xs
xsm
sm
md
lg

สมช.แจงปมหยุดยิง ยันไทยพร้อมรบหากเขมรรุกรานอีก ย้ำยึดมั่นแผนที่ 1 ต่อ 50,000 รอรัฐบาลหน้าถก JBC อาจทบทวน MOU43

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



สมช.ออกแถลงการณ์แจงกรณีหยุดยิงกับกัมพูชา รัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาและตัดสินใจร่วมกันอย่างรอบคอบ พร้อมป้องกันตนเองหากละเมิดอธิปไตยอีก เผยปล่อย 18 เชลยตามพันธกรณีระหว่างประเทศ ย้ำประเด็นเขตแดนไทยยึดมั่นแผนที่ 1:50,000 ขณะนี้เป็นรัฐบาลรักษาการ ประชุม JBC ต้องรอรัฐบาลถัดไป ซึ่งอาจทบทวน MOU 43

วันนี้(31 ธ.ค.) สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ออกคำแถลงการณ์ ประเด็นสถานการณ์บริเวณชายแดนไทย–กัมพูชา ดังนี้

คำแถลงการณ์ สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ ประเด็นสถานการณ์บริเวณชายแดนไทย – กัมพูชา

1.สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ในฐานะฝ่ายเลขานุการของสภาความมั่นคงเเห่งชาติ ซึ่งมีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน ยินดีกับแถลงการณ์ร่วม (Joint Statement) ซึ่งเป็นผลลัพธ์จากการประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป (General Border Committee : GBC) ไทย – กัมพูชา สมัยพิเศษ ครั้งที่ 3/2568 ที่สะท้อนให้เห็นความจริงใจและเจตนารมณ์ของไทยในการแก้ไขความขัดแย้งด้วยสันติวิธีผ่านกรอบความร่วมมือระดับทวิภาคีที่ทั้งสองประเทศมีร่วมกัน โดยแถลงการณ์ร่วมดังกล่าวดำเนินการภายใต้กรอบที่สภาความมั่นคงและคณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบ เมื่อวันที่ 26 ธันวาคม 2568

2. สมช. ขอยืนยันว่าการลงนามในแถลงการณ์ร่วมดังกล่าวเป็นผลจาก การพิจารณาและตัดสินใจร่วมกันของรัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างรอบคอบ โดยให้ความสำคัญสูงสุดกับการคุ้มครองชีวิต ความปลอดภัย และความเป็นอยู่ของเจ้าหน้าที่และประชาชน ทั้งนี้ ประเทศไทยยังคงยึดมั่นในหลักการแห่งสันติภาพและการแก้ไขปัญหาโดยสันติวิธี อย่างไรก็ตาม ในกรณีที่ประเทศไทยถูกละเมิดอธิปไตยหรือถูกรุกรานอีกครั้ง ประเทศไทยมีความจำเป็นและมีสิทธิอันชอบธรรมในการใช้สิทธิในการป้องกันตนเองตามหลักความจำเป็นและได้สัดส่วน ภายใต้กรอบของกฎบัตรสหประชาชาติและกฎหมายระหว่างประเทศ ซึ่งประเทศไทยได้ปฏิบัติตามพันธกรณีดังกล่าวมาโดยตลอดอย่างเคร่งครัดและสม่ำเสมอ

3. ประเด็นการเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ไทย – กัมพูชา
• ที่ผ่านมารัฐบาล กองทัพ ภายใต้การสนับสนุนของประชาชน ได้ร่วมกันทำหน้าที่ในการปกป้องอธิปไตยและบูรณภาพแห่งดินแดนอย่างสุดความสามารถ ซึ่ง สมช. ขอแสดงความเสียใจอย่างสุดซึ้งต่อความสูญเสียของเจ้าหน้าที่ทหาร ตำรวจ และประชาชนผู้บริสุทธิ์ อย่างไรก็ดี สมช. มีการบูรณาการความร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง คือ กระทรวงกลาโหม กระทรวงมหาดไทย และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เพื่อดำเนินการให้ความช่วยเหลือและเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบทั้งเจ้าหน้าที่ของรัฐและประชาชนอย่างเหมาะสม ครอบคลุม และต่อเนื่อง ตลอดจนดูแลความเป็นอยู่และความปลอดภัยของประชาชนในพื้นที่อย่างเต็มที่

4. ประเด็นด้านมนุษยธรรม
• ที่ผ่านมา ประเทศไทยให้ความสำคัญอย่างยิ่งต่อหลักกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศและกฎหมายระหว่างประเทศที่เกี่ยวข้อง โดยให้ความสำคัญกับการคุ้มครองชีวิต ศักดิ์ศรี และความปลอดภัยของบุคคลที่ไม่เข้าร่วมการสู้รบเป็นหลัก จึงนำมาซึ่งการปล่อยตัวเชลยศึกกัมพูชาจำนวน 18 คน

ในวันนี้ ตามมติสภาความมั่นคงแห่งชาติครั้งที่ 18/2568 ซึ่งสะท้อนถึงความมุ่งมั่นของประเทศไทยในการปฏิบัติตามหลักมนุษยธรรมและพันธกรณีระหว่างประเทศอย่างเคร่งครัด

• ประเทศไทยคาดหวังให้กัมพูชา แสดงท่าทีและบทบาทอย่างเป็นรูปธรรมในการปฎิบัติตามหลักกฎหมายระหว่างประเทศ และหลักมนุษยธรรมในลักษณะเดียวกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเด็นที่ส่งผลกระทบโดยตรงต่อความปลอดภัยของประชาชน เช่น การคุ้มครองสวัสดิภาพและอำนวยความสะดวก

