“ราษฎรอาวุโส” ชี้วิกฤตการณ์สยามมีส่วนเชื่อมโยงกับระบบสุขภาพ ระบุสังคมไทยตกอยู่ภายใต้การครอบงำ 5 แท่งอำนาจแนวดิ่ง
วันนี้ (31 ม.ค.) นพ.ประเวศ วะสี ราษฎรอาวุโส กล่าวในการประชุมวิชาการระดมพลังสร้างระบบสุขภาพที่มีหัวใจของความเป็นมนุษย์ให้เต็มทุกอำเภอ ที่ร่วมจัดโดยมูลนิธิสดศรี-สฤษดิ์วงศ์ (มสส.) และสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ว่า วันนี้ระบบสุขภาพกับมหาวิกฤตการณ์สยามมีความเชื่อมโยงกันอย่างแนบแน่น ถ้าไม่สามารถแก้วิกฤตในระบบสุขภาพได้ก็ยากมากที่จะขจัดวิกฤตการณ์ต่างๆ ภายในประเทศได้สำเร็จ ไม่ว่าจะเป็นวิกฤตเศรษฐกิจที่นับวันช่องว่างระหว่างคนจนกับคนรวยจะถ่างกว้างมากขึ้นเรื่อยๆ วิกฤตสังคมที่คงแก้ไขไม่ได้ วิกฤตสิ่งแวดล้อมที่ปัจจุบันก็ยังไม่มีวี่แววว่าจะแก้ไขได้ วิกฤตการเมืองที่มากมายด้วยการคอร์รัปชัน เลือกตั้งแล้วก็รัฐประหาร รวมทั้งวิกฤตความล้มเหลวของกลไกรัฐที่พิสูจน์ชัดแล้วว่าไม่สามารถแก้วิกฤตอื่นๆ ได้เลย
เนื่องด้วยระบบสุขภาพเป็นระบบใหญ่ในสังคมที่เกี่ยวข้องกับคนทุกคนตั้งแต่ครรภ์มารดาจนถึงเชิงตะกอน และเกี่ยวข้องชนิดพิเศษยิ่งเพราะสามารถลงลึกที่สุดในชีวิตของผู้คนผ่านการตรวจรักษาที่เขาจะยอมให้เฉพาะคนในระบบสุขภาพเท่านั้นที่สัมผัสเลือดเนื้อชีวิตของเขาได้ ฉะนั้น พันธสัญญาพิเศษระหว่างประชาชนกับระบบสุขภาพจึงเกิดขึ้น เมื่อเกิดกรณีที่แพทย์ไม่ซื่อสัตย์ต่อหน้าที่ ประชาชนจึงเสียใจมาก ขณะเดียวกัน พันธสัญญาพิเศษนี้ก็ช่วยกำกับให้บุคลากรในระบบสุขภาพปฏิบัติหน้าที่ได้ดี ไม่เห็นชีวิตเป็นการค้าขาย
ระบบสุขภาพจึงสำคัญยิ่ง เพราะถ้าระบบสุขภาพล้มเหลว สังคมทั้งระบบจะล่มสลายตามไปด้วย ประชาชนก็จะหมดศรัทธาในความดี ในทางตรงกันข้าม ถ้าระบบสุขภาพมีหัวใจของความเป็นมนุษย์ (Humanized Health Care: HHC) ก็จะดึงสังคมให้สามารถกลับมาเยียวยาวิกฤตได้ทุกชนิด เป็นการเยียวยาสังคม เยียวยาโลก (Heal the world) นั่นเอง
อย่างไรก็ตาม ศ.นพ.ประเวศ เน้นว่าที่ผ่านมาปัญหาต่างๆ ในประเทศไทยยังแก้ไขไม่ได้ก็เนื่องมาจากยังไม่ได้ลงลึกถึง ‘จิตสำนึก’ ที่เป็นศักยภาพแท้จริงของมนุษย์ จึงทำให้ไม่มีพลังในการแก้ไขอะไรเลย ถึงแม้ว่าแต่ละคนจะมีศักยภาพมาก มีเซลล์สมองมาก มีสถาบันมากมายในสังคมคอยสนับสนุน แต่ด้วยความซับซ้อนของปัญหาเหล่านี้ก็ทำให้ท้ายที่สุดมนุษย์ไร้พลังที่จะแก้วิกฤตต่างๆ จนสำเร็จ
