เมื่อเวลา15.00 น.วานนี้ (17ก.ย.) พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผบ.ทบ.ได้เรียกประชุมคณะกรรมการติดตามสถานการณ์ หลังจากนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ได้ลงนามคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการชุดนี้อย่างเป็นทางการ โดยมีผู้เข้าร่วมประชุมประกอบด้วย นายพงษ์โพยม วาศภูติ ปลัดกระทรวงมหาดไทย พล.ต.อ. พัชรวาท วงษ์สุววรณ ผบ.ตร. พล.อ. ทรงกิตติ จักกาบาตร์ เสนาธิการทหาร เป็นต้น โดยใช้เวลาหารือประมาณ 1 ชั่วโมง ซึ่งที่ประชุมมอบให้คณะกรรมการติดตามการชุมนุมในจุดต่างๆ เพื่อป้องกันการปะทะกันเหมือนเหตุการณ์ที่ผ่านมา และหากเกิดมีแนวโน้มจะปะทะกันจะให้เจ้าหน้าที่ตำรวจเป็นหน่วยหลักในการดูแลความเรียบร้อย และมีทหารเป็นหน่วยเสริม
นอกจากนี้ ยังมีมติว่าหากกลุ่มผู้ชุมนุมมีการเคลื่อนไหว หรือเคลื่อนที่ออกจากที่ชุมนุม ก็จะให้ตำรวจ หรือทหาร ตรวจค้นอาวุธ โดยจะไม่ให้พกพามีด ปืน ไม้กอล์ฟ หรืออาวุธต่างๆ ดังนั้นหากผู้ชุมนุมจะเคลื่อนการชุมนุม ต้องปราศจากอาวุธ พร้อมทั้งจะขอความร่วมมือสื่อมวลชน ให้ขึ้นตัววิ่ง เรื่องประมวลกฎหมายอาญาที่เกี่ยวข้องกับการพกพาอาวุธในการชุมนุม หรือเคลื่อนการชุมนุม เพื่อให้ประชาชนรับทราบว่า หากพกพาอาวุธจะผิดกฎหมาย เพราะอาจมีประชาชนไม่ทราบว่าการพกพาสิ่งเหล่านี้ผิดกฎหมาย ทั้งนี้ความเคลื่อนไหวของผู้ชุมนุม อาจเกิดขึ้นในช่วงครบรอบ 2 ปีแห่งการยึดอำนาจ (19 ก.ย.)
พล.อ.ทรงกิตติ ให้สัมภาษณ์หลังการประชุมว่าได้มีการหารือแนวโน้มสถานการณ์ โดยให้จับตามองการชุมนุมในจังหวัดต่างๆ ที่สุ่มเสี่ยง และการเคลื่อนไหวในพื้นที่ต่างๆ ในกรุงเทพฯ ว่าในพื้นที่ไหนจะมีความรุนแรง เพราะสถานการณ์เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา โดยเฉพาะในช่วงนี้
ผู้สื่อข่าวถามว่า การที่นายสมชาย ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรี และได้รับการต่อต้านจากกลุ่มพันธมิตรฯ พล.อ.ทรงกิตติ กล่าวว่า ที่ประชุมไม่ได้พูดถึงเรื่องการเมือง แต่เราหารือว่าจะมีการเคลื่อนไหวในจุดใด และทำอย่างไรจะป้องกันความรุนแรง ไม่ให้กระทบต่อประชาชน ส่วนการสลายม็อบเราคงไม่ทำ เพราะทุกคนมีสิทธิตามกฎหมายในการชุมนุม แต่ต้องทำอย่างสันติ
