xs
xsm
sm
md
lg

เปิดการเมืองใหม่22ก.ย.แฉเกมสกปรกป่วนพธม.

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ผู้จัดการรายวัน – “สนธิ” เผยการเมืองใหม่จันทร์นี้ มีรูปแบบชัดเจน จับมือมืดปลอมตัวเข้ามาก่อกวนพันธมิตรในทำเนียบจ้องป่วน เผยพบทั้ง ประทัด น้ำมัน แกนนำ พธม.ยันยังไม่มีการติดต่อขอเจรจาจากนายกฯ ซัดชอบสร้างภาพเหมือนละครน้ำเน่า ระบุเงื่อนไข 5 ข้อแค่ความเห็นส่วนตัวของสุริยะใสไม่ใช่มติ ปักธงรัฐบาลพปช.ออกสถานเดียว ด่าสื่อบิดเบือนข่าว กล่าวหาทุบโต๊ะทำเนียบพัง “อนุพงษ์”ย้ำกลุ่มผู้ชุมนุมอย่าเคลื่อนที่ เชื่อ“สมชาย”แก้ไขปัญหาประเทศได้ แฉนักข่าวผีสาดโคลนพธม. แม้วโผล่ให้สัมภาษณ์รอยเตอร์ฟอกตัว

วานนี้(18 ก.ย.) นายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย กล่าวว่า เวลานี้การเมืองใหม่ที่กลุ่มพันธมิตรฯเสนอกำลังถูกพูดถึงไปทั่วแผ่นดินแล้ว แต่ขณะเดียวกันกำลังถูกขัดขวางจากพวกนักการเมืองเก่าอย่างเต็มที่ด้วย
**เผยโมเดลการเมืองใหม่จันทร์นี้
“ในวันจันทร์นี้ กลุ่มพันธมิตรฯจะเปิดเผยตุ๊กตาของการเมืองใหม่เป็นครั้งแรก จะได้รู้ว่ามีขั้นตอนอย่างไร มีสภาอย่างไร มีการเลือกตั้งอย่างไร หรือมี ส.ว.กี่กคน ส.ส.กี่คน จะได้หมดปัญหาว่าการเมืองใหม่เป็นอย่างไร ส่วนจะเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยไม่เป็นไร แต่ถือว่าได้จุดประกายความคิดไปแล้ว”
นายสนธิ ได้ยกตัวอย่างการเมืองในสหรัฐอเมริกา มีพลเมืองมากกว่า 5 เท่า แต่มี ส.ส.น้อยกว่าประเทศไทยมาก และว่าการเมืองภาคประชาชนเป็นเรื่องใหม่ในเอเชีย แต่อย่างไรก็ตามในบางประเทศก็เกิดขึ้นแล้ว เช่นเกาหลีใต้ กรณีเกิดการประท้วงการนำเข้าเนื้อวัวของรัฐบาล แต่โชคดีที่ประเทศนั้นมีนายกฯและรัฐบาลที่มียางอายมากกว่าไทย หรือกรณีของไต้หวันก็เช่นเดียวกันที่มีการประท้วงประธานาธิบดีคนใหม่ที่เพิ่งได้รับการเลือกตั้งไม่นาน หาว่าดำเนินนโยบายเอาใจจีนแผ่นดินใหญ่มากเกินไป
       นายสนธิ ระบุว่า การเมืองไทยที่ยังเปลี่ยนแปลงไม่ได้ ส่วนสำคัญอีกส่วนหนึ่งก็คือ มีตำรวจและอัยการที่ไม่รักษากติกาด้วยความเป็นธรรม ทำให้ประชาชนไม่มีทางออกต้องออกมาประท้วง อย่างไรก็ตามเวลานี้กระแสการเมืองใหม่ได้ลุกลามไปทั่วประเทศแล้ว
จากนั้น นายสนธิ ได้พูดถึงวิกฤตเศรษฐกิจในประเทศสหรัฐว่า ก่อนหน้านี้ได้ทำนายว่าสถาบันการเงินยักษ์ใหญ่ที่กำลังใกล้ล้มมีทางเลือกสองทางคือถูกแบงก์ควบรวมกิจการหรือไม่ก็ต้องลดขนาดการทำธุรกิจลง ซึ่งต่อมาล่าสุดบริษัทมอร์แกนแสตนลีก้ได้ประกาศรวมตัวกับแบงก์แห่งหนึ่งในสหรัฐแล้ว เหลือแต่เพียงโกลด์แมนแซก เท่านั้น
นายสนธิ กล่าวว่า เวลานนี้สถาบันการเงินยักษ์ใหญ่ของสหรัฐ 5 แห่งมี 3 แห่งเจ๊งไปแล้ว พร้อมทั้งเปิดโปงอีกว่า ก่อนหน้านี้มีนักการเมืองชั่วในระบอบทักษิณคิดจะนำเงินคงคลังกว่า 8 แสนล้านบาทที่หลวงตามหาบัวนำเงินบริจาคมา โดยคนพวกนี้คิดจะนำไปลงทุนในบริษัทสถานบันการเงินเหล่านี้ แต่โชคดีว่าฟ้ามีตาทำไม่สำเร็จ ซึ่งนักการเมืองเหล่านี้ก็ยังนั่งหน้าสลอนอยู่ใน กลต.ในตลาดหลักทรัพย์ และในกระทรวงการคลัง
