“บรรเจิด” ดันอนุฯดับเพลิงเคาะสัญญาซื้อขายโมฆะ หวังเยียวยาความเสียหายหลัง กทม.จ่ายเงินค่างวดไปแล้ว ขณะที่ “แก้วสรร” ลั่นมีหลักฐานมัด “แม้ว” เอื้อพวกพ้องแน่น พร้อมจ้องตัดพยาน 13 มี.ค.นี้ เมินแก้ข้อกล่าวหาลั่นประเด็นเดิม
วันนี้ (7 มี.ค.) นายนาม ยิ้มแย้ม ประธานคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) ในฐานะประธานคณะอนุกรรมการไต่สวนคดีการจัดซื้อรถดับเพลิงกทม.เปิดเผยถึงความคืบหน้าในคดีดังกล่าว ว่า คณะอนุกรรมการไต่สวนฯ ได้พิจารณาเรื่องสัญญาในโครงการนี้ไปแล้ว แต่ไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดได้
นายบรรเจิด สิงคะเนติ กรรมการ คตส.ในฐานะคณะอนุกรรมการไต่สวนคดีการจัดซื้อรถดับเพลิง กล่าวว่า คณะอนุกรรมการไต่สวนฯ ได้พิจารณาเกี่ยวกับเรื่องความผิดถูกของสัญญาโดยสรุปได้ในระดับหนึ่งแล้ว แต่ถือเป็นเรื่องภายใน จึงไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดได้ และยังไม่สามารถเสนอให้ คตส.ชุดใหญ่พิจารณาได้ในวันจันทร์ที่ 10 มีนาคมนี้ เนื่องจากต้องมีการชี้มูลความผิดของผู้เกี่ยวข้องทั้งหมดก่อน แต่ยืนยันได้ว่า คดีนี้จะสามารถสรุปได้แล้วเสร็จภายในเร็วๆ นี้แน่นอน โดยจะมีการเสนอเข้าไปเป็นแพกเกจพร้อมๆ กัน
เมื่อถามว่า หากสัญญาเป็นโมฆะจะเกิดผลกระทบอย่างไร นายบรรเจิด กล่าวว่า ยังบอกไม่ได้ แต่ความผิดทุกอย่างขึ้นอยู่การกระทำของแต่ละคน
มีรายงานข่าวจากอนุกรรมการไต่สวนฯคดีดังกล่าว ว่า ล่าสุด เมื่อวันที่ 6 มีนาคม ที่ผ่านมา นายบรรเจิด ได้เสนอให้ที่ประชุมได้พิจารณาเกี่ยวกับความถูกต้องของสัญญาที่เกี่ยวข้องในการดำเนินงานโครงการนี้ โดยเบื้องต้นที่ประชุม ได้มีการลงมติ ว่า สัญญาที่เกิดขึ้น ทั้งในส่วนของ เอโอยู และสัญญาซื้อขายรถ-เรือดับเพลิง มีลักษณะการดำเนินงานที่ไม่ถูกต้อง ทั้งในจุดเริ่มต้น รวมถึงการดำเนินการ จึงเห็นสมควรให้สัญญาเหล่านี้ เป็นโมฆะ อย่างไรก็ตาม ซึ่งคณะอนุกรรมการไต่สวนฯจะนำความเห็นส่วนนี้ เข้าที่ประชุม คตส.เพื่อให้พิจารณาว่าจะเห็นชอบตามความเห็นของคณะอนุฯ ไต่สวนหรือไม่อีกครั้งหนึ่ง
ข่าวแจ้งว่า ในวันอังคารที่ 11 มีนาคม คณะอนุกรรมการไต่สวนฯ จะมีการประชุมเพื่อพิจารณาว่ามีบุคคลใดบ้างที่จะต้องมีส่วนรับผิดชอบเกี่ยวกับการดำเนินงานในเรื่องของสัญญาที่ไม่ถูกต้อง โดยจะพิจารณาทั้งฝ่ายของไทย และต่างประเทศด้วย ซึ่งหากได้ผลสรุปที่ชัดเจนก็จะมีการนำเสนอให้ที่ประชุม คตส.ชุดใหญ่ พิจารณาลงมติพร้อมกับพิจารณาเกี่ยวกับความถูกต้องของสัญญาด้วย ทั้งนี้ หลังจากที่ คตส.มีมติชี้มูลผู้เกี่ยวข้องจำนวน 5 ราย ซึ่งมี นายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม ร่วมเป็นหนึ่งในผู้ถูกกล่าวหาด้วยนั้น ขณะนี้คณะอนุกรรมการไต่สวนฯ กำลังอยู่ระหว่างการพิจารณาข้อมูลเกี่ยวกับบุคคลที่เกี่ยวข้องในโครงการนี้ อีก 3 ราย คือ นายวัฒนา เมืองสุข อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ คุณหญิงณฐนนท ทวีสิน อดีตปลัด กทม.และนายอภิรักษ์ โกษะโยธิน ผู้ว่าฯกทม.คนปัจจุบัน ซึ่งขณะนี้ได้มีการพิจารณาข้อมูลในส่วนของ คุณหญิงณฐนนท และ นายอภิรักษ์ ไปแล้ว เหลือเพียงแค่ในส่วนของ นายวัฒนา เมืองสุข เท่านั้น
