เมืองไทย 360 องศา
ตามรายงานระบุว่า ตั้งแต่เที่ยงวันของวันที่ 30 ธันวาคม ที่ผ่านมา ถือว่าครบ 72 ชั่วโมง ที่คู่ขัดแย้งระหว่างไทย-กัมพูชา ต่างจับตามองกันว่า ทั้งสองฝ่ายมีความจริงใจสำหรับการ “หยุดยิง” ที่ลงนามกันและให้มีผลตั้งแต่เที่ยงวันที่ 27 ธันวาคม เป็นต้นมา และหากครบกำหนดดังกล่าวแล้ว หากมีแนวโน้มที่ดี ฝ่ายไทยก็จะปล่อยตัว 18 ทหารกัมพูชา ที่ถูกควบคุมตัวเอาไว้
อย่างไรก็ดี หากพิจารณาจากสถานการณ์โดยรวมที่ผ่านมาก็ต้องถือว่า “ภัยคุกคาม” จากฝั่งกัมพูชา ถือว่าลดน้อยลง แม้ว่ายังคงมีความเคลื่อนไหวทางทหารตามแนวชายแดน และพบการบินโดรนของฝ่ายกัมพูชา มากถึง 250 เที่ยว จนทำให้ฝ่ายกองทัพไทย ได้ออกคำเตือนว่าอาจจะยังไม่ปล่อยตัวทหารกัมพูชาที่ถูกควบคุมตัวเอาไว้
สำหรับท่าทีของ นายสีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ กล่าวเมื่อวันที่ 30 ธันวาคม ถึงการหารือ 3 ฝ่าย ระหว่างรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของไทย กัมพูชา และจีน ที่เมืองหยูซี มณฑลยูนนาน สาธารณรัฐประชาชนจีน โดยมีจีนเป็นเจ้าภาพ ว่าเราอยากทำให้ข้อตกลงหยุดยิงเป็นการหยุดยิงที่ยั่งยืน และนำมาสู่การสร้างความไว้เนื้อเชื่อใจระหว่างกัน
ขณะเดียวกัน ก็ต้องดูว่าความสัมพันธ์ระหว่างไทย-กัมพูชา จะเดินต่อไปอย่างไร เพราะช่วงนี้เพิ่งตกลงหยุดยิงกันจึงยังมีความเปราะบางอยู่ ดังนั้นก็ควรหลีกเลี่ยงเหตุการณ์ที่จะทำให้เกิดความเข้าใจผิด หรือ บั่นทอนการหยุดยิง อาทิ การปล่อยโดรน การใช้คำพูดยั่วยุ หรือ การออกถ้อยแถลงระดับผู้นำต่างๆ ซึ่งต้องระมัดระวัง และต้องมีการตรวจสอบข้อเท็จจริงก่อน
พร้อมยกตัวอย่างกรณีที่ นายฮุน มาเนต นายกรัฐมนตรีของกัมพูชา ออกมาพูดว่าการหยุดยิงนั้น ไม่ได้หมายความว่าฝ่ายกัมพูชาแพ้ เรื่องนี้ก็อาจทำให้เกิดความเข้าใจผิดได้ เพราะหากตั้งคำถามแบบนี้ เราก็ต้องถามกลับไปว่าใครเป็นฝ่ายขอหยุดยิง แต่ตนเองคิดว่าเราควรก้าวข้ามตรงนั้น และมาทำให้การหยุดยิงมีความยั่งยืน รวมถึงสร้างความไว้เนื้อเชื่อใจระหว่างกัน
ส่วนกรณีล่าสุด ที่มีการตรวจพบโดรนจำนวน 250 ลำ บริเวณชายแดน และทหารไทยเหยียบกับทุ่นระเบิดสังหารบุคคล ครั้งที่ 11 จะส่งผลกระทบต่อข้อตกลงหยุดยิง 72 ชั่วโมง หรือไม่ นายสีหศักดิ์ กล่าวว่า ต้องตรวจสอบข้อเท็จจริง และดูด้วยว่า เป็นทุ่นระเบิดเก่าหรือใหม่ ซึ่งประเด็นที่เราคุยกันในที่ประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป หรือ GBC คือการมี Hotline ฉะนั้นเมื่อเกิดเหตุการณ์เหล่านี้ เราต้องตรวจสอบไม่ให้เกิดความเข้าใจผิด และอีกประเด็นหนึ่งคือฝ่ายกัมพูชาเหมือนพยายามเร่งรัดให้เกิดการประชุมคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทยกัมพูชา หรือ JBC ที่เกี่ยวกับการปักปันเขตแดน จึงต้องมาดูกันต่อ เพราะผลการประชุม GBC ยังไม่เข้าสู่ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี
