สื่อกัมพูชารายงาน โฆษกกระทรวงโยธาธิการและการขนส่งกัมพูชาโต้แนวคิดกองทัพเรือไทยพิจารณาปิดอ่าวไทย ระบุอ่าวไทยไม่ใช่ของประเทศใดประเทศหนึ่ง พร้อมเตือนอาจละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศและกระทบเศรษฐกิจไทยเองอย่างรุนแรง
วันนี้ (15 ธ.ค.) สำนักข่าวกัมพูเจียทไมเดลีรายงานว่า โฆษกกระทรวงโยธาธิการและการขนส่งของกัมพูชาแสดงความเห็นต่อกรณีที่กองทัพเรือไทยกำลังพิจารณามาตรการปิดอ่าวไทย เพื่อสกัดกั้นการลำเลียงน้ำมันและสินค้ายุทธศาสตร์เข้าสู่กัมพูชา โดยย้ำว่ากัมพูชามีเส้นทางออกสู่ทะเลหลายช่องทาง และไม่สามารถถูกปิดล้อมได้โดยง่าย โดยรายงานระบุว่า กองทัพเรือไทยกำลังพิจารณากำหนดพื้นที่ทางทะเลใกล้ท่าเรือกัมพูชาให้เป็น “พื้นที่เสี่ยงสูง”
อย่างไรก็ตาม กัมพูเจียทไมเดลีชี้ว่า อ่าวไทยไม่ได้เป็นกรรมสิทธิ์ของประเทศไทยฝ่ายเดียว แต่เป็นน่านน้ำที่มีประเทศรายล้อม 4 ประเทศ ได้แก่ ไทย กัมพูชา เวียดนาม และมาเลเซีย ดังนั้นไทยจึงไม่มีสิทธิจำกัดการเดินเรือหรือปิดน่านน้ำทั้งหมดที่อยู่นอกเหนือจากน่านน้ำอาณาเขตของตน ซึ่งมีระยะ 22 กิโลเมตรจากชายฝั่ง
สื่อกัมพูชายังเตือนว่า การปิดอ่าวไทยอาจส่งผลกระทบด้านมนุษยธรรม เนื่องจากเป็นการขัดขวางการขนส่งอาหาร ยารักษาโรค และสิ่งของจำเป็นสำหรับพลเรือน ซึ่งอาจเข้าข่ายละเมิดกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ รวมถึงอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยกฎหมายทางทะเล (UNCLOS) ที่รับรองเสรีภาพในการเดินเรือในน่านน้ำสากลและเขตเศรษฐกิจจำเพาะ (EEZ)
นอกจากนี้ หากไทยดำเนินการปิดอ่าวไทยจริง รายงานประเมินว่าไทยเองจะได้รับความเสียหายทางเศรษฐกิจอย่างมีนัยสำคัญ ทั้งจากการรบกวนเส้นทางการค้าของตนเอง ต้นทุนโลจิสติกส์ที่เพิ่มสูงขึ้น ปัญหาการส่งออกสินค้าไปยังกัมพูชา รวมถึงความเสี่ยงจากกระแสคว่ำบาตรสินค้าไทยในกัมพูชา และการแข่งขันจากประเทศคู่แข่งรายอื่น
อย่างไรก็ตาม กัมพูเจียทไมเดลียังระบุว่า ชายฝั่งทะเลด้านตะวันออกของไทยที่ติดกับกัมพูชาจะได้รับผลกระทบโดยตรงต่อภาคการท่องเที่ยวและบริการ ขณะที่การเดินทางระหว่างสองประเทศที่ลดลง จะซ้ำเติมธุรกิจขนาดเล็กซึ่งเป็นฐานเศรษฐกิจสำคัญของประชาชนในพื้นที่ชายแดน
รายงานยังชี้ถึงกรณีที่กองทัพเรือไทยขอให้ชาวประมงไทยระงับการทำประมงในน่านน้ำ 4 พื้นที่ของจังหวัดตราด ว่าเป็นสัญญาณสะท้อนผลกระทบที่เริ่มขยายตัวสู่ภาคการประมง และหากมีการปิดอ่าวไทยจริง จะถูกมองว่าเป็นการยกระดับความตึงเครียดของข้อพิพาทชายแดน ซึ่งอาจบั่นทอนความเชื่อมั่นของนักลงทุนในประเทศไทย และนำไปสู่การชะลอหรือยกเลิกโครงการพัฒนาเอกชน โดยเฉพาะในพื้นที่เศรษฐกิจภาคตะวันออกและพื้นที่ติดชายแดนกัมพูชา


