร.บ.ว่าด้วยพรรคการเมือง และ พ.ร.บ.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. และการได้มาซึ่ง ส.ว. แต่ไม่ใช่ประเด็นเรื่องการกระทำที่เป็นการทำลายล้มล้างระบอบการปกครองประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขเพราะมันกว้างเกินไป
นายไพฑูรย์ กล่าวว่าวันที่ 14 มี.ค. คณะอนุกรรมการ ฯ ชุดดังกล่าวจะมีการประชุมในช่วงเช้า 9.00 น. เพื่อหารือในการออกหนังสือเชิญ พ.ต.ท.ทักษิณ มาให้ปากคำ ซึ่งจะมี 3 แนวทางที่เตรียมรองรับไว้ คือ 1. หาก พ.ต.ท.ทักษิณตอบรับมาให้ปากคำเองก็จะมีการนัดวันเวลา 2. หาก ตอบรับว่าจะขอชี้แจงด้วยเอกสาร ซึ่งคณะกรรมการจะได้แนบหนังสือคำถามไปพร้อมกับหนังสือเชิญ และ 3. หาก ไม่ตอบรับหรือสนใจที่จะมาให้ถ้อยคำหรือส่งเอกสาร ก็จะถือว่ายุติการสอบ และส่งสำนวนให้ กกต. เพื่อพิจารณาต่อไป
นายสุเมธ อุปนิสากร กรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ด้านการมีส่วนร่วม กล่าวว่าที่ตนให้สัมภาษณ์ว่าอนุกรรมการสอบสวนการเป็นนอมินี สรุปผลการสอบสวนว่าพรรคพลังประชาชนเป็นนอมินีพรรคไทยรักไทย เพราะผลการสอบสวนของคณะอนุกรรมการฯ ได้เขียนไว้ในสำนวนว่า เป็นนอมินีจริง แต่ไม่มีกฎหมายเอาผิด ดังนั้นกกต.จึงจำเป็นต้องสอบสวนเพิ่มเติม พ.ต.ท.ทักษิณ เพื่อประกอบการพิจารณา ซึ่งเรื่องนี้ตนต้องขอชี้แจงเพื่อให้เข้าใจกันว่า เหตุใดจึงต้อง สอบเพิ่ม เพราะเดี๋ยวจะหาว่าจู่ๆ สอบสวนไม่เรียบร้อยแล้วจะสอบเพิ่มอะไรอีก
ผู้สื่อข่าวถามว่า เมื่อไม่มีกฎหมายรองรับก็ไม่สามารถเอาผิดได้ใช่หรือไม่ นายสุเมธ กล่าวว่า คิดว่ามีกฎหมายบางมาตราน่าคิดที่อาจจะนำมาประกอบได้ อย่างไรก็ตามเรื่องนี้ต้องดูพฤติการณ์ประกอบ เพราะหากลงมติอะไรไปอาจจะเป็นผลร้ายกับอดีตนายกรัฐมนตรีได้ ดังนั้นกกต.จึงเห็นควรให้ฟังข้อเท็จจริงประกอบการพิจารณา หากพ.ต.ท.ทักษิณ จะให้นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา โฆษกส่วนตัวมายื่นหนังสือชี้แจงแทนก็สามารถทำได้ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับคณะกรรมการด้วยจะเห็นอย่างไร หากคณะกรรมการพอใจเท่านั้น และพ.ต.ท.ทักษิณพอใจที่จะทำเช่นนั้น ก็ทำได้ เท่ากับว่าเราได้ขอให้ท่านมาให้การแล้ว เพราะเรื่องนี้ไม่ใช่คดีอาญา ที่สำนวนเช่นนี้จะมาให้การด้วยตัวเองหรือเป็นหนังสือก็ได้ บางทีการให้การทางหนังสืออาจจะละเอียดกว่ามาให้การด้วยตัวเองก็ได้ หากพ.ต.ท.ทักษิณทำหนังสือชี้แจง มาแล้ว ก็ไม่จำเป็นต้องขยายเวลา หรือเรียกเอกสารเพิ่ม ถือว่ามีเท่าใดเอาเท่านั้น
