“สมัคร” บ่นตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมาภารกิจหนัก อวดอ้างสื่อญี่ปุ่นสนใจการเมืองไทย ด่าสื่อมวลชนทำหน้าที่บิดเบี้ยว ปิดท้ายขออภัยเหตุนักข่าวรอถาม นายกฯ นอมินีโบ้ยประชุมกลาโหมเครียด
วันนี้ (2 มี.ค.) นายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี กล่าวในรายการ “สนทนาประสาสมัคร” ว่า ท่านเจ้าคุณท่านผู้ช่วยวัดสุทัศนเทพวราราม (พระพิพิธธรรมสุนทร) ได้เชิญชวนประชาชนไปใช้สิทธิเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) แล้ว ดังนั้น ตนก็ขอชวนเชิญประชาชนไปใช้สิทธิ ซึ่งวันที่ 28 ก.พ.ที่ผ่านมาได้ไปประชุมสภากลาโหม (28 ก.พ.) และบอกให้กำลังพลทั้งหมดไปใช้สิทธิ แต่ไม่มีการเมืองเกี่ยวข้อง เพราะใครจะลงใครตามใจชอบ
นายสมัคร กล่าวถึงภารกิจรอบสัปดาห์ที่ผ่านมาว่า สัปดาห์ก่อนนี้ภาคธุรกิจจากประเทศญี่ปุ่น 16 บริษัทเข้ามาพบตน รวมทั้งสมาชิกสภาคองเกรสแมนจากสหรัฐอเมริกาก็เข้ามาเยี่ยมคารวะ โดยเฉพาะเอกอัคราชฑูตญี่ปุ่นประจำประเทศไทยแจ้งว่ามีสื่อมวลชนทั้งหนังสือพิมพ์ โทรทัศน์ 17 แห่งของญี่ปุ่นขอเข้าพบ ซึ่งตนก็อนุญาตให้เข้าพบ
ทั้งนี้ ทางญี่ปุ่นแสดงความสนใจเรื่องการเข้ามาให้ความร่วมมือพัฒนาลุ่มแม่น้ำโขง 6 ประเทศ ซึ่งเดือนหน้า (มี.ค.) ตนจะเดินทางไปร่วมประชุมเรื่องเกี่ยวกับประเทศในลุ่มแม่น้ำโขง 6 ประเทศ ซึ่งประเทศญี่ปุ่นสนใจที่จะมาช่วยเหลือ เพราะที่ผ่านมาจากการประชุม 3 ประเทศรัฐบาลญี่ปุ่นก็ช่วยมา 20 ล้านเหรียญสหรัฐ แต่ที่น่าประหลาดใจ ผู้สื่อข่าวญี่ปุ่นกลับสนใจปัญหาการเมืองในประเทศไทยอย่างยิ่ง โดยตนต้องตนคำถามถึง 1 ชั่วโมง 15 นาที
นายสมัคร กล่าวว่า ขณะเดียวกัน พลเรือเอก Timothy Keating ผู้บัญชาการกองกำลังสหรัฐฯ ภาคพื้นแปซิฟิก ได้เข้าพบตนที่ทำเนียบ ซึ่งตนเข้าใจว่าจะเป็นผู้บัญชาการกองทัพเรือที่ 7 แต่ ผบ.คนนี้ใหญ่กว่ากองทัพเรือที่ 7 คือคุมกองกำลังภาคพื้นแปซิฟิกทั้งหมด ได้เดินทางมาเยี่ยมคารวะในฐานะที่ตนเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เพื่อหารือในเรื่องอาวุธยุทธภัณฑ์ โดยเฉพาะเรือรบ ที่เขาเล่าให้ฟังว่าขอให้ประเทศไทยส่งเรือรบที่เขาอยากได้กลับคืนไปยังสหรัฐฯ ได้แก่ เรือรบหลวงนาคา ความจุ 400 ตัน เพราะเป็นเรือสำหรับช่วยยิงข้ามเวลาที่ยกพลขึ้นบก ที่สหรัฐฯ ผลิตออกมา 130 ลำ และขณะนี้มาอยู่ประเทศไทย 1 ลำ ขณะที่อีก 129 ลำได้จมไปหมดแล้ว
