“ยามเฝ้าแผ่นดิน” หนุน “นายกฯ หมัก” ใช้ความเป็นผู้นำแก้โผ ครม.ขี้เหร่ ชี้สัญญาณ “สมัคร” เริ่มขัดใจ “แม้ว” ประกาศแก้ รธน.-ปล่อยผี 111 ทรท.ภายหลัง แถมนั่งควบกลาโหมเอง เผย 2 ปี “ชุมนุมกู้ชาติ” ไม่สูญเปล่า แม้วงจรอุบาทว์หวนคืน แต่อย่างน้อยคดีทักษิณเริ่มเข้าสู่ศาล ปชช.ตื่นตัว แนะยุทธศาสตร์ใหม่ “ปลาซิวไล่งับไอ้เข้”
คลิกที่นี่ เพื่อฟังรายการ ยามเฝ้าแผ่นดิน โดย ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ และสโรชา พรอุดมศักดิ์ ช่วงที่ 1
คลิกที่นี่ เพื่อฟังรายการ ยามเฝ้าแผ่นดิน โดย ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ และสโรชา พรอุดมศักดิ์ ช่วงที่ 2
รายการ “ยามเฝ้าแผ่นดิน” ออกอากาศทางเอเอสทีวี คืนวันที่ 4 กุมภาพันธ์ นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ นักวิชาการอิสระ และนางสาวสโรชา พรอุดมศักดิ์ ร่วมดำเนินรายการ ในช่วงแรกผู้ดำเนินรายการได้กล่าวถึงการปรับโผ ครม. ซึ่งเห็นว่าหากนายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี มองว่า ครม.ชุดนี้หน้าตาขี้เหร่ นายสมัครก็ควรใช้ความเป็นผู้นำเลือกบุคคลที่มีความเหมาะสมมาเป็น เพราะในพรรคพลังประชาชนเองก็ยังมีคนที่มีความเหมาะสมอีกมาก
“นายสมัครมีอำนาจ หากมองตำแหน่งใดไม่เหมาะสมก็ควรปรับเปลี่ยน โดยเฉพาะไม่เห็นด้วยกับการปล่อยให้นายแพทย์สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี และร.ต.หญิงระนองรักษ์ สุวรรณฉวี มาคุมกระทรวงการคลัง ซึ่งเป็นกระทรวงหลักที่ดูแลภาพรวมของเศรษฐกิจ โดยเฉพาะรายหลังอดีตคลุกคลีกับงานด้านพยาบาลมาทั้งชีวิต ไม่เกี่ยวข้องกับงานด้านเศรษฐกิจ แต่ก็ยังมีชื่อ ซึ่งเป็นการบริหารที่ไม่ถูกต้อง”
ทั้งนี้ ความล่าช้าส่วนหนึ่งอาจจะมาจากตัวนายสมัคร เองที่เริ่มแผลงฤทธิ์ เชื่อมั่นในสิ่งที่ตัวเองทำได้ ขณะเดียวกันก็พยายามประนีประนอมทางการเมือง หวังเพื่อให้ทุกส่วนอยู่ร่วมกันได้ ส่วนความปารถนาอันสูงสุดของพรรคพลังประชาชน ที่อยากให้นายสมัคร เร่งออกกฎหมายนิรโทษกรรม 111 อดีตกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทยรวมทั้งการแก้ไขรัฐธรรมนูญนั้น ก็เชื่อว่านายสมัคร ทำแน่ แต่นายสมัครบอกว่าไม่เร่งรีบ ไว้ทำตอนท้ายๆ 3 เดือนก่อนหมดวาระรัฐบาล ซึ่งมีความหมายมาก