นายสนธิ ได้เตือนถึงวงจรเศรษฐกิจในประเทศไทย ที่ช่วงอายุคนที่เป็นวัยหนุ่มสาว กับคนสูงอายุ ๆได้ขาดลง เนื่องจากกลุ่มคนวัยหนุ่มสาวยังมีแต่หนี้ท่วมหัวไปจนกระทั่งแก่เฒ่า ทำให้ต่อไปจะไม่มีการออม ซึ่งถือว่าอันตรายมาก พร้อมทั้งตอบโต้นักวิชาการที่จบจากต่างประเทศ แต่ลืมกำพืดตัวเองไม่พยายามเข้าใจวัฒนธรรมไทยและวัฒนธรรมเอเซียคิดแต่ตามก้นฝรั่ง ขณะเดียวรู้สึกวิตกเมื่อรู้ว่าสถิตินักศึกษาที่เล่าเรียนวิชาประวัติศาสตร์น้อยลงเรื่อยๆ ทำให้ต่อไปน่าเป็นห่วงว่าคนไทยจะไม่รู้รากเหง้าของตัวเองมาจากไหน
เมื่อวานนี้ เวลา 10.00 น. ที่ห้องผู้สื่อข่าวทำเนียบรัฐบาล พล.ต.จำลอง ศรีเมือง พร้อมด้วยนายสมศักดิ์ โกศัยสุข แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ร่วมกันแถลงข่าว โดยได้นำปะทัดยักษ์จำนวน 6 แท่ง มาประกอบการแถลงด้วย
**แฉเกมสกปรกป่วนพธม.
โดยนายสมศักดิ์ กล่าวว่า เมื่อ 2 วันที่ผ่านมาทางการ์ดอาสาได้ตรวจค้นและพบปะทัดยักษ์ จำนวน 16 แท่ง จากชายต้องสงสัยที่แอบอ้างตัวว่าเป็นหน่วยรักษาความปลอดภัยของพันธมิตรฯ ซึ่งจากการสอบสวนพบว่าชายดังกล่าวพูดจาวกวนและทำบัตรปลอมขึ้นมาเพื่อแอบอ้างเข้ามาในที่ชุมนุม อีกทั้งยังอ้างจะเอาปะทัดปาใส่ฝ่าย นปก.หากเข้ามา
ทั้งนี้หลังจากที่การ์ดได้สอบสวนแล้วก็ดำเนินการถ่ายรูป บันทึกไว้เป็นหลักฐานก่อนจะปล่อยตัวไป โดยไม่ได้มีการแจ้งความดำเนินคดีไว้กับเจ้าหน้าที่ตำรวจ ทั้งนี้จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นสอดคล้องกับกระแสข่าวที่เกิดขึ้นว่าจะมีการส่งกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจเข้ามาสร้างสถานการณ์ ซึ่งก่อนหน้านี้ได้มีการตรวจค้นพบน้ำมันในถัง 5 ลิตรพร้อมมีดจำนวนหนึ่งที่บริเวณข้างกระทรวงศึกษาธิการ ขอยืนยันว่ากลุ่มพันธมิตรจะชุมนุมอย่างสงบ แต่ขณะนี้มีความพยายามที่จะบิดเบือนว่าพวกเรามีอาวุธและระเบิด ซึ่งไม่เป็นความจริง
“ช่วงนี้อาจจะขอความร่วมมือไปยังผู้ชุมนุมที่เดินทางเข้ามาร่วมชุมนุม ทางเจ้าหน้าที่อาจจะมีการตรวจค้นอย่างเข้มงวด เพื่อความปลอดภัยของผู้ชุมนุม บางครั้งยังตรวจเจอในกระเป๋าถือผู้หญิง อย่างไรก็ตามการ์ดพันธมิตรฯต้องมีการทำทะเบียนประวัติ อาชีพหลักแหล่ง มีหมายเลขสังกัด จึงตรวจสอบได้ง่ายเมื่อมีการปลอมตัวเข้ามา” นายสมศักดิ์ กล่าว
นายสมศักดิ์ กล่าวถึงกรณีที่หนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่งเสนอข่าวขายเก้าอี้ภายในตึกสันติไมตรีว่า เป็นความพยายามที่จะทำลายภาพพจน์ของพันธมิตรฯ รวมทั้งมีการนำเสนอว่าขายเก้าอี้เป็นสิ่งที่ไร้คุณค่าซึ่งหากกลุ่มพันธมิตรฯจะทำลายเก้าอี้พวกเราไปทำลายอย่างอื่นจะดีกว่า แต่ตนยอมรับว่าบางครั้งอาจจะมีการทำลายทรัพย์สินอย่างอื่นบ้าง ซึ่งเราก็มีการตักเตือนและมีการไล่กลับบ้านไป นอกจากนี้ยังพบว่าผู้ชุมนุมบางคนที่ก่อปัญหา เราตรวจสอบพบว่ามีบัตรโรงพยาบาลศรีธัญญาติดตัว