“สหรัฐอเมริกาอยากได้ ขอมา 10 ปีแล้ว เพื่อนผมบังเอิญเขาเป็นเพื่อนกับนายจอห์น แมคเคน ที่ลงสมัครรับเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ พล.ร.อ.ปรีดา การสุทธิ์ เขาเล่าให้ฟังว่าเพิ่งทำเสร็จเมื่อ 2 เดือนนี้เอง ตกลงคืนให้ไป โดยจะลากไปที่ฮ่องกง แล้วลากออกไปส่งคืนที่ซานฟรานซิสโก ตกลงตราครุฑยังติดไว้ อะไรต่างๆ ทุกอย่างรักษาหมด เพียงแต่ธงไทยเปลี่ยนเป็นธงสหรัฐอเมริกา ขณะเดียวกันยังได้หารือถึงปัญหาในภูมิภาคอาเซียนด้วย โดยเฉพาะเรื่องที่เขาทำอะไรดีๆ เยอะครับ แต่เขามาสะกิดใจเรื่องเล็กๆ น้อยๆ เราเลยบอกว่าให้ทำดีมาตั้งเยอะ ทำไมไม่ภาคภูมิใจตรงนั้น จะมาเอาตรงนี้ ผมไม่เล่ารายละเอียด แต่คุยกันยาวเกินชั่วโมง” นายสมัครกล่าว
นายสมัคร กล่าวว่า ในระหว่างที่ประชุมสภากลาโหม คนสำคัญ (พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร) กลับมาในประเทศเมื่อเวลา 09.40 น. ขณะที่ตนกำลังประชุมกับทหารถึงเที่ยง ซึ่งตนก็ไม่ได้เห็น ไม่ได้ดูเลย และผู้สื่อข่าวต้องการให้เรื่อง (การกลับประเทศของ พ.ต.ท.ทักษิณ) มาพันอย่างนี้ ตนเลยมาขออภัยผู้สื่อข่าววันนั้นด้วย เพราะตอบคำถามอะไรไม่ได้เนื่องจากนั่งประชุมสภากลาโหมถึง 2 ชั่วโมงครึ่ง แต่ก็รู้ว่าจะต้องถูกถามอะไร เลยขึ้นรถเลย เขาก็โมโหนิดหน่อย แต่ไม่เป็นไร กันเอง
นายสมัคร กล่าวว่า ประธานคณะกรรมาธิการยุโรป (อียู) ได้เข้าพบเพื่อพร้อมที่จะขยายความร่วมมือกับไทย โดยตนระบุว่าเดือนมิถุนายน 2551 จะเดินทางไปที่เมืองบรัสเซส ประเทศเบลเยี่ยม เพื่อหารือถึงความคืบหน้าเรื่องต่างๆ ซึ่งตนเห็นว่าการที่อียูเข้ามาหารือกับไทย เป็นเรื่องดีเพราะที่ผ่านมาอียูมักจะหันหลังให้ไทย เหมือนกับสหรัฐฯ ญี่ปุ่น และจีน ที่เริ่มจะหันมาพบไทยเช่นกัน
“ก็ดีครับ อียูก็หันกลับมา ตอนก่อนหันหลัง เดี๋ยวนี้หันหน้ามา สหรัฐอเมริกาแต่ก่อนหันหลัง เดี๋ยวนี้หันหน้า ญี่ปุ่นกับจีนหันข้าง เดี๋ยวนี้หันหน้ามาหมด ก็บอกแล้วว่าถ้ารัฐบาลมาจากการเลือกตั้ง เขาก็กลับมาเหมือนเดิม พอเหมือนเดิมก็เริ่มออกเดินหน้า ไม่ใช่ฝีไม้ฝีมืออะไรของผม เก่งกาจอะไรหรอกครับ มันเรื่องของการกลับมาสู่สภาพเดิม แล้วบ้านเมืองก็จะเดินหน้าต่อไป ท่านทั้งหลายที่คอยเป็นห่วงเป็นใย ก็เข้าสภาพปกติ กลไกมันเข้าการเดินทาง ผมก็เป็นเพียงแต่ว่าคอยดูนโยบายเป็นคนถือหางเสือเท่านั้นครับ” นายสมัคร กล่าว