รายงานข่าวระบุว่า ก่อนหน้านี้ นายนาม ได้เคยนำเรื่องหารือกับที่ประชุม คตส.เพื่อให้มีมติชี้มูลผู้เกี่ยวข้อง แต่ปรากฏว่า ที่ประชุมไม่เห็นด้วย และสั่งให้กลับไปสอบใหม่ เนื่องจากไม่มีการพิจารณาเรื่องสัญญาการซื้อขายและเอโอยูว่าถูกต้องหรือไม่ และใครควรเป็นผู้รับผิดชอบ โดย คตส.ตั้งข้อสังเกตประเด็นหนึ่งว่า ทูตออสเตรียที่เข้ามาติดต่อขายรถดับเพลิง ไม่มีหนังสือแต่งตั้งมาจากรัฐบาลออสเตรีย แล้วจะมาอ้างว่าเป็นตัวแทนจากออสเตรียได้อย่างไร ดังนั้น การสอบจะต้องทำอย่างรอบด้าน โดยเฉพาะจะไล่เอาผิดเฉพาะคนไทยเพียงฝ่ายเดียวไม่ได้ ทำให้ นายนาม ต้องล่าถอยออกมา และ นายบรรเจิด รับลูกนำสัญญาไปศึกษา และเสนอเข้าที่ประชุมอนุกรรมการในครั้งนี้ ซึ่งการที่สัญญาเป็นโมฆะจะสามารถเยียวยาความเสียหายที่ กทม.ได้จ่ายเงินค่างวดไปแล้วด้วย
ขณะที่ นายแก้วสรร อติโพธิ กรรมการ คตส.ในฐานะอนุกรรมการไต่สวนกรณี พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ออกนโยบายเอื้อประโยชน์ให้กับตนเอง ครอบครัว และพวกพ้องเปิดเผยภายหลังการประชุม ว่า ที่ประชุมได้มีการหารือเกี่ยวกับคำชี้แจงแก้ข้อกล่าวหาของ พ.ต.ท.ทักษิณ โดยที่ประชุมได้มีการแบ่งประเด็นข้อต่อสู้ของ พ.ต.ท.ทักษิณ ให้คณะทำงานไปศึกษาเป็นรายประเด็น ส่วนที่มีการอ้างพยานถึง 100 ปาก อนุกรรมการไต่สวนจะมีการประชุมอีกครั้งในวันพฤหัสบดีที่ 13 มีนาคม เพื่อพิจารณาความสอดคล้องของพยานกับหลักฐานว่าจำเป็นต้องสอบเพิ่มทั้ง 100 คนหรือไม่ หากจำเป็นต้องสอบทั้งหมดก็ต้องสอบ อาจจะเร่งสอบวันละ 5 ปาก หากไม่เกี่ยวข้องจริงก็จำเป็นต้องตัด เพราะเบื้องต้นเห็นว่าหลายคนอาจจะไม่มีส่วนเกี่ยวข้องด้วย ไม่ใช่ว่าอยากรู้เรื่องอะไรแล้วไปถามคนนั้นคนนี้แล้วก็ให้คำตอบไม่ได้เหมือนที่ผ่านมา อย่างนี้ไม่เอา ต้องเอาเฉพาะผู้ที่มีส่วนรู้เห็น และจะให้คำตอบได้อย่างชัดเจนเท่านั้น
เมื่อถามว่า พ.ต.ท.ทักษิณ อ้างว่า คตส.ไม่มีหลักฐานชัดเจน เรื่องการถือครองหุ้นหลังเป็นนายกฯ โดยยืนยันได้โอนหุ้นให้ลูกหมดแล้วก่อนเป็นนายกรัฐมนตรี นายแก้วสรร ตอบว่า “คุณรู้ได้อย่างไรว่าผมไม่มี เขาเป็นถึงระดับนายกรัฐมนตรี ถ้าไม่มีหลักฐานคงไม่ได้”
เมื่อถามอีกว่า มีการอ้างพยานถึง 100 ปาก ในคดีการออก พ.ร.ก.ภาษีสรรพสามิต คตส.จะสอบทันหรือไม่ นายแก้วสรร กล่าวว่า ต้องดูที่ประเด็นว่า คตส.ได้ตรวจสอบว่า พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นนายกรัฐมนตรีของไทย และเป็นเจ้าของบริษัท ชิน คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ที่ดำเนินธุรกิจสัมปทานเกี่ยวกับกิจการโทรคมนาคมหรือไม่ เมื่อเจ้าของเป็นนายกรัฐมนตรี ได้มีการสั่งหรือให้นโยบายเพื่อออก พ.ร.ก.นี้หรือไม่ นายกรัฐมนตรีเป็นผู้ริเริ่มจริงหรือไม่ คตส.ไม่ได้บอกว่า พ.ร.ก.ดังกล่าวเป็นกฎหมายเถื่อน แต่ดูที่ว่าผลของการออกกฎหมายดังกล่าวมีการทุจริตเชิงนโยบายหรือไม่ หรือมีผลประโยชน์กับใคร หากพยานทั้ง 100 ปากตอบไม่ชัดเจนก็อาจจะถูกตัดทิ้งทั้งหมดเลยก็ได้ ส่วนที่ทีมทนายอ้างว่า คตส.ไม่มีอำนาจ เพราะรัฐธรรมนูญประกาศใช้แล้วนั้น คงต้องไปต่อสู้กันในชั้นศาล