xs
xsm
sm
md
lg

“ยามฯ” ติง “พลังแม้ว” ไม่รู้กาลเทศะ - อัด “เหลิม” สร้างมายาภาพ

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

(ภาพจากแฟ้ม)
“ยามเฝ้าแผ่นดิน” ติงเด็ก “พลังแม้ว” ก่อม็อบป่วน กกต.ไม่รู้กาลเทศะ พร้อมจวก “เฉลิม” โวยวายอ้างสันติบาลช่วยงาน กกต.สนิทแกนนำพันธมิตรฯ หวังสร้างมายาภาพ กกต.ถูกอำนาจภายนอกกดดัน ยัน “พล.ต.ต.ชัยยะ” ช่วยงาน เพราะฝ่ายสืบสวน กกต.ทำงานอืด แนะให้ดูผลงาน อย่ามัวแต่ดูว่าเป็นคนสนิทใคร ย้ำ “สนธิ” รู้จักตำรวจแทบทุกคน รวมถึง ร.ต.อ.เฉลิมด้วย

คลิกที่นี่ เพื่อฟังรายการ ยามเฝ้าแผ่นดิน โดย คำนูณ สิทธิสมาน, ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ และสโรชา พรอุดมศักดิ์ ช่วงที่ 1

คลิกที่นี่ เพื่อฟังรายการ ยามเฝ้าแผ่นดิน โดย  คำนูณ สิทธิสมาน, ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ และสโรชา พรอุดมศักดิ์ ช่วงที่ 2

รายการ “ยามเฝ้าแผ่นดิน” ออกอากาศทางเอเอสทีวี คืนวันที่ 3 มกราคม 2551 นายคำนูณ สิทธิสมาน สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ นักวิชาการอิสระ และนางสโรชา พรอุดมศักดิ์ ร่วมดำเนินรายการ ในช่วงแรกผู้ดำเนินรายการขอร่วมถวายความอาลัย แด่สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ พร้อมกับแนะนำเสนอหนังสือ“แสงหนึ่งคือรุ้งงาม”ซึ่งเป็นหนังสือเทิดพระเกียรติ เนื่องในโอกาสเจริญพระชนมายุครบ 84 พรรษา

ผู้ดำเนินรายการ ระบุว่า หนังสือดังกล่าวมีดำริจัดทำโดยท่านผู้หญิงทัศนาวลัย ศรสงคราม พระธิดา เป็นหนังสือบันทึกประวัติศาสตร์อีกรูปแบบหนึ่งที่ดำเนินเรื่องด้วยพระฉายาลักษณ์ของสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ ที่หายาก มีความงดงามและบอกเล่าความหมายอย่างครบครัน ขณะเดียวกันยังเป็นหนังสือที่ทางรายการยามเฝ้าแผ่นดินนำมาเสนออยู่อย่างต่อเนื่อง

จากนั้นผู้ดำเนินรายการได้กล่าวถึงบรรยากาศที่ไม่เหมาะสม เมื่อมีบุคคลนำโดยนายสุรชัย แซ่ด่าน ผู้สมัคร ส.ส.นครศรีธรรมราช พรรคพลังประชาชน นำประชาชนมาชุมนุมหน้าอาคารศรีจุลทรัพย์ พร้อมทั้งนำเครื่องกระจายเสียงมากล่าวโจมตีการทำงานของคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เมื่อวันที่ 2 มกราคม ที่ผ่านมา โดยมองว่าเป็นสิ่งที่ไม่น่าเกิดขึ้นในช่วงเวลาที่ประเทศกำลังอยู่ในช่วงร่วมถวายความอาลัย แด่สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ เชื่อว่า กกต.จะมีมาตรการออกมาป้องกันไม่ให้เกิดเรื่องในลักษณะดังกล่าวขึ้นมาอีกแน่นอน