ผู้ดำเนินรายการยังเชื่อว่า นายสมัครอยากอยู่ในตำแหน่งนายกฯ นานๆ แน่นอน โดยเฉพาะการประนีประนอมกับฝ่ายทหาร การขึ้นสู่ตำแหน่ง รมว.กลาโหม ก็เพื่อกันไม่ให้อำนาจทางการทหารตกไปอยู่ในมือและอำนาจของคนอื่น ซึ่งเป็นวิธีคิดที่ปลอดภัย นายสมัครไม่อยากเสี่ยง ขณะเดียวกันวันนี้อดีต รมว.กลาโหม ก็ออกมายอมรับตัวนายสมัคร พร้อมทั้งเชื่อมั่นว่า จะไม่มีการล้วงลูกจากฝ่ายการเมือง ตอกย้ำภาพความประนีประนอมของทั้งสองฝ่ายได้เป็นอย่างดี ปล่อยให้ตัวเก็ง รมว.กลาโหม ตั้งแต่ต้นอย่าง พล.อ.เรืองโรจน์ มหาศรานนท์ ต้องหลุดเก้าอี้ที่คาดหวังไว้
นอกจากนี้ นายสมัครยังพยายามรักษาฐานอำนาจของตัวเองโดยการปรับโผ ครม.ในบางตำแหน่ง ซึ่งอาจจะสร้างความไม่พอใจให้กับ พ.ต.ท.ทักษิณ และพรรคพลังประชาชน เชื่อว่าความคิดของนายสมัครก่อนและหลังดำรงตำแหน่งนายกฯ ไม่เหมือนกัน หากตัดสินใจเร็ว ครม.จะไม่มีหน้าตาอย่างนี้ จะมีหน้าตาคล้ายคลึงกับ ครม.ทักษิณ วันนี้นายสมัคร มีอำนาจการต่อรองกับ พ.ต.ท.ทักษิณ หาก พ.ต.ท.ทักษิณ กลับมาช้า นายสมัคร ก็ยิ่งอยู่ในตำแหน่งได้นาน ดังนั้นโดยธรรมชาติความขัดแย้งจะเริ่มถาโถมเข้ามาหา ตัวนายสมัครอย่างช่วยไม่ได้
** 2 ปีชุมนุมกู้ชาติ – เสนอยุทธศาสตร์ใหม่ ภาคประชาชน
ในช่วงที่ 2 ของรายการ ผู้ดำเนินรายการได้กล่าวถึงวันครบรอบ 2 ปีของกาเรเริ่มต้นชุมนุมกู้ชาติว่า เมื่อวันที่ 4 ก.พ.2549 นายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ก่อตั้งหนังสือพิมพ์ผู้จัดการ และเอเอสทีวี ได้ออกมานำการชุมนุมเพื่อขับไล่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเป็นครั้งแรกที่ลานพระบรมรูปทรงม้า โดยมีประชาชนที่คับข้องใจกับการบริหารงานของ พ.ต.ท.ทักษิณออกมารร่วมชุมนุมจำนวนมาก
การชุมนุมครั้งนั้นถือเป็นการลุกขึ้นมาต่อสู้กับอำนาจที่เข้มแข็งของ พ.ต.ท.ทักษิณเป็นครั้งแรก และเป็นจุดเริ่มของการต่อสู้ของประชาชน ด้วยความเสียสละและเหน็ดเหนื่อยตลอดช่วงหลายเดือนต่อมาเพื่อเอาชนะความไม่ถูกต้อง จนกระทั่งมีการยึดอำนาจในวันที่ 19 ก.ย.49
มาถึงวันนี้ สถานการณ์ทางการเมืองกลับไปเหมือนเดิม ระบอบประชาธิปไตยที่ติดอยู่กับมายาคติเรื่องการเลือกตั้งกลับมาเหมือนเดิม ประชาชนมีอำนาจแค่ตอนไปหย่อนบัตรเหมือนเดิม และเมื่อเข้าสู่สภาแล้ว ใครจะไปดำรงตำแหน่งอะไรก็ได้ ไม่สนใจว่าคนๆ นั้นจะมีคดีติดตัวหรือไม่ ขณะที่ กกต.ที่เคยเป็นความหวัง หลังจาก กกต.ชุดก่อนถูกจำคุกไปแล้ว แต่ กกต.ชุดใหม่ก็เป็นความหวังไม่ได้ตามเดิม
