เลขาฯ ครป.เหน็บรัฐบาล “หมัก” ย้อนกลับสู่อาณาจักรแห่งความหวาดกลัว เหตุรัฐงัดสารพัดวิธีคุมสื่อ ฟื้นธรรมเนียมสื่อแข่งกันเซ็นเซอร์ตัวเอง หวังเชือดไก่ให้ลิงดู แนะสมาคมนักข่าว และกลุ่มธุรกิจด้านสื่อรวมพลังป้องกัน
วันนี้ (15 ก.พ.) นายสุริยะใส กตะศิลา เลขาธิการคณะกรรมการรณรงค์เพื่อประชาธิปไตย (ครป.) กล่าวการถอดรายการของ อ.เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง จากคลื่นวิทยุเอฟเอ็ม 105.0 เมกะเฮิรตซ์ นั้นน่าจะเป็นการกดดันจากฝ่ายการเมือง แม้จะไม่มีใบสั่งที่เป็นรูปธรรมแต่การประกาศจัดระเบียบสื่อของรัฐบาลทันทีที่นายจักรภพรับตำแหน่งรัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ นั้น ถือเป็นการส่งสัญญาณอย่างแจ่มแจ้งว่าถ้าสื่อแขนงใดวิพากษ์วิจารณ์หรือตรวจสอบรัฐบาลอย่างตรงไปตรงมาอาจโดนแบล็กลิสต์
กรณีบริษัท ฟาติมา ผู้ได้รับสัมปทานคลื่นวิทยุดังกล่าวไฟเขียวให้ปลดรายการของอาจารย์เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง ออก มองมุมหนึ่งก็หน้าเห็นใจและชี้ให้เห็นถึงยุคแห่งการเซฟและเซ็นเซอร์ตัวเอง ปรากฏการณ์นี้ถือเป็นการเชือดไก่ให้ลิงดู เพราะหากจัดการกับรายการของอาจารย์เจิมศักดิ์ได้ รายการอื่นๆ ก็ยิ่งจะง่ายขึ้น
การที่ นายจักรภพ และนายกรัฐมนตรีนายสมัคร สุนทรเวช จี้ให้บริษัทพูดความจริงนั้นก็เป็นไปได้ที่เจ้าของบริษัทจะสารภาพว่าได้รับคำสั่งจากรัฐมนตรีเพราะเป็นการทุบหม้อข้าวตนเอง
บรรยากาศแบบนี้กำลังย้อนยุคกลับไปสู่ยุคระบอบทักษิณที่มีการแทรกแซงและแทรกซึมสื่อสารพัดวิธี ไม่ว่าจะเป็นการสั่งถอดรายการทิ้ง สั่งคุมเนื้อหา หรือใช้งบโฆษณาของหน่วยงานรัฐ และรัฐวิสาหกิจ กระทั่งกลุ่มทุนธุรกิจการเมืองในเครือรัฐบาลต่อรองบรรดาสื่อเพื่อตัดงบหรือไม่สนับสนุนหากสื่อเหล่านั้นวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลอย่างตรงไปตรงมา
จนทำให้สังคมไทยตกอยู่ในอาณาจักรแห่งความหวาดกลัว ไม่มีใครกล้าพูดความจริงและสังคมก็ต้องยอมจำนนกับความจริงด้านเดียวจนทำให้ระบอบทักษิณแข็งแกร่งและรวบอำนาจเบ็ดเสร็จได้ในขณะนั้น
นายสุริยะใส กล่าวว่า ปรากฏการณ์นี้เป็นการส่งสัญญาณรุกอย่างชัดเจนของฝ่ายรัฐบาลที่ต้องการเข้ามาจัดระเบียบสื่อเพื่อประโยชน์ทางการเมือง จึงจำเป็นที่สมาคมนักข่าวฯ และสื่อจะต้องระดมความร่วมมือจากภาคส่วนต่างๆ เพื่อหามาตรการป้องกัน ในขณะเดียวกัน กลุ่มธุรกิจที่ได้สัมปทานคลื่นหรือรายการจากสื่อวิทยุโทรทัศน์ก็ควรจัดตั้งอค์กรเพื่อสร้างอำนาจต่อรองกบักลุ่มการเมืองและมีมาตรการกำกับควบคุมจริยธรรมกันเอง