เมื่อถามว่า หลังจากที่ตั้งนายกรัฐมนตรีทางรัฐบาลมีการส่งตัวแทนมาเจรจากับกลุ่มพันธมิตรฯหรือไม่ พล.ต.จำลอง กล่าวว่า ยังไม่มีการส่งตัวแทนเข้ามาเจรจา ส่วนที่มีข่าวว่าพันธมิตรฯจะประกาศจุดยืนเวลา 21.00 น.นั้นต้องหารือกับทางแกนนำก่อนว่าจะเป็นอย่างไร ส่วนที่นายสุริยะใส กตะศิลา ผู้ประสานงานพันธมิตรฯ ได้ยื่นข้อเสนอ 5 ข้อนั้น ถือเป็นความคิดเห็นส่วนบุคคล จะถือเป็นมติไม่ได้ เพราะ 5 แกนนำต้องพูดคุยหารือและถามความเห็นของประชาชนที่จะมาชุมนุม อย่างไรก็ตามนายสุริยะใสอาจจะมีความคิดเช่นนี้ได้ไม่ผิดอะไร ส่วนพันธมิตรฯจะยุติการชุมนุมหรือไม่ต้องถามความเห็นผู้ชุมนุมก่อนเราจะไปตัดสินใจเองไม่ได้ แต่ยืนยันว่าเป้าหมายของพันธมิตรฯเหมือนเดิมคือต้องไม่แก้รัฐธรรมนูญและรัฐบาลพรรคพลังประชาชนต้องออกไปโดยเร็ว ถ้าหากรัฐบาลยังไม่ยอมรับในสิ่งที่พันธมิตรฯเสนอก็จะไม่มีการเจรจาใดๆ ทั้งสิ้น
** “สมชาย”แค่ละครน้ำเน่า
นายสมศักดิ์ กล่าวว่า นายสมชาย ถือเป็นบุคคลในครอบครัวชินวัตร หมดความชอบธรรมในการทำหน้าที่ เราจึงต้องเดินหน้าขับไล่ต่อไป เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นการเปลี่ยนคนเข้ามาและการเลือกนายกฯก็ไม่ได้เป็นไปตามเจตจำนงของรัฐธรรมนูญเพราะมีการล็อกตัวบุคคลไว้แล้ว เหมือนเป็นการเล่นลิเก เป็นละครน้ำเน่า มาถึงก็ยกมือโหวต เรื่องอย่างนี้มีแต่คนที่กินแกลบที่ไม่รู้ว่าเป็นการเล่นลิเก ละครน้ำเน่า
นายสมศักดิ์ กล่าวว่า ส่วนที่มีการหยิบยกข้อดีบุคลิกของนายสมชายว่าเป็นคนอ่อนน้อมตรงข้ามกับนายสมัคร ตนเห็นว่าเรื่องนี้ไม่ใช่ประเด็นที่เป็นส่วนได้เสียของประเทศชาติ หากอยู่ที่เจตจำนงของนายสมชายที่มาจากพรรคไทยรักไทยที่มาเกาะกุมผลประโยชน์เพื่อพวกพ้อง ที่นายสมชายเป็นห่วงสุขภาพของผู้ชุมนุมเป็นแค่ละครน้ำเน่าเรื่องบ้านทรายทอง ที่มีพจมานเป็นางเอก ถ้าเป็นห่วงสุขภาพของผู้ชุมนุมต้องรีบเอาพ.ต.ททักษิณ มาขึ้นศาล และยกเลิกหนังสือเดินทางทุกฉบับ และยกเลิกแถลงการณ์ร่วมไทย - กัมพูชา และสั่งพ่อนายเนวิน ให้เอาที่ดินรถไฟคืนมา
ขณะที่พล.ต.จำลอง กล่าวว่า การชุมนุมของพันธมิตรฯติดต่อกันมาเป็นเวลานานทำให้ประสบปัญหาเรื่องเต๊นท์ เนื่องจากเต้นท์มีขนาดเล็กนำมาต่อกันเวลาฝนตกน้ำก็จะรั่วซึมมาตามรอยต่อ เวลาแดดออกก็ร้อนจัด ขณะนี้ได้มีผู้ชุมนุมไม่ประสงค์จะออกนามได้บริจากเต๊นท์ขนาดใหญ่ ซึ่งทางเจ้าหน้าที่ได้รื้อเต๊นท์เล็กออกและติดตั้งเต๊นท์ขนาดใหญ่เข้าไปแทน จำนวน 2 หลัง
พล.ต.จำลอง ยังกล่าวถึงกรณีที่ได้อาสาขอรับบริจาคเงินเพื่อช่วยเหลือพนักงานเอเอสทีวี จนทำให้มีพนักงานบางคนถูกต่อว่าเป็นขอทานจากคนที่ไม่เข้าใจ ตนอยากจะชี้แจงว่า เรื่องที่เกิดขึ้นมาจากความคิดริเริ่มที่ตนอยากจะอาสาช่วยเหลือพนักงานเอเอสทีวี เนื่องจากตนทราบว่าทางนายสนธิ ลิ้มทองกุล และพนักงานประสบปัญหาเรื่องค่าใช้จ่ายแต่ทางนายสนธิไม่เคยพูดตนจึงริเริ่มอาสาช่วยเหลือเอง ซึ่งเราคงจะปฏิเสธการช่วยเหลือไม่ได้ เพราะเรื่องนี้ถือเป็นน้ำจิต น้ำใจของประชาชนที่ต้องการช่วยเหลือสื่อที่ทำหน้าที่เพื่อประชาชน