ทั้งนี้ หากปรารถนาจะแก้มหาวิกฤตการณ์สยาม ศ.นพ.ประเวศ อรรถาธิบายว่าจักต้องปรับวิถีคิดเสียก่อน โดยต้องใช้วิถีคิดใหม่โดยสิ้นเชิง ดังที่ อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ กล่าวไว้ว่า ถ้าคิดแบบเดิมๆ มนุษยชาติจะอยู่ไม่รอดแน่ เพราะวิถีคิดเดิมๆ นั้นเป็นที่มาของ 1) คิดแบบแยกส่วน คิดโดยเอาเงินเป็นตัวตั้ง ด้านการศึกษาก็แยกส่วนจากชีวิต เพราะเอาวิชาเป็นตัวตั้ง ไม่เอาชีวิตเป็นตัวตั้ง ส่วนระบบสุขภาพก็เอาโรคเป็นตัวตั้ง กระทั่งสุขภาพถูกลดทนเป็นเรื่องของหมอและยาเท่านั้น
ทั้งนี้ อะไรที่คิดแบบแยกส่วนจะนำมาซึ่งวิกฤตเสมอ ด้วยจะตีบตัน ไปต่อไม่ได้ เหมือนจิ๊กซอว์ที่ไม่รู้ว่าภาพใหญ่คืออะไร ดังปรากฏชัดในมหาวิทยาลัยที่มักจะรู้ในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง แต่ไม่รู้ในภาพรวม ทำนโยบายสาธารณะไม่ได้ ซึ่งนโยบายสาธารณะไม่ดีก็จะทำร้ายคนตั้งแต่ครรภ์มารดาจนถึงเชิงตะกอน ที่สำคัญนโยบายสาธารณะต้องคำนึงถึงคนทั้งหมด ไม่ใช่เฉพาะบางคนบางกลุ่ม ไม่เช่นนั้นจะกลายเป็นคอร์รัปชันเชิงนโยบาย
หากเข้าใจก็จะทำให้มองเห็นว่าชีวิตคือการเชื่อมโยง การพัฒนาคือการเชื่อมโยง ระบบสุขภาพเป็นเรื่องทั้งหมด ไม่ใช่แค่หมอและยา ฉะนั้นต้องคิดแบบเชื่อมโยง อย่าคิดแบบตายตัว เพราะการคิดแบบตายตัวนำมาสู่การแยกส่วนในที่สุด
2) การเคารพศักดิ์ศรีและคุณค่าความเป็นคน ด้วยศีลธรรมพื้นฐานคือการที่ทุกคนมีศักดิ์ศรีความเป็นคน ดังนั้นพยายามอย่าเอาสมมติอื่นมาครอบคนจนเขาต้องสูญเสียศักดิ์ศรีและคุณค่าความเป็นคน โดยเฉพาะในระบบสุขภาพที่เป็นความสัมพันธ์เชิงอำนาจที่แพทย์อยู่สูงกว่าคนไข้ ซึ่งต้องปรับให้กลับมาเสมอกันโดยการใช้หัวใจของความเป็นมนุษย์ในการสื่อสารระหว่างกัน เพราะลึกที่สุดของการสื่อสารคือศีลธรรม เมื่อมีศีลธรรมแพทย์ก็จะฟังคนไข้ อธิบายคนไข้ด้วยความเคารพ ไม่ใช้สายตาดุคนไข้หรือแผ่รังสีที่ไม่เป็นมิตรต่อคนไข้