คนไทยในกัมพูชาให้กลับประเทศได้อย่างปลอดภัย การป้องกันอันตรายจากทุ่นระเบิดสังหารบุคคล เพื่อไม่ให้เกิดเหตุการณ์สูญเสียซ้ำแล้วซ้ำเล่า ทั้งนี้ กัมพูชาต้องแสดงความจริงใจในการร่วมมือและเร่งรัดการเก็บกู้ทุ่นระเบิดในพื้นที่เสี่ยงอย่างจริงจัง

• ขอย้ำว่าการดำเนินการดังกล่าวสอดคล้องกับหลักการสำคัญของกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ ได้แก่ หลักการแบ่งแยกพลรบกับพลเรือน (Principle of Distinction) หลักความได้สัดส่วน (Proportionality) และหลักมนุษยธรรม (Humanity) รวมถึงเป็นไปตามอนุสัญญาว่าด้วยการห้ามใช้ สะสม ผลิต และโอนทุ่นระเบิดสังหารบุคคล และการทำลายทุ่นระเบิดดังกล่าว (Ottawa Convention) ซึ่งมุ่งหมายให้รัฐภาคีงดการใช้และการกระทำใด ๆ ที่อาจก่อให้เกิดอันตรายต่อพลเรือนดำเนินการเก็บกู้ทุ่นระเบิดอย่างเป็นระบบและป้องกันมิให้เกิดเหตุการณ์ที่สร้างความสูญเสียต่อทุกฝ่ายในอนาคต

• เห็นว่าการยึดมั่นในหลักมนุษยธรรมและการปฏิบัติตามพันธกรณีตามอนุสัญญาดังกล่าวอย่างจริงใจ จะเป็นรากฐานสำคัญในการสร้าง ความไว้วางใจ สันติภาพ และความปลอดภัยอย่างยั่งยืนตามแนวชายแดนและในภูมิภาคโดยรวม

5. ประเด็นการปราบปรามอาชญากรรมทางไซเบอร์ และการหลอกลวงทางอินเทอร์เน็ต
• เมื่อวันที่ 17 – 18 ธันวาคม 2568 กระทรวงการต่างประเทศของไทยร่วมกับสำนักงานว่าด้วยยาเสพติดและอาชญากรรมแห่งสหประชาชาติ (UNODC) จัดการประชุมระหว่างประเทศว่าด้วยหุ้นส่วนระดับโลกเพื่อต่อต้านอาชญากรรมหลอกลวงทางอินเทอร์เน็ต (International Conference on the Global Partnership against Online Scams) โดยมีผู้เข้าร่วมกว่า 60 ประเทศ ซึ่งไทยถือว่าปัญหาดังกล่าวเป็นภัยคุกคามร้ายแรงและเป็นปัญหาร่วมของประชาคมระหว่างประเทศ ทั้งนี้ ต้องขอขอบคุณนานาประเทศที่สนับสนุนบทบาทของไทยในเวทีดังกล่าว อย่างไรก็ดี เป็นที่น่าเสียดายที่กัมพูชาไม่ได้เข้าร่วมการประชุมฯ

• ที่ผ่านมา สำนักงานตำรวจแห่งชาติของไทยได้จัดทำแผนปฏิบัติการเพื่อการความร่วมมือในการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติรวมถึงการหลอกลวงทางไซเบอร์และการค้ามนุษย์ร่วมกับกัมพูชา แต่การดำเนินการยังไม่มีความคืบหน้ามากนัก จึงต้องการเห็นกัมพูชาร่วมมือในการดำเนินการปราบปรามอาชญากรรมดังกล่าวอย่างเด็ดขาดและเป็นรูปธรรม เพื่อความมั่นคงของภูมิภาค

6. ประเด็นเขตแดน
• การแก้ไขปัญหาดังกล่าวจะดำเนินการภายใต้กลไกคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม (JBC) ไทย – กัมพูชา ซึ่งไทยปฏิบัติตามกฎหมายระหว่างประเทศ เเละสนธิสัญญาที่เกี่ยวข้อง และยึดถือตามแผนที่ 1 : 50,000 เป็นหลัก เนื่องจากมีความชัดเจน ถูกต้องแม่นยำ สอดคล้องกับภูมิประเทศจริง และลากเส้นตามฐานของกฎหมายระหว่างประเทศ อย่างไรก็ตาม การประชุม JBC ที่จะมีขึ้นในอนาคตจำเป็นต้องคำนึงถึงเงื่อนไขและห้วงเวลาที่เหมาะสม เนื่องจากรัฐบาลปัจจุบันเป็นรัฐบาลรักษาการ ดังนั้น จึงเป็นหน้าที่ของรัฐบาลในอนาคตที่จะพิจารณาการดำเนินการในเรื่องดังกล่าวต่อไป ซึ่งอาจมีการทบทวนบันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรกัมพูชาว่าด้วยการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนทางบก (MOU 43) จึงต้องคำนึงถึงเงื่อนไขในอนาคตด้วย

7. สุดท้ายนี้ ยืนยันว่าประเทศไทยจะดำรงการปฏิบัติตามแถลงการณ์ร่วมฯ ตราบเท่าที่กัมพูชาจะดำเนินการตามแถลงการณ์ร่วมฯ ดังกล่าวเช่นเดียวกัน ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่ทหารจะดำรงความพร้อมที่จะปกป้องอธิปไตย บูรณภาพแห่งดินแดน ความมั่นคงและผลประโยชน์ของชาติ ตลอดจนความปลอดภัยสูงสุดของประชาชนเป็นสำคัญ


กำลังโหลดความคิดเห็น