**โยนแก้รธน.เรื่องของสภา
นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ นายกรัฐมนตรี กล่าวถึงข้อเสนอของพันธมิตรฯ 5 ข้อหากรัฐบาลจะส่งคนมาเจรจาจะรับพิจารณาหรือไม่ว่า เราคนไทยด้วยกัน ทุกคนต้องการเห็นบ้านเมือง สงบ คงจะหาช่องทางตรงนั้น อย่างไรก็ต้องช่วย พิจารณาากันไปตามหลักเกณฑ์ เหตุผลที่ดีที่สุด เมื่อถามว่ากลุ่มพันธมิตรฯยืนกรานที่จะไม่ให้แก้ไขรัฐธรรมนูญ นายสมชาย กล่าวว่า ความเห็นเรื่องแก้ไขรัฐธรรมนูญมีมานานแต่ยังไม่ตกผลึกขอให้ใจเย็นๆ เป็นเรื่องของสภาไม่ใช่เรื่องของรัฐบาล เมื่อถามว่าจะทบทวนการทำประชามติที่รัฐบาลนายสมัคร เคยมีแนวทางไว้หรือไม่ นายสมชาย กล่าวว่า หลังมีรัฐบาลใหม่คงจะชัดเจน ตอนนี้ยังพูดอะไรไม่ได้ โปรดเกล้าฯแล้วค่อยว่ากัน ตนเป็นนักกฎหมาย เคร่งครัดเรื่องขั้นตอน

** “อนุพงษ์”ย้ำอย่าเคลื่อนที่
พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผบ.ทบ.ในฐานะผู้อำนวยการคณะกรรมการติดตาม สถานการณ์ร่วม (คตร.) ให้สัมภาษณ์ถึงการดูแลปัญหาความวุ่นวายที่เกิดขึ้น ในบ้านเมืองให้เกิดความเรียบร้อยว่า คณะกรรมการชุดนี้จะทำหน้าที่ในการติด ตามสถานการณ์ ประเมินสถานการณ์ และให้ข้อเสนอแนะกันหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ต่างๆ ในการที่จะแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นในขณะนี้โดยยึดกฎหมายตามปกติ และใช้แนวทางที่จะไม่ให้เกิดความรุนแรง เพื่อจะทำให้สังคมสามารถเดินหน้าต่อไปได้
ส่วนการประชุม คตร.เมื่อวันที่ 17 ก.ย.ที่ผ่านมานั้น พล.อ.อนุพงษ์ กล่าวว่า ประเด็นแรกคงจะต้องให้ข้อเสนอแนะซึ่งกันและกัน คือเรื่องการเตรียมรับสถานการณ์ หากมีการชุมนุม และเกิดความรุนแรงเกิดขึ้นของกลุ่มผู้ชุมนุมในกรณีที่ทุกๆ หน่วยได้ให้ข้อคิดเห็น คือว่าจะร่วมกันปฏิบัติหน้าที่เพื่อไม่ให้เกิดการปะทะกันหรือไม่ให้เกิดความรุนแรงเกิดขึ้น ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจจะเป็นเจ้าหน้าที่ที่รับผิดชอบตามหน้าที่ ถ้าเกินความสามารถที่จะร้องขอทางเหล่าทัพทั้งกองทัพบก กองทัพเรือ กองทัพอากาศ ในการที่จะให้การสนับสนุนในเรื่องของกำลังพล
ส่วนมาตรการที่คิดว่าน่าจะร่วมกันที่จะต้องทำให้เกิดความสงบสุข คือต้องสร้าง ความเข้าใจให้กับประชาชนก่อน ทั้งส่วนที่ไปร่วมชุมนุม และประชาชนทั่วไปว่า ในการที่จะเคลื่อนย้ายคน หรืออะไรก็แล้วแต่หากไม่มีความจำเป็นก็น่าจะอยู่ที่ในที่ชุมนุมอยู่เท่านั้น ในการที่จะเคลื่อนนั้น เพราะการเคลื่อนย้ายนั้นต้องยอมรับว่า เหตุการณ์ที่ผ่านมาเป็นสิ่งที่ชัดว่า สิ่งที่เอาไปนั้นสามารถใช้เป็นอาวุธได้ และจะเกิดความสูญเสียเกิดขึ้น ในฐานะที่เป็นพี่น้องประชาชนเป็นคนไทยด้วยกัน ก็น่าจะหลีกเลี่ยงนำสิ่งต่างๆ เหล่านั้นไป ไม่ให้เป็นอาวุธได้ และหลีกเลี่ยงที่จะไปในทิศทางที่จะไปเจอกัน