3) การเคารพความรู้ในตัวคน ที่ผ่านมากว่า 100 ปีมีแต่การสอนให้เคารพแต่ความรู้ในตำราที่มีรากฐานมาจากการพัฒนาทางวิทยาศาสตร์ ขณะที่ละเลยความรู้ในตัวคนที่อยู่ในวิถีชีวิต ดังนั้นต้องปรับใหม่โดยให้ความรู้จากตัวคนเป็นฐาน ความรู้ในตำราเป็นตัวประกอบ ถ้าทำได้เช่นนี้ก็จะทำให้แก้ไขการไม่เคารพศักดิ์ศรีและคุณค่าความเป็นคนได้ กระทั่งก่อเกิดความสัมพันธ์แบบภราดรภาพที่เสมอกัน เป็นเพื่อนกัน เป็นพลังทางสังคมที่จะนำไปสู่การแก้มหาวิกฤตการณ์สยาม
4) การสร้างพระเจดีย์จากฐาน ด้วยที่ผ่านมาประเทศไทยทำทุกอย่างจากยอด ไม่ว่าจะเป็นการศึกษา การเมือง และการสาธารณสุข เมื่อทำจากยอดก็หนักหัว ฐานอ่อนแอ จึงพังทลายลงในที่สุด ดังนั้น ต้องสร้างฐานเจดีย์ของสังคมที่เป็นชุมชนท้องถิ่นให้เข้มแข็งด้วยการหยุดยั้งการพัฒนาที่ทำลายฐานทรัพยากรชุมชนท้องถิ่นที่แลกเปลี่ยนเป็นเงินส่วนน้อยของคนส่วนน้อยที่ร่ำรวยร้อยล้าน หมื่นล้าน แสนล้านในสังคม นั่นเป็นการรวบอำนาจขึ้นไปข้างบน
การพัฒนาฐานพระเจดีย์หรือชุมชนท้องถิ่นให้เข้มแข็งผ่านสถานีอนามัย โรงพยาบาลชุมชน ก็จะทำให้สังคมไทยโดยรวมแข็งแรง เพราะเมื่อข้างล่างดีข้างบนถึงจะดีได้ ที่สำคัญต้องไม่ยึดติดในระบบอำนาจที่ไม่ได้คิดเชิงปัญญา และหันกลับมามองชุมชนท้องถิ่นอย่างจริงจัง ถ้าทำเช่นนั้นได้ภายในห้าปีสังคมไทยก็จะเข้มแข็งในทุกทางเนื่องจากประเทศไทยยังมีโครงสร้างทุกอย่างเอื้ออำนวย เพียงแต่ยังติดขัดที่วิถีคิด ไม่ได้ติดเรื่องอื่น
5) การใช้ใจนำ ความรู้ตาม การใช้ความรู้ซึ่งเป็นวิทยาศาสตร์นับเป็นข้อผิดพลาดทั้งโลก เพราะความรู้ไม่มีกำลังมากพอจะต่อต้านอำนาจและเงิน ยิ่งกว่านั้นความรู้ยังแยกส่วน ซอยย่อย ความรู้จึงรวมกันไม่ได้เหมือนกับเศรษฐกิจที่เป็นเรื่องของผลประโยชน์ ไม่เหมือน ‘ใจ’ ที่สามารถรวมกันได้ การใช้หัวใจของความเป็นมนุษย์นำจึงเป็นทุนด้วยดึงความรู้เข้ามาได้
6) ความเป็นทางการ (Formal) ด้วยความเป็นทางการจะติดรูปแบบ ดังระบบราชการที่ติดรูปแบบ เน้นการบังคับใช้กฎหมาย เช่นเดียวกันกับการติดรูปแบบของมหาวิทยาลัยที่ทำให้การบริหารเป็นไปเพื่อการบริหารกฎระเบียบมากกว่าการบริหารวิชาการ งานวิชาการเลยอ่อนแอมาก ส่งผลให้ท้ายสุดไม่อาจสู้ความไม่เป็นทางการ (Informal) ที่มีคุณค่ากว่า ใหญ่กว่า และเป็นของจริงมากกว่าได้