ผู้ดำเนินรายการ กล่าวอีกว่า วันนี้มีสิ่งที่น่าสนใจเกิดขึ้นอยู่ 2 ประการ คือ 1.ชัดเจนแล้วว่า กกต.มีมติรับรองผลการเลือกตั้ง ส.ส.397 คน ส่วนที่เหลืออีก 83 คน ต้องรอผลการพิจารณาว่า จะโดนใบเหลืองหรือใบแดงจาก กกต.หรือไม่ ซึ่งหากมองจากเวลาในการพิจารณาแล้ว กกต.ต้องดำเนินการให้เสร็จสิ้นภายในวันที่ 17-18 มกราคม ก่อนส่งกฤษฎีกาตรวจสอบ ดังนั้นจึงเป็นที่น่าจับตามองว่า เมื่อถึงวันที่ 21 มกราคมแล้วเราจะมี ส.ส.ครบ 95 เปอร์เซ็นต์ เพื่อเปิดประชุมสภานัดแรกได้หรือไม่ ซึ่งหากไม่ครบ สภาผู้แทนราษฎรก็เปิดไม่ได้ สถานการณ์ทางการเมืองก็ยังมีโอกาสพลิกผันได้ตลอด

** “พลังแม้ว” ปอด ชิงดึง 3 พรรคเล็กแถลงตั้ง รบ.

สำหรับประการที่ 2 คือ พรรคพลังประชาชนกลัวสถานการณ์จะพลิกผัน จึงชิงประกาศจัดตั้งรัฐบาลร่วมกับ 3 พรรคเล็ก ตั้งแต่วันที่ 31 ธ.ค. (จากกำหนดเดิมที่จะประกาศวันที่ 3 ม.ค.) ก่อนจะส่งคนไปเทียบเชิญพรรคชาติไทย และพรรคเพื่อแผ่นดินซึ่งถึงแม้ 2 พรรคนี้จะไม่ประกาศอย่างเป็นทางการ แต่ก็เป็นที่รู้กันอยู่ภายใน ที่สำคัญยังมีกำหนดแถลงข่าวการร่วมรัฐบาลในวันที่ 2 มกราคมที่ผ่านมา แต่เนื่องด้วยเหตุการณ์ไม่คาดฝันที่เกิดขึ้น พรรคพลังประชาชนจึงยกเลิกกำหนดการแถลงข่าวออกไป เป็นการยกเลิกด้วยความรู้สึกที่เสียดายของแกนนำบางคนด้วย

**จวก “เหลิม” สร้างมายาภาพ

ส่วนกรณีที่ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ว่าที่ ส.ส.ระบบสัดส่วน พรรคพลังประชาชน ออกมาอ้างว่า ตำรวจสันติบาลที่ไปช่วยงานด้านสืบสวนสอบสวนคดีทุจริตเลือกตั้งของ กกต. คือ พล.ต.ต.ชัยยะ ศิริอำพันธ์กุล รองผู้บังคับการตำรวจสันติบาล มีความสนิทสนามกับแกนนำพันธมิตรพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ซึ่งก็คือนายสนธิ ลิ้มทองกุลนั้น ผู้ดำเนินรายการ มองว่า การพูดของ ร.ต.อ.เฉลิม ทำให้เกิดความสับสน เช่นกับการพูดของนพ.สุรพงษ์ สืบวงษ์ลี เลขาธิการพรรค และนายสมัคร สุนทรเวช หัวหน้าพรรคพลังประชาชนที่พูดในทำนองเดียวกัน ทำให้เกิดการคาดคิด เกิดมายาภาพคล้ายกับว่ามีอำนาจนอกระบบมากดดัน กกต. หรือมองไปว่าคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.) ส่งคนคนหนึ่งเข้ามาเพื่อทำร้ายพรรคพลังประชาชนโดยเฉพาะ

ผู้ดำเนินรายการกล่าวว่า นายสนธิมีความสนิทสนมกับตำรวจจำนวนมาก ทั้งอดีตผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) นายตำรวจอีกหลายคน หรือแม้แต่แม้ตำรวจนอกราชการอย่าง ร.ต.อ.เฉลิม ก็เคยรู้จักสนิทสนมกันมา ดังนั้น หากบอกว่านายสนธิสนิทสนมกับ พล.ต.ต.ชัยยะ ก็คงไม่ใช่เรื่องแปลก แต่การเข้าไปทำงานของ พล.ต.ต.ชัยยะ นั้นไม่มีความเกี่ยวพันกับนายสนธิ พล.ต.ต.ชัยยะ เข้าไปทำงานอย่างถูกต้องและเปิดเผย และได้การรับรองจาก กกต.อย่างถูกต้อง