ส่วนในวันนี้ทางกลุ่ม นปช.จะทำกิจกรรมการชุมนุม ทางกองทัพได้ติดตาม สถานการณ์อย่างไร พล.อ.อนุพงษ์ กล่าวว่า ในเรื่องการชุมนุมนั้น ถ้าชุมนุมตามสันติตามกฎหมายก็สามารถชุมนุมได้ แต่การเคลื่อนกำลังหรืออะไรก็แล้วแต่ จะให้ทาง เจ้าหน้าที่ตำรวจทำหน้าที่ในการประสานงานขอร้องไม่ให้มีการเคลื่อนที่ หรือขอร้อง ไม่ให้เคลื่อนที่ไปในที่ที่มีโอกาสที่จะเกิดเหตุการณ์เกิดขึ้นได้ อย่างที่บอกเอาไว้ รวมถึงการที่จะเอาสิ่งของที่เป็นอาวุธได้
อย่างที่เกิดเหตุการณ์มาแล้วปฏิเสธไม่ได้เลยคนไทยด้วยกันใช้สิ่งที่มีอยู่นั้นทำลายกันถึงตาย เสียชีวิต ในฐานะที่เป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐก็ไม่อยากให้สิ่งนั้นเกิดขึ้น อยากให้อยู่ในกรอบของกฎหมายในสิ่งที่ตัวเองทำได้ ถ้าหากเป็นการชุมนุมโดยสันติปราศจากอาวุธก็ทำได้ ถ้าหากจะเคลื่อนที่ก็จะขอร้องไม่ให้เคลื่อนที่ แต่หากจะเคลื่อนที่ก็จะขอร้องไปในทิศทางที่ไม่ให้เกิดการปะทะกัน และไม่มีสิ่งที่จะกลายเป็นอาวุธได้จนทำให้เกิดความสูญเสีย เพราะคนที่สูญเสียก็คือชาวบ้านตาดำๆ ซึ่งการที่ครอบครัวของเขามาประสบเหตุการณ์แบบนี้ ก็ทำให้เกิดความบำลาก
ผู้สื่อข่าวถามว่ากลุ่มผู้ชุมนุมอ้างว่า ไม้เบสบอลและไม้กอล์ฟ เป็นอุปกรณ์กีฬา ไม่ใช้อาวุธ จะทำความเข้าใจเรื่องนี้อย่างไร พล.อ.อนุพงษ์ กล่าวว่า คงไม่ตีความลักษณะแบบนั้น เราต้องเอาความเป็นจริง และเกิดเหตุการณ์ขึ้นแล้ว และใช้สิ่งต่างๆ ทำร้ายกันมาจนถึงชีวิตได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งทราบกันดีว่า การเคลื่อนที่จะไปมีโอกาสที่จะปะทะกันได้ และจะใช้สิ่งต่างๆ เหล่านั้นทำร้ายซึ่งกันและกัน ที่พูดรวมทั้งสองฝ่ายไม่ใช่ ฝ่ายหนึ่ง ฝ่ายใด รวมถึงเจ้าหน้าที่ก็ไม่ได้ใช้อาวุธ อยากจะให้ความเรียบร้อยไม่อยาก ให้เกิดความสูญเสียต่อคนไทยด้วยกัน ภาพเหตุการณ์แบบนั้นมันออกไปที่ไหนทั่วโลกก็จะเกิดความเสียหายแก่ประเทศไทยทั้งสิ้น บรรยากาศของการท่องเที่ยว ภาพลักษณ์ของประเทศก็จะเสียหาย
ส่วนที่กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ยื่นข้อเสนอรัฐบาล 5 ข้อ ในการเปิดโต๊ะเจรจาถือเป็นทางออกที่ดีให้กับรัฐบาลหรือไม่ พล.อ.อนุพงษ์ กล่าวว่า ปัญหาของประเทศชาติเกิดจากความคิดเห็นไม่ตรงกันของคนสองกลุ่ม ถ้าหากมีการหาข้อยุติร่วมกันได้ โดยวิธีใดก็น่าจะทำ เมื่อถามว่า พันธมิตรฯ จะใช้วิธีดาวกระจายทางทหารจะมีวิธีการประสานงานเรื่องนี้อย่างไร พล.อ.อนุพงษ์ กล่าวว่า ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจมีส่วนเกี่ยวข้องโดยตรงคงจะต้องมีการหารือกันในการพูดคุยกับกลุ่มผู้ชุมนุมว่า ถ้าหลีกเลี่ยงได้ก็ขอให้หลีกเลี่ยงการเคลื่อน
เมื่อถามว่า วันนี้(19 ก.ย.) เป็นวันครบรอบ 2 ปี ในการทำปฏิวัติรัฐประหาร ผบ.ทบ.คิดว่าได้อะไรจากปฏิวัติ พล.อ.อนุพงษ์ กล่าวว่า ไม่มีครับ ช่วยกันดูแลต่อไปข้างหน้าในอนาคตให้มีความเรียบร้อย
