ศ.ดร.สุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ หัวหน้าพรรคไทยก้าวใหม่ นำทัพรองหัวหน้าพรรคฯ ประกาศนโยบายพลิกโฉมการศึกษาไทย ขับเคลื่อนยุคการเมืองใหม่ใช้องค์ความรู้บริหารประเทศ พร้อมเปิดตัวผู้ประสงค์ลงสมัคร ส.ส. ระดมคนรุ่นใหม่เดินหน้าร่วมการเปลี่ยนแปลงประเทศไทย
วันนี้ (3 ธันวาคม 2568) ศ.ดร.สุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ หัวหน้าพรรคไทยก้าวใหม่ กล่าวว่า สถานการณ์ประเทศไทยที่ผ่านมาประสบวิกฤตความเป็นผู้นำของผู้บริหารประเทศทั้งระดับท้องถิ่นและระดับประเทศ พรรคไทยก้าวใหม่จึงมองทางออกด้วยการบริหารประเทศด้วยการใช้องค์ความรู้และวิชาการ มุ่งทำการเมืองเชิงสร้างสรรค์ พร้อมทำงานกับทุกคนทุกฝ่าย ให้ประเทศไทยดีขึ้น ให้คนไทยพ้นจากความยากจน
ล่าสุดเปิดตัวผู้ร่วมอุดมการณ์ของพรรคที่ประสงค์ลงสมัคร ส.ส.และมีอุดมการณ์เดินไปร่วมกัน ครอบคลุมตั้งแต่ระดับนักวิชาการรางวัลงานวิจัยระดับโลก นักการศึกษา ผู้ประกอบการสตาร์ทอัพ นักเคลื่อนไหวระดับประชาชนในพื้นที่ นักกฎหมาย นักพัฒนาระดับท้องถิ่น นักพัฒนาภาคองค์การบริหารระดับท้องถิ่น และข้าราชการตงฉิน เป็นต้น ด้วยความเชื่อมั่นว่าคนเหล่านี้จะส่งพลังออกไปถึงคนไทยทุกคนว่าไม่ใช่การมาเล่นการเมือง แต่มาทำการเมืองเพื่อสร้างความเปลี่ยนแปลงอย่างแท้จริง
“วันนี้ประเทศไทยรอไม่ได้จริงๆ ถึงเวลาที่ทุกคนต้องเลือกคนที่จะเป็นตัวแทนเข้าไปเป็น ส.ส. เพราะผมเองก็เลือกคนที่จะมาสมัครเป็น ส.ส.ในนามพรรคเราแล้ว และผมขอสร้างความมั่นใจว่าผมพร้อมสำหรับการเป็นนายกรัฐมนตรี” ศ.ดร.สุชัชวีร์กล่าว
ประกาศนโยบายพลิกโฉมการศึกษาประเทศไทย
ทั้งนี้ จากสถานการณ์ปัญหาต่างๆ ที่ประเทศไทยเผชิญอยู่ ทั้งเศรษฐกิจ สังคม ปัญหาภัยพิบัติ ปัญหาอาชญากรรมจากทุนเทา กำลังสะท้อนว่าถ้าวันนี้การบริหารประเทศไทยไม่เปลี่ยนโครงสร้างทั้งด้านกายภาพ ด้านการบริหาร รวมถึงโครงสร้างทางความคิด จะเป็นปัจจัยลบที่ผลักประเทศไทยกลับไปสู่การเป็นประเทศที่ยากจน ดังนั้น ทางออกของประเทศและทางรอดของประเทศ ที่มีตัวอย่างจากหลายประเทศเอาชนะข้อจำกัดไปสู่การเป็นประเทศที่มีความก้าวหน้าทั้งทางเศรษฐกิจ สังคม และนวัตกรรม ก็คือ การบริหารประเทศด้วยความรู้ ปัญญา ขับเคลื่อนประเทศด้วยองค์ความรู้ ซึ่งปัจจุบันสิ่งนี้คือ “จุดตาย” ของประเทศไทย
“ภัยที่น่ากลัวสุด คือปัญญาภัย จากความไม่รู้ ไม่มีปัญญา ปัจจุบันเด็กไทยจำนวนมากเข้าไม่ถึงการศึกษา สภาพแวดล้อมไม่เอื้อต่อโอกาสทางการศึกษา และคุณภาพชีวิต ดังนั้นพรรคไทยก้าวใหม่จึงชูธงนำว่า การศึกษาคือยาแก้จน คือจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงประเทศ และเป็นปัจจัยสำคัญที่ชี้ขาดความสำเร็จของประเทศ
