กกต.เตรียมปล่อยผีเข้าสภาประกาศ 380 ว่าที่ ส.ส.ที่เหลือ 100 คน เตรียมวินิจฉัยให้เสร็จกลางเดือนนี้ ด้าน “อภิชาต” ปัด กกต.เกาเหลารุนแรง แต่รับอาจมีสับเปลี่ยนงานในความรับผิดชอบหลังเลือกตั้ง ส.ว.
วันนี้ (3 ม.ค.) นายประพันธ์ นัยโกวิท กกต.ด้านบริหารการเลือกตั้ง กล่าวว่า กกต.จะพิจารณาเรื่องประกาศรับรองผล ผู้ที่ไม่มีเรื่องร้องเรียน รวมทั้งที่มีเรื่องร้องเรียนแต่ กกต.ประกาศยกคำร้องไปแล้วประมาณ 380 คน ซึ่งรวมทั้ง ส.ส.แบบสัดส่วนด้วย ส่วนอีกประมาณ 100 คนที่เหลือ กกต.จะเร่งดำเนินการให้เร็วที่สุด เรื่องอะไรที่อยู่ในการสอบสวนเพิ่มเติม เชิญผู้สมัครมาให้ข้อมูลก็ต้องรีบพิจารณาโดยเร็วโดยอยากให้เสร็จภายในกลางเดือนนี้ เพื่อดูว่าจำนวน ส.ส.จะครบ 456 คน ซึ่งเป็นตัวเลข 95 เปอร์เซ็นต์ ที่สามารถเปิดสภาได้หรือไม่ เพื่อให้สำนักงานเลขาธิการรัฐสภาทำเรื่องกราบบังคมทูลเพื่อเปิดสภาได้
สำหรับการจัดการเลือกตั้งรอบแรกคือการเลือกตั้งที่ จ.นครราชสีมา เขต 3 ซึ่ง กกต.สั่งให้ใบเหลืองไป โดยเลือกตั้งในวันที่ 13 ม.ค.นี้ ส่วนกรณีใบแดงที่ จ.บุรีรัมย์ คงต้องรอดูคณะกรรมการกฤษฎีกาพิจารณา ว่า จะเห็นด้วยกับความเห็นของ กกต.หรือไม่ หากเห็นด้วยจะจัดการเลือกตั้งในวันที่ 19 ม.ค.เนื่องจากในวันที่ 20 ม.ค.จะมีการเลือกตั้งนายก อบจ.ทั้งจังหวัด จึงไม่สะดวกที่จะเลือกตั้งในวันเดียวกัน สำหรับกรณีอื่นที่อยู่ระหว่างการแจ้งข้อกล่าวหา หากต้องเลือกตั้งใหม่ กกต.สามารถจะจัดการเลือกตั้งได้ในวันที่ 20 ม.ค.อีกวันหนึ่ง เพราะเราอยากให้ทุกอย่างจบภายในเดือนนี้ และสามารถเปิดประชุมสภาได้ทัน
นายประพันธ์ กล่าวถึงการให้สอบสวนเพิ่มเติมในเรื่องร้องเรียน ว่า เรื่องที่สุพรรณบุรีเป็นเรื่องที่ผู้สมัครในพื้นที่ทำเรื่องร้องกล่าวหาเจ้าหน้าที่ จึงได้ให้มีการสอบหลักฐานเพิ่มเติม ยังไม่มีข้อเท็จจริงอะไรที่จะพิจารณาได้ตอนนี้ มีเป็นเพียงข้อกล่าวหาว่าเจ้าหน้าที่อาจจะไปช่วยชี้แนะให้เลือกเบอร์นั้นเบอร์นี้ แต่ข้อเท็จจริงก็ยังไม่ครบถ้วน และยังมีพยานที่ต้องสอบอีกหลายปาก ทั้งกรรมการประจำหน่วย และเจ้าหน้าที่อื่นๆ ส่วนจะส่งผลกระทบกับการพิจารณาใบเหลือง-ใบแดง กับผู้สมัครในเขตนั้นหรือไม่ คงต้องขึ้นอยู่กับข้อเท็จจริงและพยานหลักฐาน