อย่างไรก็ตาม ผู้ดำเนินรายการ กล่าวว่า แม้ทุกอย่างจะกลับมาเหมือนเดิม แต่อย่างน้อยก็มี คตส.ขึ้นมาทำคดีทุจริตของรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ซึ่งบางคดีได้เข้าสู่กระบวนการยุติธรรมแล้ว นอกจากนี้ ก็ยังมีประชาชนอีกกลุ่มหนึ่งที่ตื่นขึ้นมาแล้ว ซึ่งคนกลุ่มนี้เป็นพลังประชาชนอย่างแท้จริง เพราะทุกคนออกมาร่วมต่อสู้ด้วยใจ และคิดว่าเป็นหน้าที่ที่จะต้องต่อสู้กับนักการเมืองที่ไม่ชอบธรรม เพื่อแสดงพลังพิทักษ์รักษาบ้านเมืองเอาไว้ให้ลูกให้หลาน เพราะที่ผ่านมา นักการเมืองมองเห็นประชาชนเป็นแค่ปลาซิวปลาสร้อย เมื่อได้รับเลือกตั้งเข้าไปแล้วก็ไม่สนใจความรู้สึกนึกคิด ถือว่าประชาชนหมดหน้าที่แล้ว
ผู้ดำเนินรายการ กล่าวต่อว่า ในวันที่ 4 ก.พ.ที่ผ่านมา อดีตแกนนำพันธมิตรฯ หลายคนได้มีโอกาสมานั่งคุยกัน และมีแนวคิดของ น.ต.ประสงค์ สุ่นศิริ เสนอขึ้นมาว่า ต่อจากนี้ไป การต่อสู้ของภาคประชาชนน่าจะใช้ยุทธศาสตร์ “ปลาซิวไล่ตอดจระเข้” เหมือนคำโบราณของคนอีสานที่ว่า “อัศจรรย์ใจแท้ กุ้งกินปลาบึกใหญ่ ปลาซิวไล่กัดจระเข้ หนีไปลี้อยู่หลืบหิน” เปรียบเสมือปลาซิวที่แม้จะตัวเล็กแต่ถ้าช่วยกันตอดบาดแผลของจระเข้ ก็ทำให้จระเข้เจ็บปวดหนีขึ้นไปอยู่บนบกได้
นอกจากนี้ ผู้ดำเนินรายการมองว่า การที่บ้านเมืองกลับมาอยู่จุดเดิมทั้งที่มีการรัฐประหาร เป็นบทเรียนให้ทหารได้เห็นว่าหมดยุคที่จะเอากำลังมาทำรัฐประหารแล้วได้เป็นรัฐบาลโดยไม่ต้องทำอะไรแล้ว การทำรัฐประการเที่ยวนี้ถือว่าซ้ำรอยช่วงพฤษภาฯ 35 เป็นบทเรียนว่าประชาชนไม่เอาด้วยแล้ว
“75 ปีของประชาธิปไตย ผ่านการรัฐประหาร ผ่านการเลือกตั้งมาหลายครั้ง ถ้าเราไมได้รัฐบาลที่โกง ก็จะได้รัฐบาลที่ไม่ทำอะไร เป็นวงจรอุบาทว์วนเวียนไปมา เพราะฉะนั้น เราอาจจะต้องคิดใหม่ว่า คนที่ควรปฏิวัติไม่ใช่ทหารแล้ว แต่ต้องเป็นประชาชนที่ปฏิวัติ เพื่อนำความคิดของตัวเองเข้าสู่อำนาจรัฐอย่างแท้จริง เพราะในขณะนี้ หวังพึ่งใครไมได้แล้ว เหลือแต่ประชาชนที่เป็นปลาซิวที่พร้อมจะตอดจระเข้ ใครมีบทบาทอะไรก็สู้ไป ทำหน้าที่ของตัวเองไป จนกว่าบ้านเมืองจะเปลี่ยน จึงถึงเวลาที่เราจะมาร่วมเป็นปลาซิวไล่จระเข้กัน” ผู้ดำเนินรายการกล่าว