ด้าน นางสดศรี สัตยธรรม กกต.ด้านกิจการพรรคการเมือง กล่าวถึงผลสรุป เรื่องพรรคพลังประชาชนเป็นนอมินีไทยรักไทย ว่า ไม่สมควรที่จะเปิดเผยเพราะกกต.ยังไม่ได้วินิจฉัย และเรื่องนี้กฎหมายไม่ได้ระบุความผิดไว้ ขณะที่ตนขอไม่เปิดเผยผลสรุป ของอนุกรรมการฯ แต่คงทราบข่าวจาก กกต. 2 คน ที่ให้สัมภาษณ์ไว้ เพราะเรื่องนอมินี ไม่มีกฎหมายรองรับ และส่วนตัวก็เห็นว่าไม่มีข้อกฎหมายใดที่จะเอาผิดได้ รวมถึง ไม่สามารถที่จะนำข้อกฎหมายอื่น หรือไปดึงกฎหมายต่างประเทศที่บอกว่านอมินี เป็นความผิด มาเทียบเคียงเพื่อเอาผิดได้เช่นกัน ซึ่งอยากขอว่าอย่าพยายาม ใช้กระแสการเมืองมากดดันการวินิจฉัยของกกต. เพราะกกต.จำเป็นต้องมีความเป็นกลาง และวินิจฉัยอย่างไม่มีอคติ
“กกต.ต้องเป็นกลาง ไม่ควรเข้าข้างฝ่ายใด ซึ่งขณะนี้มี 2 ขั้วอำนาจ คือ อำนาจเก่าและอำนาจใหม่ และการพยายามเปิดเผยข้อมูลเพื่อชี้นำไม่น่าเป็นการกระทำของ กกต. และอนุกรรมการ เพราะเราต้องไม่มีคำว่าฝ่ายไหน ไม่มีฝ่ายซ้าย หรือฝ่ายขวา คิดว่าในเมื่อ กกต.ทำหน้าที่คล้ายศาลแล้ว ไม่ควรมีการชี้นำหรือมองว่าตัวเองอยู่ในขั้วอำนาจไหน กกต.ต้องยึดตัวบทกฎหมายเป็นหลัก เราจะไม่พยายาม ยึดความชอบกับไม่ชอบ ไม่มีอคติในพรรคการเมืองใดๆทั้งสิ้น ไม่ว่ากกต.หรือตุลาการ ถ้าจะพิจารณาประเด็นเรื่องใด แล้วมีอคติกับพรรคการเมืองก็ไม่น่าพูดกันขึ้นมา ต้องเป็นกลาง”
ผู้สื่อข่าวถามว่า เรื่องดังกล่าวอาจต้องยกคำร้องหรือไม่ นางสดศรีกล่าวว่า เป็นอีกประเด็นหนึ่ง หากเรื่องนี้ไม่เอาเรื่องการเมืองเข้ามาเกี่ยวข้องก็ไม่มีเรื่องอะไรที่ยากในการตัดสินใจ หรือยากในการวินิจฉัย หากจะยัดเยียดให้ผิดก็ทำได้ทั้งนั้น แต่ตนขอถามว่าเราสมควรจะมีการเลือกตั้งซ้ำไปซ้ำมา และกินเงินภาษีประชาชน เป็นจำนวนมากอย่างนั้นหรือไม่ การเลือกตั้งแต่ละครั้งใช้งบประมาณจำนวนมาก การที่จะล้มระบบประชาธิปไตยโดยที่ไม่มีข้อกฎหมายรองรับ หรือใช้ข้อกฎหมาย ที่เทียบเคียงมาล้มพรรคการเมืองใดพรรคการเมืองหนึ่ง และใช้อคติเข้ามา คิดว่า ไม่ใช่หน้าที่ของกกต.และไม่ใช่วิสัยที่กกต.พึงกระทำ
