“แก้วสรร” เบรกทีม “ทนายแม้ว” หัวทิ่ม ก่อนสอนมวยไม่สิทธิ์ขอเลื่อน แฉหนังสือรับมอบอำนาจจาก “ทักษิณ” ผิดปกติ-ไม่มีคำรับรองจากสถานทูต ด้าน “นาม” เร่งเครื่องเตรียมเสนอประชุมสัปดาห์ละ 2 ครั้ง บี้สรุปสำนวนส่ง ออส.
วันนี้ (1 ก.พ.) นายแก้วสรร อติโพธิ กรรมการ คตส.ในฐานะเลขานุการอนุกรรมการไต่สวนคดีของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี โดยเปิดเผยภายหลังการประชุมคณะอนุกรรมการไต่สวนฯ ว่า คณะอนุกรรมการไต่สวนได้มีการประชุมด่วน เพื่อพิจารณาหนังสือขอเลื่อนจากทีมทนายผู้ได้รับมอบอำนาจจาก พ.ต.ท.ทักษิณ 2 คดี คือ คดีร่ำรวยผิดปกติ และ 2.คดีอาญาเรื่องฝ่าฝืนกฎมาย ป.ป.ช.ซึ่งยังคงไว้ในหุ้นธุรกิจสัมปทาน และใช้อำนาจหน้าที่ในการแปลงค่าสัมปทานเป็นภาษีสรรพสามิตไม่ชอบด้วยกฎหมาย
“ทั้ง 2 คดีนี้ คตส.ได้สรุปสำนวนแล้วเสร็จตั้งแต่ก่อนการเลือกตั้ง และแจ้งให้ พ.ต.ท.ทักษิณ รับทราบถึง 2 ครั้ง โดยระบุให้มาชี้แจงแก้ข้อกล่าวหาย ซึ่ง พ.ต.ท.ทักษิณ ได้ให้ทนายความทั้ง 2 ชุดมารับข้อกล่าวหาเมื่อวันที่ 20 ม.ค.ที่ผ่านมา โดย พ.ต.ท.ทักษิณ จะต้องมาชี้แจง และแก้ข้อกล่าวหาภายในวันที่ 5 ก.พ.นี้” นายแก้วสรร ระบุ
นายแก้วสรร ยังกล่าวถึงที่ประชุมคณะอนุกรรมการว่า ได้มีมติยกคำร้องของทีมทนายทั้ง 2 คดีดังกล่าว เพราะคำร้องไม่ถูกต้อง โดยเฉพาะในส่วนของคดียึดทรัพย์นั้น ไม่ใช่เหตุผลของ พ.ต.ท.ทักษิณ ในฐานะผู้ถูกกล่าวหา ที่ต้องมีหน้าที่มารับทราบข้อกล่าวหา และทนายผู้ได้รับอำนาจได้ยื่นขอเลื่อน โดยระบุว่า ข้าพเจ้าในฐานะผู้ได้รับมอบอำนาจเพิ่งได้รับทราบข้อกล่าว จึงไม่มีเวลาในการเตรียมเอกสาร ดังนั้น หนังสือดังกล่าวจึงไม่เกี่ยวกับผู้ได้รับมอบอำนาจ แต่เป็นเรื่องของ พ.ต.ท.ทักษิณ เพราะเป็นผู้ถูกกล่าว ซึ่งคดีนี้ไม่มีผู้รับผิดชอบแทน จะมีเพียงตัวแทนช่วยในเรื่องการยื่นเรื่อง และรับส่งเอกสารเท่านั้น จึงอยากให้มีการขอเลื่อนให้ถูกต้อง ทั้งนี้ พ.ต.ท.ทักษิณ ยังมีเวลาจนถึงวันที่ 5 ก.พ.นี้
“อนุกรรมการเห็นว่า สิทธิการต่อสู้ไม่ใช่สิทธิของทีมทนาย ดังนั้นเหตุผลขัดข้องต้องเป็นของ พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่ใช่ของทีมทนาย เหตุผลจึงรับฟังไม่ได้ และเราไม่แน่ใจว่าทีมทนายได้ส่งข่อกล่าวหาให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ทราบหรือยัง และจากการตรวจสอบหนังสือมอบอำนาจให้ทีมทนายนายเมื่อวันที่ 12 ม.