ขณะเดียวกันในการประชุม JBC ก็ต้องมาดูข้อกฎหมาย ว่าในช่วงรัฐบาลรักษาการจะต้องขออาณัติจากรัฐบาลหรือไม่ เพราะเป็นข้อตกลงที่ผูกพันไปถึงรัฐบาลใหม่ และการประชุม JBC จะประชุมได้ช่วงไหน พร้อมย้ำว่า มันมีขั้นตอนอยู่ ไม่ใช่จะสามารถจัดประชุมได้ทันที แต่ยืนยันว่า เราไม่ได้ประวิงเวลา เพียงแต่พื้นที่ต้องปลอดภัยก่อน เพราะเราต้องลงพื้นที่ร่วมกันเพื่อปักปันเขตแดน
นอกจากนี้ นายสีหศักดิ์ ยังกล่าวถึงความชัดเจนในการปล่อยตัว 18 เชลยศึก ของกัมพูชาว่าเป็นไปตามที่เราพูดคุยกันคือหยุดยิง 72 ชั่วโมง เพราะฉะนั้นจึงอยากย้ำว่าอยากให้เคารพการหยุดยิง และสิ่งที่พูดคุยกันไว้ ก็ต้องรักษาคำพูด
ส่วนกระทรวงการต่างประเทศจะใช้แนวทางทางการทูตอย่างไรในการพูดคุยกับฝ่ายกัมพูชา นายสีหศักดิ์ กล่าวว่า เราพูดคุยกันได้อยู่แล้ว และถือว่าตอนนี้ทางการทูตได้คุยกันแล้ว เพราะตอนนี้หากมีเหตุการณ์อะไรก็ต้องพูดคุยกัน นอกจากนี้ฝ่ายทหารก็พูดคุยกันอยู่
ส่วนประเมินฉากทัศน์หลังหยุดยิง 72 ชั่วโมงอย่างไร นายสีหศักดิ์ ระบุว่า หากไม่มีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นใน 72 ชั่วโมง เช่น ไม่เกิดเหตุการณ์ยั่วยุ หรือ เก็บกู้ทุนระเบิด เราก็เดินหน้าสร้างความไว้เนื้อเชื่อใจ
ทั้งนี้ สำหรับการปักปันเขตแดนทาง ฮุน เซน ประธานวุฒิสภากัมพูชาไม่ยอมรับเขตแดนที่ทหารไทยปักปันจะเป็นปัญหาหรือไม่ นายสีหศักดิ์ กล่าวว่า บริบทมันเปลี่ยนแปลงไปแล้ว ฉะนั้นการประชุม JBC จะมีขึ้นเมื่อใดเราก็ต้องพิจารณาตามสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป มันมีขั้นตอนของมันอยู่ และอาจจะไปถึงรัฐบาลใหม่ จึงจะประชุมกันได้ ซึ่งเรายังไม่รู้ท่าทีรัฐบาลใหม่จะเป็นอย่างไร และจะมีการทบทวน MOU 43 หรือไม่ ก็ยังไม่มีข้อยุติ
“เรามีการหยุดยิง การหยุดยิงนั้นถือว่าเพื่อให้เกิดความปลอดภัยกับประชาชน เราอยากให้ทั้งสองฝ่ายเคารพการหยุดยิง เพราะเขาก็สูญเสียพอสมควร ประชาชนของเขาก็อยากจะกลับเข้าสู่พื้นที่เดิม เพราะฉะนั้นเป็นผลประโยชน์ร่วมกัน ที่จะทำให้การหยุดยิงที่ตกลงกันไว้ เป็นการหยุดกินที่ยั่งยืนถาวร ส่วนปัญหาอื่นเราก็ควรจะพูดคุยกันได้ในฐานะเพื่อนบ้าน” นายสีหศักดิ์ กล่าว