ด้าน นายอภิชาต สุขัคคานนท์ ประธาน กกต.กล่าวถึงกรณีที่มีการแจ้งการข่มขู่ กกต.จังหวัดบุรีรัมย์ ว่า เมื่อวันที่ 2 ม.ค.ที่ผ่านมา ได้โทรศัพท์คุยกับประธาน กกต.บุรีรัมย์ เรื่องเกี่ยวกับการแก้ปัญหาเรื่องนี้ แต่คิดว่าคงไม่มีปัญหาอะไร ประธาน กกต.บุรีรัมย์ ก็พร้อมจะสู้ ไม่หวั่นไหว เพราะมันมีข่าวไม่ดี ข่าวเกี่ยวกับความรุนแรงเกิดขึ้นไปทั่ว แต่ กกต.เองก็จะตั้งใจทำงานให้ตรงไปตรงมา ให้ถูกต้องที่สุด ส่วนเรื่องการรักษาความปลอดภัยก็ทำกันอยู่แล้ว แต่คงไม่ถึงกับต้องขอกำลังทหาร เพราะเท่าที่ผ่านมาก็มีเจ้าหน้าที่ตำรวจคอยดูแลรักษาความปลอดภัยอยู่ที่สำนักงานอยู่แล้ว ส่วนหาก คมช.ต้องการส่งคนมาดูแลรักษาความปลอดภัย ก็ถือว่าเป็นเจตนาที่ดี แต่จะจำเป็นถึงขนาดนั้นหรือไม่ คงต้องคุยกับที่ประชุมอีกครั้ง
“ผมอยากขอร้องสื่อว่าบางสิ่งก็ไม่ได้รุนแรงอย่างที่เป็นข่าวออกไป จึงขอความร่วมมือในการเสนอข่าวว่าอย่าให้ประชาชนวิตก หวั่นเกรงมากไป อย่างเรื่องที่บอกว่า กกต.ด้วยกันแตกหัก เมื่อกี้ก็ประชุมหัวเราะกันอยู่ แล้วก็คุยกันว่า เราไม่ได้แตกหักอะไร เราก็ทำงานของเราไปในสภาพของความวุ่นวายของ กกต.เองก็ไม่ได้มีอะไรน่ากลัว”
เมื่อถามถึงกรณีที่ นายสมชัย จึงประเสริฐ กกต.ด้านสืบสวนสอบสวนและวินิจฉัย ระบุว่า จะกลับไปอยู่ศาลยุติธรรม นายอภิชาต กล่าวว่า คงไม่ต้องปรับความเข้าใจ เพราะนายสมชัยก็บอกแล้วว่าไม่มีความขัดแย้งอะไร ความคิดเห็นที่แตกต่างกันคงไม่ทำให้พวกเราทะเลาะกัน ทุกคนเป็นมิตรที่ดีต่อกัน และทำงานร่วมกันได้ อย่างไรก็ตาม ในการทำงานของ กกต.จะต้องมีการปรับปรุงงานแน่นอนอยู่แล้ว ซึ่งเราอาจจะเปลี่ยนวิธีการเป็นอย่างอื่น แต่ก็ต้องพูดกันทั้ง 5 คน ถ้าสับเปลี่ยนก็สับเปลี่ยนทุกคน อาจเปลี่ยนงานความรับผิดชอบ เหมือนข้าราชการทั่วไปที่ต้องย้าย ถ้าเราทำงานกันวาระอยู่ถึง 7 ปี ก็ต้องมีการปรับบ้าง
เมื่อถามต่อว่า แสดงว่า จะมีการเปลี่ยนงานในความรับผิดชอบของ กกต.ใช่หรือไม่ นายอภิชาต กล่าวว่า ถือเป็นการสับเปลี่ยนกัน เพราะงานของ กกต.มี 5 ด้าน เท่ากับ กกต.5 คน ถ้าเปลี่ยนแปลง ก็คือ การสลับตำแหน่ง แต่ละคนก็รับผิดชอบกันอีกด้าน เมื่อถามว่า สนใจที่จะรับผิดชอบงานด้านสืบสวนสอบสวนหรือไม่ นายอภิชาต กล่าวว่า ตนทำได้ทุกอย่าง อย่างที่รับผิดชอบด้านบริหารจัดการทั่วไปก็เพราะให้คนอื่นเลือกก่อน เมื่อเหลือด้านเดียวตนก็รับผิดชอบไป อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ยังไม่ได้คุยกัน ซึ่งเห็นว่าเวลาที่เหมาะสมในการปรับปรุงงานรับผิดชอบคือหลังช่วงเลือกตั้ง ส.ว.
ส่วนกรณีที่ นายไชยวัฒน์ สินสุวงศ์ ผู้สมัคร ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ ร้องศาลฎีกาเพื่อขอให้ยกเลิกผลการเลือกตั้ง นายอภิชาต กล่าวว่า อยากขอร้องให้ศาลวินิจฉัยออกมาก่อน เพราะถ้าไปพูดว่าถ้าวินิจฉัยอย่างนั้นแล้วจะเกิดผลอย่างนี้ นี่คือ การกดดันศาล ตนเป็นศาลมาก่อนก็รู้ ดังนั้น ขอให้ปล่อยท่านวินิจฉัยไปตามที่หลักฐานปรากฏ ขอให้รอฟังผลการวินิจฉัยก่อน