นายสมัคร กล่าวว่า นายคริสโตเฟอร์ ฮิลล์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ กิจการเอเชียตะวันออกและแปซิฟิก ได้เข้าพบตนที่ทำเนียบ ซึ่งเขาก็สนใจเรื่องต่างๆ เช่น ปัญหานิวเคลียร์ที่เกาหลี ตนก็บอกให้ไปคุยที่เกาหลีจนกระทั่งสำเร็จ ซึ่งทางเกาหลีก็ตกลง เมื่อเรื่องนิวเคลียร์เบาบาง เพราะเรื่องอย่างนี้ต้องตั้งวงคุย มีข้อสนทนาเป็นที่เข้าใจกันอย่างดีว่าเราจะช่วยงานกันตามสมควร เพราะเราอยู่ข้างรั้วติดกัน เขาอยู่ไกลคนละซีกโลก อะไรๆ ก็กดดัน เราก็กดดันเหมือนกัน แต่เบาๆ
นายสมัคร ยังได้กล่าวในรายการ “สนทนาประสาสมัคร” ว่า การเดินทางเยือนสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป.ลาว) โดยเป็นหนึ่งในประเทศภูมิภาคอาเซียนที่จะต้องไปแสดงตัว โดยใช้เวลาอันรวดเร็วไม่ชักช้า ขณะเดียวกันก็จะเดินทางไปประเทศกัมพูชา (3 มี.ค.) ในช่วงที่มีการประชุมคณะรัฐมนตรี ดังนั้น ตนก็จะไม่ได้เข้าร่วมประชุมด้วย และจะเดินทางไปอีกหลายประเทศในช่วงอื่นๆ ต่อไป
นายสมัคร กล่าวว่า ภารกิจที่ สปป.ลาว หลังจากวางพวงมาลาที่อนุสาวรีย์ตามพิธีการแล้ว ได้เข้าพบนายกรัฐมนตรีลาวเพื่อหารือ 2 ฝ่าย โดยเฉพาะเรื่องที่ สปป.ลาวได้เปิดประเทศให้นักลงทุนเข้าไปลงทุนซึ่งตนไม่ทราบมาก่อน โดยนักลงทุนที่เข้าไปลงทุนขนาดใหญ่และมากที่สุดคือ นักลงทุนไทย โดยบริษัทในประเทศไทยไปลงทุนเปิดโรงงานทำเหมืองแร่เหล็ก เนื่องจากประเทศมีทรัพยากรน้อย แต่ประเทศลาวมีทรัพยากรมหาศาล
ทั้งนี้ เห็นจากราคาเหล็ก ขณะนี้กิโลกรัมละ 32 บาท จากอดีตที่ราคาต่ำกว่านี้ เชื่อว่า ต่อไปไม่นานนี้ไทยจะได้นำเข้าเหล็กจากประเทศลาว เพราะเราใช้เหล็กปีละ 14 ล้านตัน นอกจากนี้ บริษัทเดียวกันยังได้สัมปทานผลิตแร่อลูมินัม เป็นเหมืองขนาดใหญ่ อยู่ห่างจากแม่น้ำโขง 99 กิโลเมตร และเปิดขุดเจาะก่อนที่จะนำมาถลุงที่มาบตาพุด โดยได้ผลประโยชน์ร่วมกัน
นายสมัคร กล่าวว่า ในธุรกิจภาคอื่นๆ นั้น ขณะนี้ไทยมีความต้องการและมีกำลังซื้อไฟฟ้าจากเงื่อนน้ำงึมของลาว อยู่ที่ 7,000 เมกะวัตต์ โดยเมื่อลาวทำได้ 100 เมกะวัตต์ ลาวจะใช้เองเพียง 10-15 เมกะวัตต์ นอกนั้นไทยซื้อหมด และที่ผ่านมารัฐบาลก็ได้ช่วยไปทั้งหมด 5,000 ล้านบาท เชื่อว่าไม่มีปัญหา และไม่ได้รุงรังแบบที่มีการนินทาว่ากล่าวกัน ขณะเดียวกันสนามบินทางใต้ เมืองปากเซ ที่กำลังสร้างมูลค่า 320 ล้านบาท บริษัทไทยก็ได้เป็นผู้จัดสร้าง รวมทั้งทางภาคเหนือของลาวก็กำลังเจรจาอยู่ และขณะนี้เราก็ช่วยลาวสร้างรถไฟข้ามสะพานมิตรภาพไทย-ลาว ไปที่เมืองนาแล้ง ระยะทาง 3.5 กิโลเมตร จะเหลือระยะทางอีก 9 กิโลเมตรเศษก็จะไปถึงเวียงจันทน์ เราก็พร้อมจะช่วยสนับสนุนให้