ค. เป็นเอกสารที่ไม่น่าเชื่อถือ เพราะ พ.ต.ท.ทักษิณ อยู่ที่ฮ่องกง นางกาญจนาภา หงส์เหิน เลขาส่วนตัวคุณหญิงพจมาน อยู่กรุงเทพฯ จะไปหารือกันเมื่อไหร่ ซึ่งไม่มีเหตุผลที่จะเชื่อได้ ที่สำคัญหนังสือมอบอำนาจดังกล่าวไม่มีการรับรองจากสถานทูต ซึ่งล่าสุด ผมได้ชี้แจงผ่านทางโทรศัพท์บอกทีมทนายทั้ง 2 คดีแล้ว ขอให้ไปทำคำร้องมาใหม่เพื่อให้ถูกต้อง เพราะ พ.ต.ท.ทักษิณ รู้เองว่าจะสู้ได้หรือไม่ ทีมทนายไม่มีสิทธิ” นายแก้วสรร กล่าว
เมื่อถามว่า การขอขายเวลาเป็น 60 วัน เนื่องจากเอกสารมีจำนวนมากนั้น จะเป็นเหตุผลเพียงพอหรือไม่ นายแก้วสรร กล่าวว่า ในข้อกล่าวหา คตส.เขียนไว้อย่างชัดมาก มีเหตุผล และผู้ถูกกล่าวหารู้ตัวดีว่าควรจะต่อสู้อย่างไร เช่น คดีชุกหุ้น หากมีหลักฐานที่ทำให้เราเชื่อ และเห็นเป็นอย่างอื่นเรื่องนี้ก็จบ อย่างหลักฐานของธนาคาร ยูบีเอส หากผู้ถูกกล่าวหาได้เอกสารจากธนาคารนี้ 4-5 แผ่นมายืนยันว่าเป็นของลูกชายท่าน คดีนี้ก็หลุดเลย เพราะขณะนี้หลักฐานอยู่ต่างประเทศทั้งหมด พ.ต.ท.ทักษิณ สามารถขอได้อยู่แล้ว ขึ้นอยู่กับว่าจะเอาเอกสารมาสู้ได้หรือไม่ ถ้าเหตุผลเพียงพอก็เลื่อนให้อยู่แล้ว แต่หากเป็นอีก 300 วันก็คงไม่พอ
ส่วนการขอเลื่อนดังกล่าว ถือเป็นการประวิงเวลาเพื่อรอคณะรัฐมนตรีของนายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี หรือไม่ นายแก้วสรร กล่าวว่า ไม่ทราบ เพราะที่ผ่านมาในชั้นการตรวจสอบ และไต่สวน ก็เป็นไปอย่างยากลำบาก คุณหญิงพจมาน ชินวัตร ก็เพิ่งกลับมา ตอนนี้เฉพาะคนที่อยู่ในประเทศไทย การขอพยานหลักฐานก็เป็นไปด้วยความยากลำบาก ไม่ให้ความร่วมมือ ซึ่งเราสะดุดมาโดยตลอด
ด้าน นายนาม ยิ้มแย้ม ประธานคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) เปิดเผยถึงความคืบหน้าการพิจารณาคดีที่ยังค้างอยู่ที่ คตส.ว่า ที่ผ่านมาการประชุมของ คตส.มีระยะเวลาในการร่วมประชุมพิจารณาน้อยเกินไป เพราะจะมีการประชุม คตส.ชุดใหญ่เฉพาะวันจันทร์ทุกสัปดาห์ ซึ่งอาจจะสรุปสำนวนในแต่ละคดีไม่ทัน ดังนั้นเพื่อให้การสรุปสำนวนสั่งฟ้องไปถึงสำนักงานอัยการสูงสุด (อสส.)ดำเนินการโดยเร็ว คตส.คงต้องขายเวลาในการประชุมเพิ่มเป็นอาทิตย์ละ 2 วัน คือ วันจันทร์ กับ วันพุธ โดยตนจะเสนอในประชุม คตส.ชุดใหญ่ในวันที่ 4 ก.พ.นี้