ส่วนที่กลุ่มพันธมิตรฯ ยังมีการชุมนุมในทำเนียบรัฐบาลนั้น เรื่องนี้ต้องให้ฝ่ายกฎหมายไปติดตาม ใครทำผิดก็ต้องเป็นไปตามกฎหมาย แต่คณะกรรมการมีหน้าที่เพียงติดตามสถานการณ์ และป้องกันความรุนแรง หรือการปะทะกันท่านั้น
พล.อ.บุญสร้าง เนียมประดิษฐ์ ผบ.สส. กล่าวว่า หวังว่ารัฐบาลใหม่จะมุ่งหน้าแก้ไขปัญหา และไม่เพิ่มปัญหา ส่วนกรณีที่กลุ่มพันธมิตรฯ ไม่ยอมรับนายกรัฐมนตรีจากพรรคพลังประชาชนนั้น ทุกคนที่เข้ามาต้องตั้งมั่น และพยายามทำให้ทุกฝ่ายเห็นอกเห็นใจ
"เชื่อว่านายสมชาย ก็คงทุ่มเททำสิ่งที่ดีๆ เพื่อพิสูจน์ตัวเอง เพราะในสถานการณ์เช่นนี้ ทำดีก็ยังเหนื่อย ถ้าไม่ตั้งใจทำงาน ก็คงลำบาก ซึ่งการที่นายสมชาย มีบุคลิกประนีประนอมนั้น เป็นบุคลิกที่ดีสำหรับทุกโอกาส"
เมื่อถามย้ำว่า ทุกฝ่ายควรให้โอกาสรัฐบาลใหม่ได้ทำงานก่อนหรือไม่ พล.อ.บุญสร้าง กล่าวว่า ทุกคนควรได้รับโอกาส
พล.อ. วินัย ภัททิยกุล ปลัดกระทรวงกลาโหม กล่าวถึงสถานการณ์การเมืองไทยในขณะนี้ว่า ไม่น่าเป็นห่วง เพราะการเมืองได้บรรลุข้อตกลงไปได้ระดับหนึ่งแล้ว
ส่วนภาพของนายสมชาย ที่เป็นน้องเขยพ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร นั้น พล.อ.วินัย กล่าวว่า ท่านเองก็จะต้องพิสูจน์ตัวเองว่า ท่านทำเพื่อประชาชน เพื่อสังคม เพื่อประเทศชาติอย่างไร ในเรื่องของความเป็นพี่น้องคงตัดไม่ได้ แต่อยู่ที่ว่าจิตใต้สำนึก และสามัญสำนึกที่จะทำอะไรให้มันอยู่ที่ความพอดี ทั้งนี้ตนไม่มีอะไรที่จะต้องฝากรัฐบาล
ส่วนท่าทีของกลุ่มพันธมิตรฯ ที่ไม่ยอมรับนายกฯที่มาจากจากพรรคพลังประชาชนนั้น เป็นปัญหาการเมือง คิดว่าน่าจะต้องดำเนินการเจรจากันต่อ หรือพูดคุยกัน เพราะหากไม่พูดคุย ก็คงแก้ไขปัญหาตรงนี้ไม่ได้
นอกจากนี้ ยังมีมติว่าหากกลุ่มผู้ชุมนุมมีการเคลื่อนไหว หรือเคลื่อนที่ออกจากที่ชุมนุม ก็จะให้ตำรวจ หรือทหาร ตรวจค้นอาวุธ โดยจะไม่ให้พกพามีด ปืน ไม้กอล์ฟ หรืออาวุธต่างๆ ดังนั้นหากผู้ชุมนุมจะเคลื่อนการชุมนุม ต้องปราศจากอาวุธ พร้อมทั้งจะขอความร่วมมือสื่อมวลชน ให้ขึ้นตัววิ่ง เรื่องประมวลกฎหมายอาญาที่เกี่ยวข้องกับการพกพาอาวุธในการชุมนุม หรือเคลื่อนการชุมนุม เพื่อให้ประชาชนรับทราบว่า หากพกพาอาวุธจะผิดกฎหมาย เพราะอาจมีประชาชนไม่ทราบว่าการพกพาสิ่งเหล่านี้ผิดกฎหมาย ทั้งนี้ความเคลื่อนไหวของผู้ชุมนุม อาจเกิดขึ้นในช่วงครบรอบ 2 ปีแห่งการยึดอำนาจ (19 ก.ย.)