พล.อ.อ.ชลิต พุกผาสุข ผู้บัญชาการทหารอากาศ กล่าวถึงผลจากการปฏิรูป การปกครอง ฯ ของ คมช.ที่ครบรอบ 2 ปีในวันที่ 19 ก.ย.ว่า ได้เห็นคดีต่างๆที่ คตส. ทำแล้วส่งให้ ปปช. ทำต่อส่งผลให้ผู้ทำผิดกฎหมายเข้าสู่ศาล บางเรื่องกำลังรอการพิพากษาคิดว่าทุกประเด็นตรงกับทุกข้อที่ชี้แจงกับประชาชนครบถ้วน แต่ที่ช้าเพราะอยากให้สมบูรณ์ที่สุด ซึ่งทุกอย่างไม่สูญเปล่า
เมื่อถามว่า กลุ่มพันธมิตรเสนอ 5 ข้อเป็นทางออกรัฐบาล พล.อ.อ.ชลิต กล่าวว่า น่าจะดี แต่ไม่ทราบว่าจะมีข้อใดทำไม่ได้หรือไม่ เมื่อถามว่า พล.อ. ชวลิต เสนอให้เลือกตั้ง 50 สรรหา 50 เหมาะสมหรือไม่ พล.อ.อ.ชลิต กล่าวว่า คงเป็นข้อเสนอแนะเหมือนกลุ่มพันธมิตรเคยเสนอ เป็นเรื่องที่ต้องไปพูดคุยวาสิ่งใดจะดี

** นปก.ชุมนุมใหญ่วันนี้
นายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.สัดส่วน พรรคพลังประชาชน อดีตแกนนำ นปก. และกลุ่มเพื่อนเนวิน กล่าวว่า การชุมนุมใหญ่ของ นปช.ในวันนั้ (19 ก.ย.) ที่ท้องสนามหลวงจะไม่มีเหตุรุนแรงเกิดขึ้น โดยเฉพาะการปะทะกัน และตนจะเป็นผู้กำชับด้วยตัวเองว่า ห้ามเคลื่อนขบวนไปไหนทั้งสิ้น โดยจะเน้นให้ความรู้ และผลของการปฏิวัติ ในช่วง 2 ปี ที่ผ่านมาแก่ผู้ชุมนุม เป็นสำคัญ ทั้งนี้ตนขอเรียกร้องไปยัง พล.อ.อนุพงศ์ เผ่าจินดา ผบ.ทบ. ที่ท่านออกมาพูดเองว่า การชุมนุมต้องอยู่ในกรอบของกฎหมาย ซึ่งกฏหมายรัฐธรรมนูญมาตรา 63 ระบุว่า ห้ามพกอาวุธ ในที่ชุมนุม ซึ่งตนอยากให้มาตรวจอาวุธ ทั้งกลุ่มผู้ชุมนุม นปช .ที่สนามหลวง และพันธมิตรฯที่ทำเนียบรัฐบาล แม้จะไม่มีการเคลื่อนที่ของกลุ่มผู้ชุมนุมก็ตาม จึงอยากให้ผบ.ทบ.นำเรื่องนี้ไปคิดด้วย เพราะที่ผ่านมาไม่เคยทำเลย ไม่ใช่ได้แต่พูดแต่ไม่ทำอะไรเลย

**สัปดาห์รู้มาตรการจับ9แกนนำ
พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ผบ.ตร.เปิดเผยการติดตามจับกุม 9 ผู้ต้องหาพันธมิตรฯว่าได้มีการหารือในคณะกรรมการติดตามสถานการณ์ร่วม (คตร.) ซึ่ง พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผบ.ทบ.เป็นประธาน โดยรายละเอียดขณะนี้ พล.อ.อนุพงษ์ กำลังวางมาตรการอยู่ โดยคาดว่าภายในสัปดาห์หน้า จะมีคำตอบเรื่องนี้ออกมา ว่าจะทำอย่างไรต่อไป ส่วนกำลังตำรวจก็ยังคงปฎิบัติการรักษาความสงบเรียบร้อยต่อไป

**ตำรวจเตรียมแก๊สน้ำตา
พล.ต.อ.จงรัก จุฑานนท์ รอง ผบ.ตร. รักษาราชการแทน ผบช.น. กล่าวถึงมาตรการในการดูแลกลุ่มผู้ชุมนุมว่า ตำรวจจะใช้มาตรการในการป้องกันการปะทะกันของกลุ่มผู้ชุมนุมให้เข้มข้นขึ้นเพื่อป้องกันมิให้เกิดเหตุการณ์ซ้ำรอยที่มีผู้ถูกทำร้ายเสียชีวิตที่ถนนราชดำเนินในการปะทะกันของกลุ่มผู้ชุมนุมที่ผ่านมา โดยจะใช้มาตรการในการป้องกัน 2 ขั้น คือ ขั้นแรกตำรวจจะวางกำลังป้องกันโดยใช้โล่เพียงอย่างเดียว แต่ถ้าหากกำลังตำรวจไม่สามารถระงับเหตุได้ ก็จะใช้ขั้นตอนที่สอง คือ ตำรวจจะใช้อุปกรณ์ปราบจราจลครบมือ คือ กระบอง และแก๊สน้ำตา เพื่อป้องกันมิให้กลุ่มผู้ชุมนุมปะทะกัน เพราะที่ผ่านมาเมื่อมีการเคลื่อนตัวปะทะกัน ตำรวจไม่สามารถป้องกันได้เนื่องจากมีโล่เพียงอย่างเดียว แต่กลุ่มผู้ชุมนุมมีอาวุธมากมาย เช่น ไม้ หนังสติ๊ก ด้ามธงปลายแหลม รวมทั้งไม้กอล์ฟ เป็นต้น