นายวราวิช กำภู ณ อยุธยา รองหัวหน้าพรรคไทยก้าวใหม่ กล่าวว่า พรรคฯ กำลังจะสร้างความเปลี่ยนแปลงจากนโยบายสู่การปฏิบัติได้จริง สำหรับนโยบายพลิกโฉมการศึกษาประเทศไทยฉบับพรรคไทยก้าวใหม่ และลบล้างประโยคที่ได้ยินมาตลอดช่วง 2 เดือนที่ว่า
“นโยบายการศึกษา ขายไม่ได้” และมั่นใจว่าการศึกษาแบบพรรคไทยก้าวใหม่ ขายได้แน่นอน
“วันนี้ รัฐบาลแก้ปัญหาอย่างผิดวิธี เน้นผลประโยชน์ระยะสั้นเพื่อให้ได้คะแนนนิยม นโยบายแจกแลกเสียงโหวต ไม่ได้มองถึงการลงทุน หรือใช้จ่ายงบประมาณเพื่อการสร้างคน ที่เป็นทางรอดเดียวของประเทศไทย เพราะคน คือต้นน้ำทางเศรษฐกิจ” นายวราวิชกล่าว
ลงทุนสร้างคน ทางรอดทางเดียวของประเทศไทย
นายวราวิชกล่าวว่า เราเชื่อว่าประเทศกำลังเดินผิดทาง รัฐบาลที่ผ่านมาแก้ปัญหาประเทศอย่างผิดวิธี โดยเน้นผลประโยชน์ระยะสั้น เป็นการซื้อเวลาแบบไม่สร้างความสามารถในการแข่งขันระยะยาว เล่นง่ายแต่ทำลายอนาคต ดังนั้น นโยบายการศึกษาสำคัญที่จะผลักดัน ก็คือ ติดอาวุธคนตัวเล็ก ด้วยความรู้และเทคโนโลยี โดยมองคนไทยออกเป็น 2 กลุ่ม คือกลุ่มคนปัจจุบันที่อยู่นอกระบบการศึกษา และกลุ่มคนอนาคตซึ่งอยู่ในระบบการศึกษา สำหรับกลุ่มคนอนาคตคือคนตัวเล็ก กลุ่มเกษตรกร SME และกลุ่มมนุษย์เงินเดือน พรรคไทยก้าวใหม่มีนโยบาย เกษตรกรยุคใหม่ พลิกชีวิตด้วยทักษะ เลิกจน พลิกชีวิต SME รายย่อย และ สกิลปัง กระเป๋าตุง จะใช้งบประมาณการลงทุนสร้างคนในกลุ่มนี้ 21,500 ล้านบาท จะช่วยคนไทยได้ 900,000 คน ให้มีรายได้เพิ่มขึ้นและมีเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจ 2544,000 ล้านบาทต่อปี คิดเป็น 1.35% ของ GDP
“สิ่งที่แตกต่างคือเราไม่แจกเงินซึ่งนับเป็นค่าใช้จ่าย ใช้แล้วหมดไป แต่เราลงทุนสร้างคน ซึ่งเงินลงทุนทำให้เกิดผลเป็นรายได้ของประชาชนโดยตรงแบบทวีคูณ”
นอกจากนี้ จะมีนโยบายรื้อโครงสร้างการศึกษาทั้งระบบ เนื่องจากเป็นต้นตอปัญหาหลักของระบบการศึกษาในปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็น 1. ความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา 2. เด็กไทยทุกคนจะต้องมีทักษะในการดำรงชีวิตในอนาคต เพราะความเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีที่รวดเร็วในปัจจุบันทำให้ความรู้เก่าเร็วขึ้น ต้องปลูกฝังทักษะอนาคตอยู่ในระบบการเรียนการสอน และ 3. ระบบการศึกษาสร้างคนไม่ตรงกับความต้องการของตลาด เป็นการสอนตามใจผู้สอน ซึ่งในความเป็นจริงแล้วสถาบันอาชีวะศึกษา และอุดมศึกษาจะต้องสอนตามความต้องการของตลาด (Demand Driven) เล็งรื้อระบบการศึกษา 5 ด้าน
ทั้งนี้ พรรคไทยก้าวใหม่จึงมีนโยบายรื้อระบบการศึกษา 5 ข้อ เพื่อนำไปสู่เป้าหมายการสร้างคน เพื่อสร้างทางรอดประเทศไทย ได้แก่