“สาเหตุที่ พล.ต.ต.ชัยยะ เข้าไปทำงานในตรงนั้น มาจากฝีมือ มีประสบการณ์ในการสืบสวนสอบสวน การจัดสำนวน เป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวาง และที่ได้เข้าไปช่วยงาน กกต.ก็เพราะคุณสมชัย จึงประเสริฐ กกต.ฝ่ายสืบสวนสอบสวน เป็นคนแต่งตั้ง เมื่อเข้าไปแล้วจึงมีโอกาสพบกับ กกต.คนอื่นๆ ซึ่งทุกคนก็ยอมรับ”

อีกทั้งยังได้รับคำแนะนำให้เสนอแผนงานการสืบสวนสอบสวนขึ้นมา เมื่อก่อนการเสนอเรื่องขึ้นไป เรื่องกลับไปติดอยู่กับเจ้าหน้าที่ระดับล่างของ กกต.จะติดด้วยหลงลืมหรือไม่คงไม่สามารถตรวจสอบได้ แต่เมื่อ กกต.รู้ว่าติด แล้วเอาเรื่องกลับมาดูเมื่อไม่นานมานี้ กกต.จึงมีมติให้แบ่งงานเป็นสองส่วน คือ กกต.ทำหน้าที่เหมือนรัฐบาล ทีมของนาย สมชัย จึงประเสริฐ เหมือน สตช.และทีมของพล.ต.ต.ชัยยะ เหมือน ดีเอสไอ เป็นการช่วยกันทำงานซึ่งก็ไม่น่าจะมีปัญหา แต่ในที่ผ่านมาเกิดปัญหาโดยนายสมชัย นั้นอยากให้ส่งเรื่องมาตรวจสอบก่อนส่งตรงไปที่ กกต.แต่ท้ายที่สุดมติ กกต.ก็ให้ทีมของ พล.ต.ต.ชัยยะ ส่งตรงโดยไม่ต้องผ่าน เพราะเกรงจะเสียเวลาในการพิจารณา เป็นมติที่รับรองอย่างเปิดเผยและถูกต้องชอบธรรมด้วย

**แฉปมขัดแย้งใน กกต.

ผู้ดำเนินรายการ ยังกล่าวถึงความขัดแย้งใน กกต.ว่า ตัวอย่างที่ชัดเจนคือกรณีการเก็บสำนวนสืบสวนสอบสวนการทุจริตเลือกตั้งที่ จ.เชียงราย ซึ่งเป็นเอกสารลับ ซึ่งตามปกติเมื่อดูเสร็จแล้วต้องส่งคืนโดยมีการเซ็นรับรองป้องกันไม่ให้ข้อมูลรั่วไหล พล.ต.ต.ชัยยะ ในฐานะผู้ส่งเรื่องให้พิจารณาจึงขอเอกสารดังกล่าวคืนหลังจากมีการพิจารณาเสร็จสิ้นแล้ว ซึ่ง กกต. 4 คนได้ส่งเอกสารคืน แต่นายสมชัย ไม่คืนโดยไม่ยอมให้เหตุผลอะไร ขณะที่อีกด้านหนึ่งก็มีการออกใบปลิวโจมตี กกต.ขึ้นภายในอาคารศรีจุลทรัพย์ เนื้อหามันชัดเจนว่า เป็นฝีมือของคนเก่า อยู่ทำงานมานาน ดังนั้นการเปลี่ยนระดับหัวคงไม่ช่วยอะไร เนื่องจากเจ้าหน้าที่ระดับล่างล้วนเป็นเจ้าหน้าที่ที่ถูกแต่งตั้งมาตั้งแต่ยุค พล.ต.อ.วาสนา เพิ่มลาภ ดังนั้นภาพความขัดแย้งจึงเกิดขึ้นได้เสมอ