“เมื่อ 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา ผมได้ลงนามในหนังสือของบประมาณค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมจากรัฐบาล โดยผ่านสำนักงบประมาณเพื่อไว้ใช้ในช่วงการสรุปสำนวนส่งฟ้องศาล รวมถึงค่าใช้จ่ายต่างๆ เพราะงบประมาณที่ได้รับครั้งแรก อยู่ในกรอบของการทำงานระยะเวลา 1 ปี ดังนั้นเมื่อมีการต่ออายุ คตส.ออกไปจนถึงเดือน มิ.ย.นี้ จึงต้องมีการของบประมาณเพิ่มเติม แม้ว่างบฯ ก้อนแรกยังเหลืออยู่อีกบางส่วน ซึ่งร่อยหลอลงทุกวัน จึงเกรงว่าจะไม่พอในช่วงท้ายของการดำเนินการ แต่ถ้าเหลือก็ต้องส่งคืนคลัง เพราะเงินแผ่นดินตกน้ำไม่ไหล ตกไฟไม่ไหม้ โดย คตส.ไม่สามารถนำไปใช้อย่างอื่นได้ เพราะหากนำไปใช้ผิดทาง ก็ถือว่าผิดกฎหมาย” นายนาม กล่าว
เมื่อถามถึงเงินงบฯ ที่จะขอเพิ่ม จำเป็นต้องผ่านที่ประชุม ครม.หรือไม่ นายนาม กล่าวว่า ไม่จำเป็น เพราะจะผ่านทางสำนักงบประมาณ เช่นเดียวกับครั้งแรกที่ คตส.ได้ขอไป คือ การดึงเอางบฯ บางส่วนมากจากคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) และสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ที่สามารถดำเนินการได้ โดยการของบฯ ครั้งนี้ จะเป็นการดึงบางส่วนมาจาก ป.ป.ช.
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับเงินก้อนแรกที่ คตส.ได้ขออนุมัติจากรัฐบาล พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกรัฐมนตรี ในวงเงิน 60 ล้านบาท แต่รัฐบาลอนุมัติเพียง 45 ล้านบาท ซึ่งส่วนใหญ่เป็นค่าใช้จ่ายในการทำสำนวนการตรวจสอบ และไต่สวน รวมถึงขั้นการตอนการฟ้องร้องต่อศาล โดยเฉพาะในคดีแพ่งซึ่งต้องมีการวางเงินค่าประกันศาล ส่วนก้อนที่ 2 อยู่ระหว่างดำเนินการ เป็นเงินทั้งสิ้น 19 ล้านบาท โดย คตส.เตรียมงบประมาณก้อนนี้ไว้สำหรับการตั้งทีมทนายฟ้องร้องเอง หากอัยการสูงสุดสั่งไม่ฟ้อง
รายงานข่าวแจ้งเพิ่มเติมว่า เมื่อวันที่ 31 ม.ค.ที่ผ่านมา นายฉัตรทิพย์ ตัณฑประพาส ทนายความผู้ได้รับมอบอำนาจจาก พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ในคดีเอื้อประโยชน์ต่อธุรกิจครอบครัว และพวกพ้อง ที่ คตส.ได้มีมติแจ้งข้อกล่าวหาพร้อมตั้งคณะอนุกรรมการไต่สวน โดยนัด พ.ต.ท.ทักษิณ เข้าชี้แจง และแก้ข้อกล่าวหาในวันที่ 5 ก.พ.นี้ ซึ่งทีมทนายได้เดินทางเข้ายื่นหนังสือขอเลื่อนการชี้แจงออกไปเป็น 60 วัน โดยอ้างว่าข้อกล่าวหามีความซับซ้อน และมีเอกสารที่เกี่ยวข้องเป็นจำนวนมาก จึงต้องการขอเวลาในการรวบรวมเอกสารหลักฐาน เพราะไม่สามารถรวบรวมเอกสารได้ทันภายใน 15 วัน พร้อมยืนยันว่าไม่ได้ได้เป็นการยื้อ หรือประวิงเวลา