นอกจากนี้ ตนยังมีแนวคิดที่จะต่อทางรถไฟไปยังทางอื่น เช่น แถวๆ อ.เด่นชัย จ.แพร่ ขึ้นไปทางภาคเหนือ ไปจ.เชียงรายออกไปทางสะพานมิตรภาพแห่งใหม่ โดยจะต้องเจรจากับรัฐบาลจีนด้วย เพราะจีนกับไทยจะร่วมกันทำสะพานมิตรภาพแห่งที่ 4 ที่จะข้ามที่ อ.เชียงของ ไป อ.ห้วยทราย ออกไปเมืองหลวงน้ำทา และขึ้นไปเมืองยูนนาน และไปถึงเมืองปักกิ่งได้เลย โดยหวังใจว่าจะส่งเสริมการท่องเที่ยวทั้งหมด รวมทั้งการขนส่งสินค้า และเอื้อเฟื้อส่งถึงนครเวียงจันทน์
นายสมัคร กล่าวอีกว่า สิ่งที่น่าตื่นเต้น คือ ลาวกับไทยในเรื่องของเขื่อนกั้นแม่น้ำโขงขณะนี้ยังไม่เป็นปกติ แต่ขณะนี้ทางการลาวได้ตกลงเรียบร้อยแล้ว แต่ทางไทยยังไม่เรียบร้อย ต้องมาทำกรรมวิธีต่างๆ ให้เสร็จก่อน แต่เชื่อว่าในเดือนหน้าในการประชุมที่ลาว ตนจะมอบหมายให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศไปลงนามสร้างเขื่อนกั้นแม่น้ำโขง โดยจะยกระดับแม่น้ำโขงขึ้นอีก 18 เมตร และถอยหลังไปอีก 110 กิโลเมตร เชื่อว่าน้ำจะมากขึ้น และนายกรัฐมนตรีลาวก็บอกว่าขณะนี้ท่วมลาวมาก แต่จะได้ประโยชน์ทั้งสองประเทศ
“เห็นไหมครับ สองฟากตกลงจะทำเขื่อนกั้นสูงยกน้ำขึ้นไป 18 เมตร จากธรรมดา 110 กิโลเมตร ข่าวดีครับ ใครจะเอิกเกริกอย่างไรก็สุดแท้แต่ ผมก็ออกข่าวอย่างระมัดระวัง แต่ทางลาวตัดสินใจเรียบร้อยหมดแล้ว ต่างคนต่างช่วยกันไปช่วยกันมา” นายสมัครกล่าว
นายสมัคร กล่าวด้วยว่า ขณะที่สะพานมิตรภาพ 2 ประเทศที่จะวางศิลาฤกษ์เร็วๆ นี้ นอกจากสะพานมิตรภาพที่ 1 หนองคาย สะพานมิตรภาพที่ 2 มุกดาหาร-สะหวันนะเขต สะพานมิตรภาพที่ 3 นครพนม-คำม่วน ฯลฯ ก็ได้รับความเอื้อเฟื้อต่อกัน
“แต่ความจริงนั้นทรัพยากรที่ลาวมี ถี่ถ้วนนะครับ พยายามให้ทุกอย่างเรียบร้อย เจรจาความกันอย่างประเภทเอื้อเฟื้อกันซึ่งกันและกัน เพราะฉะนั้น การที่เราให้อนุเคราะห์ลาวบ้าง ลาวอนุเคราะห์ไทยบ้าง เป็นการตอบแทน สองฟากแม่น้ำ ผมเรียกว่าประเดิมดี คือไปทำหน้าที่ได้ทดสอบการไปเยือนต่างประเทศเป็นทางการเป็นครั้งแรก ย้ำว่าเพิ่งเคยเป็นนายกรัฐมนตรีกับเขา ก็ทำได้เรียบร้อยดี”