กกต.พอใจประชาชนออกมาใช้สิทธิเลือก ส.ว.55.61 เปอร์เซ็นต์ เผยมีร้องเรียนแค่ 30 เรื่อง เตรียมทยอยประกาศรับรองภายใน 11 มี.ค.นี้ เพื่อให้ทันการประชุมเพื่อเลือกประธานวุฒิสภา หลังจากว่างลงเมื่อ สนช.พ้นจากการทำหน้าที่
วันนี้ (3 มี.ค.) นายประพันธ์ นัยโกวิท กรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ด้านบริหารการเลือกตั้ง กล่าวแสดงความพอใจที่มีประชาชนออกมาใช้สิทธิเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) กว่า 57 เปอร์เซ็นต์ หรือประมาณ 25 ล้านคน ซึ่งเป็นตัวเลขที่ใกล้เคียงกับการออกเสียงประชามติรับร่างรัฐธรรมนูญ โดยเหตุที่ประชาชนออกมาใช้สิทธิเลือกตั้งน้อย อาจเพราะได้ออกมาใช้สิทธิเลือกตั้ง ส.ส.ไปแล้ว รวมทั้งมีการเลือกตั้งท้องถิ่นในหลายจังหวัดหลายครั้ง
อย่างไรก็ดี นายประพันธ์ กล่าวว่า มีหลายพื้นที่มีตัวเลขของผู้มาใช้สิทธิมาก อย่างเชียงใหม่ ใช้สิทธิเกินกว่า 70 เปอร์เซ็นต์ ขณะที่บางจังหวัดก็มีผู้มาใช้สิทธิเกิน 80 เปอร์เซ็นต์ ส่วนตัวเลขของผู้ไม่ประสงค์จะลงคะแนน หรือโนโหวต ที่มีกว่า 2 ล้านคน หรือประมาณ 6 เปอร์เซ็นต์นั้นอาจเพราะประชาชนไม่รู้จักผู้สมัคร จึงไม่รู้จะลงคะแนนให้ใคร สำหรับจำนวนบัตรเสียที่มีกว่า 3 เปอร์เซ็นต์ที่ถือว่าเป็นตัวเลขที่มากกว่าจำนวนบัตรเสียในการเลือกตั้ง ส.ส.ครั้งที่ผ่านมาที่มีกว่า 2.5 เปอร์เซ็นต์นั้น โดยบัตรเสียส่วนใหญ่เกิดจากที่ประชาชนกากบาทให้กับผู้สมัครที่ถูกตัดสิทธิก่อนการเลือกตั้ง
นายประพันธ์ กล่าวว่า กกต.คงไม่สามารถรับรองผลการเลือกตั้งอย่างเป็นทางการได้ภายในวันเดียวกันนี้ แต่จะเร่งพิจารณาสำหรับบุคคลที่ไม่มีเรื่องร้องคัดค้าน คาดว่าจะสามารถรับรองส.ว.ได้ไม่เกินวันที่ 11 มี.ค. เพื่อให้ครบองค์ประกอบ 95 เปอร์เซ็นต์ ตามที่รัฐธรรมนูญกำหนดเพื่อให้เปิดประชุมวุฒิสภาได้
ด้าน นายสมชัย จึงประเสริฐ กกต.ด้านสืบสวนสอบสวน กล่าวทำนองเดียวกันว่า พอใจกับการออกมาใช้สิทธิของประชาชน แม้จะไม่ถึงเป้าที่กำหนดไว้ 70 เปอร์เซ็นต์ ทั้งนี้ มองว่า การที่ประชาชนออกมาใช้สิทธิน้อย เพราะ ส.ว.มีความแตกต่างจาก ส.ส.ที่มีความใกล้ตัวประชาชนมากกว่า อีกทั้งการเลือกตั้ง ส.ส.มีพรรคการเมืองมาคอยกระตุ้นให้ประชาชนออกมาใช้สิทธิ์ลงคะแนน รวมทั้งมีการแข่งขันกันค่อนข้างสูง แต่การเลือกตั้ง ส.ว.เป็นพื้นที่ใหญ่การหาเสียงจึงเป็นไปอย่างยากลำบาก
ส่วนตัวเลขผู้ไม่ประสงค์ลงคะแนน หรือโนโหวต ที่มีกว่า 2 ล้านเสียงนั้น ก็แปลว่าประชาชนไม่รู้จะเลือกใคร ซึ่ง กกต.ก็จะนำปัญหานี้มาแก้ไขในอนาคต อย่างไรก็ตาม กกต.จะเร่งพิจารณาบุคคลที่ไม่มีเรื่องร้องเรียนให้เร็วที่สุด ซึ่งกกต.ก็ยังตั้งพนักงานสอบสวนที่มาจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) ที่ได้ผ่านการอบรมมาแล้วมาช่วยทำสำนวนจังหวัดละ 6 คน โดยแบ่งออกเป็น 2 ทีมประจำอยู่ในทุกจังหวัด ทั้งนี้ เพื่อให้การสอบสวนเป็นไปอย่างรอบคอบที่สุด
นายอภิชาต สุขัคคานนท์ ประธาน กกต.แถลงปิดศูนย์การเลือกตั้ง ส.ว.โดยกล่าวว่า เนื่องจากขณะนี้ได้รับรายงานผลอย่างเป็นทางการจาก ผอ.การเลือกตั้งประจำจังหวัดครบทุกจังหวัดแล้ว ซึ่งขอขอบคุณเจ้าหน้าที่ทุกส่วนราชการ นักเรียน นิสิต นักศึกษา ที่ช่วยสนับสนุนการเลือกตั้ง ส.ว.ครั้งนี้ ซึ่งการที่ประชาชนออกมาใช้สิทธิถึง 55.6 เปอร์เซ็นต์ รู้สึกพอใจ เพราะแสดงว่าประชาชนให้ความสนใจการเลือกตั้งและเชื่อใจ กกต.