1. Digital Transformation จะทำแพลตฟอร์มการศึกษาระดับชาติ เป็น Big Data รวมทุกระดับการศึกษา ข้อมูลที่มีต้องเชื่อมโยงกันแบบเรียลไทม์ และบูรณาการกัน เพราะวันนี้ความรู้เก่าเร็วขึ้น และตั้งเป้าหมายเพิ่มจำนวนครูทั่วประเทศจาก 4 แสนคน เป็น 8 แสนคน โดยไม่ต้องเพิ่มงบและการจ้างงาน เพราะใช้ AI Agent ครูทุกคนจะมีผู้ช่วย เป็น AI
2. Re-engineering การบริหารทั้งหมด ต้องกระจายอำนาจสู่ระดับภูมิภาค ผู้อำนวยเขตการศึกษาทั่วประเทศทำงานประจำวัน ส่วนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ทำหน้าที่คิดแผนอนาคต 5 ปีข้างหน้า ยกเลิกภารกิจครูที่ไม่เกี่ยวกับการสอน ยกเลิกระเบียบที่เป็นอุปสรรค และงบประมาณต้องมาจากการนำเสนอของโรงเรียน จากเขตพื้นที่การศึกษา
3. Re-design ลดขั้นตอนการใช้วิธีการใหม่ๆ พัฒนาความรู้และทักษะใหม่ให้กับผู้เรียน โดยไม่ต้องแก้ไขกฎระเบียบเดิม จะให้มีการสอน AI ตั้งแต่ชั้น ป.1 และส่งเสริมการสร้างอาชีวะเฉพาะทางรองรับเศรษฐกิจยุคใหม่ โดยเปิดเป็นคอร์สสั้นๆ ได้
4. Upskill Reskill สำหรับผู้บริหารการศึกษาทุกระดับต้องได้รับการพัฒนาเฉพาะบุคคล รวมทั้งครูอาชีวะ รับความเปลี่ยนแปลงให้ก้าวทันความรู้ใหม่ๆ
5. ลดความเหลื่อมล้ำ วิธีการสำคัญคือ การสร้างให้เกิดโรงเรียนดีใกล้บ้าน โรงเรียนขนาดเล็กใกล้บ้านสามารถมีคุณภาพไม่แตกต่างจากโรงเรียนประจำจังหวัด หรือโรงเรียนใหญ่ในกรุงเทพ ซึ่งจะเป็นกลไกสำคัญที่แก้ไขปัญหาเด็กไทยหลุดออกจากระบบการศึกษามากกว่า 1 ล้านคนที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน
“อีกนโยบายที่จะขับเคลื่อนไปกับการพลิกโฉมการศึกษาของเรา ก็คือ เลิกทน เลิกจน ลงทุนสร้างคน ไทยก้าวใหม่ ให้เรียนฟรีถึงปริญญาตรี ผู้เรียนจะไม่มีหนี้ ปรับหลักสูตรส่วนใหญ่เหลือ 3 ปี เพื่อเรียนจบเร็วขึ้น ได้งานเร็วขึ้น เพราะอนาคตต้องมีการไป upskill-reskill อย่างต่อเนื่องอยู่แล้ว และย้ำว่าทุกนโยบายสู่การปฏิบัติ ทำได้จริง เห็นผลจริง” นายวราวิชกล่าว
รายชื่อผู้ประสงค์สมัคร ส.ส.ทั่วประเทศ
1.ว่าที่ ร.อ.พรเนตร ศรีทอง จ.กาญจนบุรี
2.อำนาจ ทัดสวน จ.กาญจนบุรี
3.ปกาศิต วิเศษแก้ว จ.ขอนแก่น
4.ระพีพร ชำนาญเวช จ.จันทบุรี
5.พชรดนัย ใจเที่ยง จ.จันทบุรี
6.ดิเรก ผาสุกมูล จ.ชัยภูมิ
7.ธีรวุฒิ พงษ์จันทร์ จ.ชัยภูมิ
8.ประเสริฐศักดิ์ ขำหินตั้ง จ.ชัยภูมิ
9.เทพบัญชา ทุมโยมา จ.บึงกาฬ
10.ดร.ทรงพล บุญสวัสดิ์ จ.ปทุมธานี
11.พ.ต.อ.เอกราช หุ่นงาม จ.ประจวบคีรีขันธ์
12.สธานนท์ ใยบำรุง จ.ประจวบคีรีขันธ์
13.ดร.ประภาส เนื่องแก้ว จ.มหาสารคาม
14.พันเอก (พิเศษ) สมเพชร ปาปะโข จ.มหาสารคาม
15.สุปรีชา พุทธคุณ จ.ยโสธร
16.อภิรักษ์ชัยชนะ ปันยารชุน จ.ราชบุรี
17.ดนิตา มาบุญธรรม จ.ร้อยเอ็ด
18.เกียรติศักดิ์ สุดแดน จ.สระแก้ว
19.อภิวัฒน์ จันแปรน จ.สระแก้ว
20.นงรัตน์ จันทะมา จ.สระแก้ว
21.ชาญ สุคนธ์ จ.สระแก้ว
22.รักษา สุนินทบูรณ์ จ.สุรินทร์