“ตำรวจขอร้องพี่น้องประชาชนให้เห็นใจตำรวจ หากไม่มีอุปกรณ์ปราบจลาจล เช่น กระบองหรือแก๊สน้ำตา ก็จะไม่สามารถป้องกันมิให้มีคนตายได้ จึงมีความจำเป็นเพื่อมิให้มีใครต้องตายอีก แต่อย่างไรก็ตามหากกลุ่มผู้ชุมนุมต่างฝ่ายต่างชุมนุมโดยสงบปราศจากอาวุธในสถานที่ของตนเอง ไม่มีการเคลื่อนไหวตัวมาปะทะกัน ตำรวจก็คงใช้โล่เพียงอย่างเดียวเท่านั้น ไม่ใช้เครื่องมืออย่างอื่น และจะใช้ความนุ่มนวลเป็นหลัก โดยจะไม่ใช้ความรุนแรงเป็นอันขาด แม้จะถูกยั่วยุจากฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดก็ตาม” พล.ต.อ.จงรัก กล่าว

**นักข่าวภาคสนามยันไม่มีที่ปรึกษา
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากกรณีที่นายมะโน ทองปาน ซึ่งอ้างตำแหน่งว่าเป็นที่ปรึกษากลุ่มนักข่าวภาคสนาม ได้ออกแถลงการณ์นักข่าวภาคสนามฉบับที่ 1 เรื่องสิทธิเสรีภาพของสื่อมวลชนโดยระบุว่าจากการที่กลุ่มพันธมิตรฯ ยึดทำเนียบฯ และมีการกระทบกระทั่งกันระหว่างนักข่าวกับกลุ่มผู้ชุมนุมบางคน โดยมีการพูดจาดูหมิ่นเหยียดหยามข่มขู่ให้กลัว ดังนั้นนักข่าวภาคสนามจึงเรียกร้องต่อกลุ่มพันธมิตรฯ ให้ความร่วมมือในสิทธิเสรีภาพการรายงานข่าวของสื่อมวลชนตามหลักสากลให้มองนักข่าวภาคสนามเป็นมิตรด้วย
ผู้สื่อข่าวรายงานว่าสื่อมวลชนส่วนใหญ่หลายสำนักที่ปักหลักทำข่าวการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรฯในทำเนียบรัฐบาล ขอชี้แจงกรณีที่นายมะโนออกแถลงการณ์ดังกล่าวว่า แถลงการณ์ดังกล่าวนายมะโนไม่ได้เป็นมติร่วมจากการหารือกับสื่อมวลชนภาคสนามที่ทำข่าวการชุมนุมที่ทำเนียบรัฐบาลแต่อย่างใด อีกทั้งสื่อมวลชนส่วนใหญ่ไม่มีใครรู้จักนายมะโนเป็นการส่วนตัว ดังนั้นแถลงการณ์การดังกล่าวจึงถือเป็นแถลงการณ์ที่เป็นมุมมองความคิดเห็นส่วนตัวของนายมะโนแต่เพียงผู้เดียวแล้วกล่าวอ้างว่าเป็นฉันทามติส่วนใหญ่ของนักข่าวภาคสนาม
อีกทั้งในกรณีที่นายมะโนอ้างตำแหน่งว่าเป็นที่ปรึกษานักข่าวภาคสนามนั้น ขอชี้แจงว่าในการทำหน้าที่ของสื่อมวลชนภาคสนามตั้งแต่เริ่มการชุมนุมมาอย่างต่อเนื่องนั้น กลุ่มผู้สื่อข่าวไม่เคยมีที่ปรึกษากลุ่มนักข่าวภาคสนาม ซึ่งการใช้ตำแหน่งนี้กล่าวอ้างขึ้นมาอาจสร้างความสับสนและเข้าใจผิดได้

ส่วนในแถลงการณ์ดังกล่าวมีการระบุว่ามีการกระทบกระทั่งและคุกคามระหว่างสื่อมวลชนกับผู้ชุมนุมบางคนถึงขั้นอุ้มตัวนักข่าวไปสอบสวน มีการสะกดรอยตามและข่มขู่นั้น นักข่าวส่วนใหญ่ที่ปฏิบัติหน้าที่ในทำเนียบรัฐบาลขอชี้แจงว่า การทำหน้าที่สื่อภายใต้สถานการณ์การชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรขณะนี้ สถานการณ์เป็นไปในทางที่ดี เนื่องจากเมื่อมีเหตุการณ์กระทบกระทั่งกันบ้างก็ถือเป็นเรื่องเล็กน้อยจากการเข้าใจผิดในการปฏิบัติหน้าที่ ซึ่งถือเป็นเรื่องปกติในการทำหน้าที่ภายใต้สถานการณ์การเมืองที่แหลมคมในขณะนี้ ซึ่งในแต่ละครั้งผู้สื่อข่าวก็ได้มีการทำความเข้าใจกับระดับแกนและหัวหน้าชุดรักษาความปลอดภัย จนมีข้อตกลงร่วมกันในระดับที่ยอมรับกันได้ ส่งผลให้สถานการณ์การทำหน้าที่สื่อในการชุมนุมอยู่ในระดับที่น่าพอใจ