นอกจากนี้ ผู้ดำเนินรายการ ยังมองว่า การเลือกตั้งครั้งนี้ เป็นการเลือกตั้งที่มีการใช้เงินมากที่สุด มีพฤติกรรมเข้าข่ายทำผิดกฎหมายอีกจำนวนมาก ทั้งการแจกวีซีดี การเคลื่อนไหวของอดีตกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทย 111 คน แต่ปรากฏว่าไม่มีสำนวนเหล่านี้ขึ้นมา หรือมีก็ขาดน้ำหนักไม่สามารถเอาผิดได้ โดยเฉพาะเมื่อไม่นานมานี้มีข่าวสำนวนการทุจรติเลือกตั้งที่ส่งขึ้นมาร่วมพันคดีถูกยกออกไปหมดแล้ว ดังนั้นเห็นด้วยที่ พล.ต.ต.ชัยยะ จะเข้ามาช่วยงาน จะเป็นใครมาจากไหนไม่สำคัญกว่าสำนวนการสืบสวนสอบสวนที่ออกมา ซึ่งไม่ได้กลั่นแกล้งใคร เพราะชื่อว่า กกต.ทั้ง 5 คน คงไม่มีใครที่จะแหย่เท้าเข้าไปในคุกอย่างแน่นอน

**ได้ช่วยงาน กกต.เพราะผลงาน “เด็กแม้ว”

ผู้ดำเนินรายการ กล่าวอีกว่า คำกล่าวหาที่ระบุว่า พล.ต.ต.ชัยยะ มีความสนิทสนมใกล้ชิดกับนายสนธิ ของ ร.ต.อ.เฉลิม ฟังไม่ได้ ทุกอย่างสามารถพิสูจน์กันได้ นายสนธิ ทำอะไรแหงนหน้าไม่อายฟ้าก้มหน้าไม่อายดิน รู้จักกับใครก็พูดกันตรงๆ วันนี้ก็ฝากมาบอกว่ารู้จักกับพล.ต.ต.ชัยยะ พร้อมกับชมเชยการทำหน้าที่อย่างตรงไปตรงมาอีกด้วย

“เหตุที่ พล.ต.ต.ชัยยะ มาอยู่ในตรงนี้ก็เป็นฝีมือ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เมื่อครั้งเป็นนายกรัฐมนตรี สมัยนั้นท่านนั่งเป็น ผบก.สตม.แต่เมื่อคุณสนธิ ออกมาสู้และเคลื่อนไหวต่อต้านระบอบทักษิณ ด้วยความที่รู้จักและสนิทสนมกันมาก่อน พล.ต.ต.ชัยยะ จึงมาเยี่ยมเยียนถามถึงสารทุกข์สุกดิบ เป็นเหตุให้ถูกจับตามองจากฝ่ายรัฐบาล และในที่สุดก็มีเสียงมาจากทำเนียบรัฐบาลว่า คุณผดุง ลิ้มเจริญรัตน์ อยากพบ ซึ่งท่านก็ไม่ไป ส่งข่าวมาอีกครั้งก็ไม่ไป จนถูกผู้บังคับบัญชาสอบถาม ซึ่งท่านก็ตอบไปว่า "นายผดุงเป็นใครถึงต้องไป" จากนั้นไม่ช้าไม่นานก็ถูกคำสั่งย้ายไปเป็น ผบก.สตช.นั่งตบยุงไม่มีงานทำ”

หลังจากนั้นได้รับคำแนะนำให้มาช่วยราชการที่ กกต.ดังนั้นหากไม่มีการย้ายจาก สตม. พล.ต.ต.ชัยยะ ก็ไม่ต้องมาทำงานในหน้าที่ตรงนี้ก็ได้ นี่คือสถานการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นและเป็นจริง มันสร้างความสั่นสะเทือนให้กับพรรคพลังประชาชนพอสมควร อีกทั้งยังไม่รู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ที่สำคัญมีข่าวว่า มีการระดมคนมากดดัน กกต.เป็นจำนวนมาก ทั้งๆ ที่ประเทศเรากำลังร่วมถวายความอาลัยแด่สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ ผู้ดำเนินรายการกล่าว
(ภาพจากแฟ้ม)
คลิกที่นี่ เพื่อชมวิดีโอคลิป
รายการยามเฝ้าแผ่นดิน ช่วงที่ 1

( 56 k ) | ( 256 K )



คลิกที่นี่ เพื่อชมวิดีโอคลิป
รายการยามเฝ้าแผ่นดิน ช่วงที่ 2

( 56 k ) | ( 256 K )
(ภาพจากแฟ้ม)
กำลังโหลดความคิดเห็น