นายพีระพันธุ์ พาลุสุข ส.ส.ยโสธร พรรคพลังประชาชน พร้อมด้วยพ.ต.ท.กานต์ เทียนแก้ว ส.ส.ระบบสัดส่วน พรรคพลังประชาชน แถลงถึงกรณีที่นายสุเมธ อุปนิสากร กกต.ระบุว่า รายงานของคณะอนุกรรมการตรวจสอบพรรคพลังประชาชนเป็น นอมินี พรรคไทยรักไทยอาจจะเข้าข่ายมาตรา 94 และ 97 พ.ร.บ.พรรคการเมือง รวมทั้งระบุว่า ไม่รู้ว่าจะเอาผิดได้อย่างไรเพราะคำว่านอมินีไม่มีในกฎหมายแต่อาจมีความผิด เข้าเข้าข่ายกฎหมายมาตราอื่นว่า อยากให้ นายสุเมธ ไปดูกฎหมายพ.ร.บ.ตลาดหลักทรัพย์ซึ่งให้ความหมายว่า ถือหุ้นแทนกัน ทั้งนี้ นายสุเมธไม่ควรพูดให้สังคมเกิดความสับสน เพราะการที่ระบุว่าพรรคพลังประชาชนเป็นตัวแทนของ พรรคไทยรักไทยนั้น ขณะนี้พรรคไทยรักไทยถูกยุบไปแล้วจะมีตัวแทนได้อย่างไร ตัวการไม่มีแล้วจะมีตัวแทนได้อย่างไร ดังนั้นเมื่อไม่มีกฎหมาย ไม่มีความผิด ก็ควรจะยกคำร้องเรื่องนี้ไป ไม่ใช่มาสร้างความไขว้เขว หรือจะพยายามเอาผิดพรรคพลังประชาชนให้ได้
“กกต.พยายามจะสอบเพิ่ม พยายามจะดึงพ.ต.ท.ทักษิณ มาให้ปากคำ มายืนยัน ทั้งๆ ที่พรรคไทยรักไทยแตกไปแล้วพวกผมจึงย้ายมาอยู่พรรคพลังประชาชน ซึ่งหาก ยื้อเพื่อจะสอบต่อไปให้ได้คงมองจุดมุ่งหมายอื่นไปไม่ได้ นอกจากความพยายามจะหาเรื่องสร้างความวุ่นวายให้สังคมต่อไป”
พ.ต.ท.กานต์ กล่าวว่า กรณีที่นายสุเมธระบุว่า กรรมการบริหารพรรคที่ถูกยุบ ไม่มีสิทธิ์เป็นกรรมการบริหารพรรคที่จัดตั้งขึ้นใหม่ได้นั้น ในฐานะที่ตนเป็นอดีตประธานที่ปรึกษาพรรคพลังประชาชน ยืนยันว่าพรรคพลังประชาชนไม่ใช่พรรคใหม่ เพราะก่อตั้งมาตั้งแต่พ.ศ. 2541 มีกิจกรรมทางการเมืองอย่างต่อเนื่อง เปิดโอกาสให้ผู้ที่ประสงค์จะลงสมัครรับเลือกตั้งส.ส.ลงสมัครในนามพรรคพลังประชาชนโดยไม่เกี่ยวข้อง ใดๆ กับพรรคไทยรักไทย การที่นายสุเมธพูดลักษณะดังกล่าวเป็นการสร้าง ความวุ่นวาย ให้กับบ้านเมือง ผิดมารยาท ขอให้นายสุเมธลาออก เพราะอายุก็เกิน 70 ปีบริบูรณ์แล้วด้วย การพูดเช่นนี้จะยิ่งสร้างความสับสนให้กับสังคมเปล่าๆ