ถ้าสามารถปรับเปลี่ยนวิถีคิดได้ตาม 6 ข้อดังกล่าวข้างต้น ควบคู่กับการสร้างระบบสุขภาพชุมชนที่กอปรด้วย 1) ชุมชนไม่ทอดทิ้งกัน 2) เศรษฐกิจพอเพียง 3) ความเจ็บป่วยพบบ่อย 4) เบาหวาน ความดันสูง 5) ปัญหาผู้สูงอายุ 6) การควบคุมโรค 7) การสร้างเสริมสุขภาพ ก็จะคลี่คลายมหาวิกฤตการณ์สยามได้ในที่สุด กระทั่งเกิด ‘สรวงสวรรค์บนดิน’ ตามที่ ศ.นพ.ประเวศ นิยามไว้ได้ ด้วยประชาชนทั้ง 76 จังหวัด 760 อำเภอ 7,600 ตำบล และ 76,000 หมู่บ้านในประเทศไทยจะได้รับการบริการสุขภาพที่มีหัวใจของความเป็นมนุษย์จากการให้บริการตั้งแต่ระดับของสถาบันทางการแพทย์ โรงพยาบาลศูนย์ โรงพยาบาลทั่วไป โรงพยาบาลชุมชน สสอ. สถานีอนามัย อบต. จนถึงสภาผู้นำชุมชน
อย่างไรก็ตาม การจะก้าวถึงดินแดนแห่งสรวงสวรรค์นั้นได้สังคมไทยจำต้องขจัดอุปสรรคขวากหนามสำคัญจากการถูกครอบงำโดย 5 แท่งอำนาจแนวดิ่ง ที่ประกอบด้วยแท่งการเมือง ระบบราชการ ระบบการศึกษา ธุรกิจ การพระศาสนาให้ได้เสียก่อน เนื่องด้วยทั้ง 5 แท่งไม่เพียงจะนำไปสู่ความขัดแย้งสารพัดอย่าง หากยังสกัดพลังแห่งการเรียนรู้และสร้างสรรค์อย่างมากด้วย
ในทางกลับกัน ถ้าหลุดออกมาจาก 5 แท่งอำนาจได้ก็จะก่อเกิดจิตสำนึกใหม่ เคารพศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ มีความรู้ในตัว กระทั่งทำอะไรดีๆ ได้ทุกคน ทว่าการจะทำเช่นนั้นได้สังคมต้องมี Individual Nodes Networks หรือกระบวนการ INN ที่สามารถข้ามพรมแดนของหน่วยงาน เพิ่มความสำคัญกับความไม่เป็นทางการ ทุกคนสามารถร่วมกันคิดร่วมกันทำในสิ่งที่ตนเองมีความสุขความพึงพอใจ จนก่อเกิดพลัง ไม่ท้อถอยแม้เผชิญกับปัญหา เพราะฉะนั้นจักต้องส่งเสริมให้คนมาจับกลุ่มกันทำเรื่องราวต่างๆ ที่แต่ละคนแต่ละกลุ่มสนใจ จนกระทั่งเกิดกลุ่มต่างๆ เต็มสังคม
กระบวนการ INN จึงไม่เพียงไม่อยู่ในโครงสร้างอำนาจทั้ง 5 แท่งที่กล่าวมา หากยังสร้างโครงสร้างใหม่ที่ทุกคนมีเกียรติ ศักดิ์ศรี เท่าเทียมกัน ไม่คิดเชิงทำลายทำร้ายกัน กระทั่งทำให้สังคมโดยรวมมีศักยภาพมาก ซึ่งทั้งหมดทั้งมวลนี้ทุกคนทำได้เอง ไม่ต้องขออนุมัติจากใคร
ท้ายที่สุด เมื่อรวมทั้งหมดที่กล่าวมาข้างต้นครบถ้วน ก็จะทำให้ได้ระบบสุขภาพที่มีหัวใจของความเป็นมนุษย์ที่ทุกคนศรัทธาในความดี ไม่ว่าจะวิกฤตแค่ไหนก็ฟื้นคืนได้จากการศรัทธาในความดี