“ผมถือว่าทุกเสียงในการเลือกตั้งครั้งนี้บริสุทธิ์ อาจจะมีบ้างที่บางคนอาจจะพยายามซื้อเสียง ถ้าคนออกมาใช้สิทธิน้อยก็จะมีผล แต่นี่ประชาชนออกมาใช้สิทธิมากก็ช่วยขจัดเรื่องนี้ไปได้ และการเลือกตั้งครั้งนี่ก็มีเรื่องร้องเรียนน้อยเมื่อเทียบกับการเลือกตั้ง ส.ส.โดยมีเพียง 30 เรื่อง ขณะนี้จึงถือว่าเราจัดการเลือกตั้งครบสมบรณ์แบบทั้งการเลือตกั้งส.ส.และส.ว.แล้ว ซึ่งคนที่ไม่มีเรื่องร้องเรียนกกต.จะพิจารณารับรองให้แล้วเสร็จภายใน 7 วันทำการนับจากวันเลือกตั้งคือภายในวันที่ 11 มี.ค.ส่วนที่มีเรื่องร้องคัดค้านก็จะพิจารณาให้แล้วเสร็จภายใน 30 วันนับแต่วันเลือกตั้ง”
สำหรับสถิติการใช้สิทธิเลือกตั้ง ส.ว.จากจำนวนผู้มีสิทธิเลือกตั้งทั้งสิ้น 44,911,254 คน ออกมาใช้สิทธิจำนวน 24,976,472 คน คิดเป็น 55.61 เปอร์เซ็นต์ บัตรดี 21,983,000 บัตร คิดเป็น 88.01 เปอร์เซ็นต์ บัตรเสีย 914,229 บัตร คิดเป็น 3.66 เปอร์เซ็นต์ บัตรไม่ประสงค์ลงคะแนน 2,079,254 บัตร คิดเป็น 8.33 เปอร์เซ็นต์
นายอภิชาต ยังกล่าวด้วยว่า ผู้ที่ได้รับเลือกตั้งเป็น ส.ว.แม้ส่วนตัวจะไม่รู้จักทั้งหมด แต่ดูจากการที่ประชาชนเลือกตั้งเข้ามาแล้วคิดว่าน่าเป็นคนที่สามารถทำงานในหน้าที่ส.ว.ได้ดี ส่วนที่นายประพันธ์ เสนอว่าควรมีการแก้ไข ยกเลิกการห้ามจำหน่าย จ่ายแจก สุรา ในช่วงเลือกตั้งว่า ส่วนตัวเห็นด้วยกับข้อห้ามที่บังคับใช้ในปัจจุบัน แต่การห้ามมีทั้งผลดี ผลเสีย โดยส่วนหนึ่งก็ต้องเห็นใจคนดื่มสุราเป็นอาจิน อย่างไรก็ตาม ก่อนปรับแก้เรื่องนี้ควรมีการพิจารณาอย่างละเอียดรอบคอบ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากสถิติการใช้สิทธิเลือกตั้ง ส.ว.ในแต่ละจังหวัด พบว่า 3 จังหวัดแรกที่มีผู้มาใช้สิทธิมากที่สุด ได้แก่ ลำพูน 79.58 เปอร์เซ็นต์ สิงห์บุรี 77.79 เปอร์เซ็นต์ พัทลุง 72.23 เปอร์เซ็นต์ ส่วน 3 จังหวัดที่มีผู้มาใช้สิทธิน้อยสุด ได้แก่ กทม.40.05 เปอร์เซ็นต์ สมุทรปราการ 40.11 เปอร์เซ็นต์ และ ชลบุรี 44.11 เปอร์เซ็นต์
/0110