พล.อ.ทรงกิตติ ให้สัมภาษณ์หลังการประชุมว่าได้มีการหารือแนวโน้มสถานการณ์ โดยให้จับตามองการชุมนุมในจังหวัดต่างๆ ที่สุ่มเสี่ยง และการเคลื่อนไหวในพื้นที่ต่างๆ ในกรุงเทพฯ ว่าในพื้นที่ไหนจะมีความรุนแรง เพราะสถานการณ์เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา โดยเฉพาะในช่วงนี้
ผู้สื่อข่าวถามว่า การที่นายสมชาย ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรี และได้รับการต่อต้านจากกลุ่มพันธมิตรฯ พล.อ.ทรงกิตติ กล่าวว่า ที่ประชุมไม่ได้พูดถึงเรื่องการเมือง แต่เราหารือว่าจะมีการเคลื่อนไหวในจุดใด และทำอย่างไรจะป้องกันความรุนแรง ไม่ให้กระทบต่อประชาชน ส่วนการสลายม็อบเราคงไม่ทำ เพราะทุกคนมีสิทธิตามกฎหมายในการชุมนุม แต่ต้องทำอย่างสันติ
ส่วนที่กลุ่มพันธมิตรฯ ยังมีการชุมนุมในทำเนียบรัฐบาลนั้น เรื่องนี้ต้องให้ฝ่ายกฎหมายไปติดตาม ใครทำผิดก็ต้องเป็นไปตามกฎหมาย แต่คณะกรรมการมีหน้าที่เพียงติดตามสถานการณ์ และป้องกันความรุนแรง หรือการปะทะกันท่านั้น
พล.อ.บุญสร้าง เนียมประดิษฐ์ ผบ.สส. กล่าวว่า หวังว่ารัฐบาลใหม่จะมุ่งหน้าแก้ไขปัญหา และไม่เพิ่มปัญหา ส่วนกรณีที่กลุ่มพันธมิตรฯ ไม่ยอมรับนายกรัฐมนตรีจากพรรคพลังประชาชนนั้น ทุกคนที่เข้ามาต้องตั้งมั่น และพยายามทำให้ทุกฝ่ายเห็นอกเห็นใจ
"เชื่อว่านายสมชาย ก็คงทุ่มเททำสิ่งที่ดีๆ เพื่อพิสูจน์ตัวเอง เพราะในสถานการณ์เช่นนี้ ทำดีก็ยังเหนื่อย ถ้าไม่ตั้งใจทำงาน ก็คงลำบาก ซึ่งการที่นายสมชาย มีบุคลิกประนีประนอมนั้น เป็นบุคลิกที่ดีสำหรับทุกโอกาส"
เมื่อถามย้ำว่า ทุกฝ่ายควรให้โอกาสรัฐบาลใหม่ได้ทำงานก่อนหรือไม่ พล.อ.บุญสร้าง กล่าวว่า ทุกคนควรได้รับโอกาส
พล.อ. วินัย ภัททิยกุล ปลัดกระทรวงกลาโหม กล่าวถึงสถานการณ์การเมืองไทยในขณะนี้ว่า ไม่น่าเป็นห่วง เพราะการเมืองได้บรรลุข้อตกลงไปได้ระดับหนึ่งแล้ว
ส่วนภาพของนายสมชาย ที่เป็นน้องเขยพ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร นั้น พล.อ.วินัย กล่าวว่า ท่านเองก็จะต้องพิสูจน์ตัวเองว่า ท่านทำเพื่อประชาชน เพื่อสังคม เพื่อประเทศชาติอย่างไร ในเรื่องของความเป็นพี่น้องคงตัดไม่ได้ แต่อยู่ที่ว่าจิตใต้สำนึก และสามัญสำนึกที่จะทำอะไรให้มันอยู่ที่ความพอดี ทั้งนี้ตนไม่มีอะไรที่จะต้องฝากรัฐบาล
ส่วนท่าทีของกลุ่มพันธมิตรฯ ที่ไม่ยอมรับนายกฯที่มาจากจากพรรคพลังประชาชนนั้น เป็นปัญหาการเมือง คิดว่าน่าจะต้องดำเนินการเจรจากันต่อ หรือพูดคุยกัน เพราะหากไม่พูดคุย ก็คงแก้ไขปัญหาตรงนี้ไม่ได้