แน่นอนว่า หากพิจารณาจากสถานการณ์ความเป็นจริงในเวลานี้ถือว่า ผลจากการ “สู้รบรอบสอง” ถือว่าฝ่าย “เขมรฮุน เซน” เสียหายอย่างหนัก โดยเฉพาะเมื่อฝ่ายกองทัพไทยสามารถยึดดินแดนกลับคืนมาได้เกือบหมด โดยเฉพาะในจุด “ยุทธศาสตร์สำคัญ” ทั้งหมดกลับคืนมาได้ ทำให้เวลานี้แรงกดดันต่างๆ กำลังย้อนกลับไปยัง “สองพ่อลูกตระกูล ฮุน”
นั่นคือ แรงกดดันจากประชาชนกัมพูชาเอง ตัวอย่างที่เห็นชัดก็คือพื้นที่ “บ้านหนองจาน” ที่พวกเขาเคยยึดครองพื้นที่แถบนี้เอาไว้นานหลายสิบปี แต่ในหลังจากการสู้รบรอบล่าสุด ทางทหารไทยยึดพื้นที่เอาไว้ได้ และหลังจากมีการหยุดยิงพวกชาวบ้านเหล่านั้น ต้องการกลับเข้าบ้าน แต่เมื่อมาถึงกลับเข้าไปไม่ได้ เนื่องจากถูกปิดกั้น ทำให้เกิดคำถามด้วยความสงสัยว่า ทำไมในพื้นที่จริงถึงเปลี่ยนไปแบบนี้ ซึ่งลักษณะแบบนี้จะเกิดขึ้นในอีกหลายพื้นที่ จากการที่ฝ่ายรัฐบาล ฮุน เซน “ปกปิดความจริง”
ที่สำคัญ ผลจากการสู้รบคราวนี้ฝ่ายกัมพูชาเสียหายอย่างหนัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับการที่ถูกทางกองทัพไทยโจมตี “กาสิโน” และ “รังสแกมเมอร์” หลายแห่ง ซึ่งถือว่าเป็น“หัวใจ” ของ “ระบอบฮุนเซน” เลยทีเดียว เพราะจะว่าไปแล้ว แหล่งอาชญากรรมข้ามชาติพวกนี้ เป็นแหล่งรายได้หล่อเลี้ยงศูนย์อำนาจในกัมพูชา ดังนั้นเมื่อถูกถล่มย่อยยับไปหลายแห่งก็ย่อมส่งผลสั่นสะเทือนอย่างหนัก
อย่าได้แปลกใจ ที่เวลานี้ฝ่ายกัมพูชาพยายามเร่งรัดให้มีการเปิดประชุมคณะกรรมการชายแดนร่วม (เจบีซี) เพื่อเจรจา ในเรื่องการการสำรวจและปักปันเขตแดน โดยเสนอให้มีการประชุมในสัปดาห์แรกของเดือนมกราคม ปีหน้า ขณะที่ฝ่ายไทยโดย นายสีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว รมว.การต่างประเทศ ได้แสดงท่าทีชัดเจนแล้วว่าการประชุมดังกล่าวต้องรอรัฐบาลใหม่ เข้ามาพิจารณา เพราะเป็นเรื่องใหญ่ที่เกี่ยวพันด้านกฎหมาย ซึ่งตอนนี้เป็นรัฐบาลรักษาการ คงไม่อาจทำข้อตกลงที่ผูกพันทางกฎหมาย ความหมายก็คือไทยต้องการ “ยื้อ” เวลาออกไป เนื่องจากเราอยู่ในภาวะที่กุมสภาพเหนือกว่า
ดังนั้น เมื่อพิจารณาตามสถานการณ์จริงเวลานี้ต้องยอมรับว่า ฝ่ายกัมพูชา โดย “สองพ่อลูกตระกูล ฮุน” น่าจะต้องเจอกับแรงกดดันที่หนักหน่วงที่สุด นอกเหนือจากผลการสู้รบที่ทำให้เสียดินแดนคืนกลับมาให้กับฝ่ายไทยมากมายแล้ว สิ่งสำคัญต่อจากนี้ไป พวกเขาต้องเจอกับภาวะเศรษฐกิจที่สาหัสจากทั้งเรื่องการปิดด่านชายแดนฝั่งไทย เรื่องกาสิโน และสแกมเมอร์ หัวใจสำคัญของรายได้ครอบครัวผู้มีอำนาจ และยังกระทบไปถึงการท่องเที่ยว นอกเหนือจากการซ้ำเติมเรื่องการว่างงานของแรงงานที่ไหลกลับบ้านอีกนับล้าน ซึ่งหลังปีใหม่น่าจะเห็นภาพชัดเจนขึ้น แม้ว่าจะพยายามปิดปากอย่างไร ก็น่าจะยาก !!