** ติง กกต.พูดคล้าย “แม้ว”
ต่อมาผู้ดำเนินรายการ ได้ตำหนิ กกต.ที่ปล่อยให้นายยงยุทธ ติยะไพรัช ประธานสภาผู้แทนราษฎร ยื้คดีทุจริตเลือกตั้งที่ จ.เชียงรายไปเรื่อยๆ โดยการเสนอพยานเพิ่มเข้ามาไม่มีที่สิ้นสุด การใช้วิธีการแบบนี้ จะทำให้ กกต.ถูกตั้งข้อสงสัย เมื่อเปรียบเทียบกับคนอื่นที่ถูกกล่าวหาจนถึงขั้นให้ใบแดง บางคนไม่รู้ตัวและไม่เคยไปให้ปากคำด้วยซ้ำ แต่นายยงยุทธขออะไรกลับได้รับการตอบหมด ทั้งขอดูวีซีดี ขอให้ตั้งกรรมการสอบใหม่ หรือว่าเป็นเพราะ กกต.เห็นว่า เขาจะมาเป็นรัฐบาลแล้ว ก็ต้องผ่อนปรนให้ทุกอย่าง
นอกจากนี้ ผู้ดำเนินรายการได้ชี้แจงกรณีที่นางสดศรี สัตยธรรม กกต.ได้ให้สัมภาษณ์ว่ามีทีวีช่องหนึ่งด่า กกต.ตั้งแต่เช้าจรดเย็น เพราะมาขอโฆษณาของ กกต.แล้วไม่ได้ ซึ่งการที่นางสดศรีพูดอย่างนี้ ถือว่าไม่ให้ความเป็นธรรม เพราะสื่อที่ได้รับการคาดหวังจากประชาชนนั้น ย่อมต้องทำหน้าที่ในการตรวจสอบอย่างไม่ไว้หน้า ไม่ว่าคนๆ นั้นจะเป็นสปอนเซอร์ให้หรือไม่ และไม่สำคัญว่าการทำหน้าที่นั้นจะทำให้ได้สปอนเซอร์หรือไม่ แต่เรื่องบ้านเมืองจะตรวจสอบอย่างเต็มที่ ถ้าสิ่งที่ตรวจสอบเป็นเรื่องไม่จริง ประชาชนก็จะต่อว่าเอง
ผู้ดำเนินรายการกล่าวว่า คำพูดของนางสดศรีดังกล่าว ไม่ต่างจาก พ.ต.ท.ทักษิณที่มักจะบอกว่าคนที่วิพากษ์วิจารณ์เขานั้นเป็นคนที่เสียประโยชน์ ซึ่งมันง่ายเกินไปในการตอบแค่ว่า เพราะเสียผลประโยชน์ อยากให้ดูการต่อสู้ที่ผ่านมาว่าเราได้สู้อย่างจริงใจหรือไม่
ทั้งนี้ จุดเปลี่ยนในการวิพากษ์วิจารณ์ กกต.อย่างรุนแรง ก็คือการที่ กกต.รับรองนายยงยุทธ ทั้งที่ยังมีคดีติดตัว และเป็นคำถามใหญ่ของสังคมในขณะนี้ เมื่อ กกต.ใช้วิธีการนี้ ถือเป็นโศกนาฏกรรมของประเทศ ที่องค์กรตรวจสอบ ปล่อยให้เกิดความสงสัยในความบริสุทธิ์ของสถาบันรัฐสภา เป็นเรื่องที่น่าหดหู่ ที่คนทั้งชาติมีสิทธิที่จะทวงถามคำตอบจาก กกต.
ผู้ดำเนินรายการ ยังได้เรียกร้องให้ กกต.พิสูจน์ความจริงใจด้วยการทำคดีต่างๆ ที่คั่งค้างอยู่ ด้วยการกำหนดเป้าหมายให้ชัดเจนว่าจะส่งให้ถึงศาลเมื่อใด ไม่ว่าจะเป็นคดีนอมินี คดีที่นายสิทธิชัย โควสุรัตน์ ถูกปลอมลายเซ็น รวมทั้งคดีนายยงยุทธ ติยะไพรัช อย่าปล่อยให้เลื่อนออกไปเรื่อยๆ เพียงเพื่อให้ประชาชนลืมๆ ไป