**แม้วไม่กลับมาสู้คดีในไทย
สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ซึ่งหลบหนีเงื้อมมือกฎหมายไทยไปอยู่ในอังกฤษ ได้ให้สัมภาษณ์พิเศษเมื่อวานนี้(18) โดยแก้ตัวว่าข้อกล่าวหาเรื่องเขาทุจริตคอร์รัปชั่นนั้น เป็นส่วนหนึ่งในแผนการของพวกปรปักษ์ทางการเมือง ที่สมรู้ร่วมคิดกันเล่นงานเขา พร้อมกับยืนยันว่าจะไม่กลับเมืองไทยเพื่อต่อสู้คดี
“พวกคดีที่มีแรงจูงใจทางการเมือง ต้องแก้ไขกันโดยวิถีทางการเมือง ผมกำลังถูกใส่ร้ายทางการเมือง” พ.ต.ท.ทักษิณกล่าวกับรอยเตอร์ ในการให้สัมภาษณ์ทางโทรศัพท์จากบ้านพักของเขาในย่านเซอร์เรย์ อันเป็นย่านผู้มีอันจะกินซึ่งอยู่ทางด้านตะวันตกเฉียงใต้ของกรุงลอนดอน
“ผมจะเดินทางกลับเมืองไทยต่อเมื่อถึงเวลาอันถูกต้องเหมาะสม” พ.ต.ท.ทักษิณกล่าวในวันก่อนหน้าวาระครบรอบ 2 ปีของการรัฐประหารขับเขาออกจากตำแหน่งเมื่อวันที่ 19 กันยายน 2549
“ผมจำเป็นต้องรวมศูนย์สนใจที่การประกอบอาชีพในต่างประเทศ เพื่อลูกๆ และภรรยาของผม” เขากล่าวในการให้สัมภาษณ์ครั้งแรกนับตั้งแต่วันที่ 11 สิงหาคม เมื่อเขากับภรรยาออกคำแถลงยืนยันว่า ได้หลบหนีไปอยู่ในอังกฤษ
พ.ต.ท.ทักษิณไม่ยอมให้ความเห็นอะไรในเรื่องที่น้องเขยของเขา นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ได้รับเลือกจากสภาผู้แทนราษฎรให้เป็นนายกรัฐมนตรีคนใหม่
แต่เขาพูดโจมตีอย่างรุนแรงต่อพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย โดยเฉพาะที่บอกว่านายสมชายเป็นผู้นำใหม่ของกลุ่มโจร
“พวกเขาพูดอะไรก็พูดไปตามใจพวกเขา” พ.ต.ท.ทักษิณกล่าว “จากนี้ไป ไม่ว่าคุณจะทำอะไรก็ตามในโลกนี้ คุณก็จะต้องไปขออนุญาตจากพวกพันธมิตรก่อนจึงจะสามารถทำได้”
เกี่ยวกับชีวิตความเป็นอยู่ในอังกฤษ พ.ต.ท.ทักษิณบอกว่าเขาใช้ชีวิตอยู่อย่างสบายในคฤหาสน์ที่มีต้นไม้ร่มรื่น โดยที่บุตรสาวคนสุดท้องของเขา น.ส.แพทองธาร ไปเข้าเรียนระดับปริญญาโทที่มหาวิทยาลัยเซอร์เรย์ สำหรับกิจวัตรประจำวันของเขาก็มีอาทิ การออกกำลังกาย และไปเยี่ยมเพื่อนฝูง
“สุขภาพทางกายของผมสบายดี แต่ทางจิตใจแล้วไม่สบายเลย คนที่ไม่ได้อยู่ในสถานการณ์อย่างเดียวกับผมจะไม่เข้าใจหรอกว่าผมรู้สึกยังไง” เขากล่าวโดยไม่ยอมขยายความมากกว่านี้
พ.ต.ท.ทักษิณยังไม่ยอมพูดเรื่องการเจรจาขายสโมสรฟุตบอลแมนเชสเตอร์ซิตี้ ที่มีรายงานว่าได้ราคาถึง 200 ล้านปอนด์ ซึ่งสูงกว่าเงิน 81 ล้านปอนด์ที่เขาจ่ายไปในการซื้อสโมสรแห่งนี้เมื่อปี 2550 เป็นอันมาก
แต่ พ.ต.ท.ทักษิณบอกว่าเขากำลังเฝ้าติดตามวิกฤตทางการเงินในสหรัฐฯอย่างใกล้ชิด “เวลานี้มีโอกาสมากมายเลยในอเมริกา แต่เนื่องจากเงินของผมถูกอายัดเอาไว้ ผมจึงไม่มีทางที่จะไปหยิบฉวยโอกาสเหล่านี้” เขาบ่น
กำลังโหลดความคิดเห็น