นายปฏิพล อภิญญาณกุล นักเขียนชื่อดัง ได้ออกมาโพสต์ข้อความเปรียบเทียบผลงานการบริหารจัดการด้านราคาข้าวของรัฐบาลชุดปัจจุบันกับรัฐบาลชุดก่อนหน้าอย่างดุเดือด หลังจากการเดินหน้าเจรจาขายข้าวของ นางศุภจี สุธรรมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ส่งผลให้ราคาข้าวเปลือกหอมมะลิพุ่งสูงถึง 16,500 บาทต่อตัน
จากกรณี นางศุภจี สุธรรมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เดินหน้าเจรจาขายจ้าวให้กับหลายประเทศ ไม่ว่าจะเป็นประเทศจีน ปริมาณ 5 แสนตัน สิงคโปร์ 100,000 ตัน และเตรียมรุก ขายซาอุต่อทันที ส่งผลให้หอมมะลิแตะ 16,500 บาท ตรงข้ามกับรัฐบาลยุคก่อนที่แนะนำให้คนไทยบริโภคข้ามเพิ่มขึ้นแทนที่จะหาตลาดใหม่
อย่างไรก็ตาม เมื่อวันที่ 23 พ.ย. นายปฏิพล อภิญญาณกุล นักเขียนชื่อดัง ได้ออกมาโพสต์ข้อความเปรียบเทียบผลงานการบริหารจัดการด้านราคาข้าวของรัฐบาลปัจจุบันภายใต้การนำของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ศุภจี สุธรรมพันธุ์ กับรัฐบาลชุดก่อนหน้า พร้อมทั้งโต้แย้งความเห็นที่ว่าความสำเร็จเป็นผลงานจากรัฐบาลเดิม โดยเจ้าตัวได้ระบุข้อความว่า
"หลายวันก่อน ตอนเขียนเรื่อง รมว.ศุภจี ไปขายข้าวที่สิงคโปร์ จะมีพลพรรคเพื่อไทยหรือเพื่อส้ม ก็ไม่รู้ ออกมาหัวเราะต่อว่า ว่า ศุภจีจะเก่งอะไรกัน รัฐบาลก่อนเจรจาเอาไว้แล้วต่างหาก
"ติ่งขี้อิจฉา" เหล่านั้นไม่เคยขายของ
คนที่นำเอาสินค้าเพื่อไปเสนอสินค้าตามที่ต่าง ๆ แต่ใช่ว่าลูกค้าจะตอบรับทุกคน ลูกค้ายิ้มให้ ไม่ใช่หมายถึงลูกค้าตอบรับ ลูกค้ารับโบวชัวร์หรือเอกสารเงื่อนไขไว้ ก็ไม่ใช่ว่าลูกค้าตอบรับ เหตุผลที่ลูกค้าไม่ตอบรับมีมากมาย . หลัก ๆ คือ ไม่ชอบขี้หน้าเซลล์ขายของ คนนั้น
เมื่อเซลล์คนเก่าแค่เสนอขาย แต่ยังปิดจ๊อบไม่ได้ . เซลล์คนต่อมาปิดดีลได้ ควรต้องนับเป็นความสามารถของเซลล์คนใหม่ จะไปตีขลุมว่า คนก่อนมาเสนอขายไว้ ต้องเป็นผลงานของคนเก่า มันก็ไม่ถูก ต้องดูบริบทอื่น ๆ ประกอบ
ถ้าผู้ซื้อไม่ชอบขี้หน้าเอ็ง เขาก็ดึงเรื่องไว้ก่อน . พอมีคนใหม่ที่คุยแล้วมีความรู้สึกดีต่อกัน จึงค่อยเซ็นสัญญาตกลง เดี๋ยวจะเปรียบเทียบชี้ให้เห็นรายรับจากการขายในตอนท้าย .. ว่าใครที่ขายเป็น เพื่อให้ประจักษ์
ตอนนี้มาดูผลงานของ รมว.ศุภจี กันก่อน รายงานข่าวบอกว่า ข้าวเปลือกหอมมะลิ พุ่งขึ้นถึง 16,500 บ. (จากราคาข้าวที่ตกต่ำ มานานมาก) ที่จริงก่อนไปสิงคโปร์ ราคาข้าวเปลือกยังต่ำมาก .. พอปิดดีล 100,000 ตันของสิงคโปร์ ราคาข้าวก็ยังไม่ขยับนัก ต่อเมื่อในหลวงไทยเสด็จไปเยือนจีน จีนประกาศซื้อข้าวไทย 500,000 ตัน ในตอนนั้นราคาข้าวเปลือกไทยขยับสูงขึ้นมาเป็น 13,000 บาท ต่อตัน
ขณะที่นายกฯอนุทินไปจีนในฐานะฐานะรัฐมนตรีเกียรติยศ . ด้านคุณศุภจี ก็เดินสายเป็น "เซลล์แมน" พบทูตอินเดีย เพื่อร่วมกันเป็นหุ้นส่วนทางการค้า , หารือกับทูตรัสเซีย ขายสินค้าเกษตรและสินค้าแปรรูป , บินไปสหรัฐ ทะลุใจกลางประเทศที่ชอบขึ้นภาษีทั่วโลก เพื่อนำเสนออาหารไทย และในต้นเดือนธันวาคม วางแผนจะไปซาอุดิอาระเบีย เพื่อขายข้าว , ตามด้วยแอฟริกา
ทั้งหมด จึงส่งผลทำให้ราคาข้าวเปลือกพุ่งสูงขึ้นถึง 16,500 บาทต่อตัน - ณ ราคาในปัจจุบัน รัฐบาลเสียงข้างน้อย ในภาวะจำยอมด้วยข้อจำกัดเวลา . / ทำงานมาตั้งแต่ 19 กย. จนวันนี้ ก็ประมาณ 2 เดือนกับอีก 3 วัน
2 เดือน 3 วัน .. ทำให้ราคาข้าวที่เคยตกต่ำติดต่อกันมาตั้งแต่รัฐบาลที่แล้ว ฟื้นตัวขึ้น ..
เอาละ ที่ได้เกริ่นไว้ในตอนต้น ที่มีพวกติ่งบางพรรคบอกว่า เป็นผลงานของรัฐบาลที่แล้ว ใช่หรือ จริงหรือ .. อย่างไร ?
จะเทียบเคียงกับรัฐบาลที่แล้วของแพทองธาร ให้ดูกัน รัฐบาลแพทองธาร สืบต่อจากรัฐบาลเศรษฐา ก็พรรคเดียวกัน รัฐมนตรีเดียวกันนั้นแหละ .
แพทองธาร เข้ามาเมื่อ 16 สิงหาคม 2567 ราคาข้าวเปลือกในวันที่ 30 เดือนสิงหาคม 67 อยู่ที่ 11,000 - 14,000 บาท ต่อตัน รัฐบาลแพทองธารทำงานจากสิงหาคม ถึงกุมภาพันธ์ = 6 เดือน
ราคาข้าวเปลือกในวันที่ 17 ก.พ. 68 อยู่ที่ราคา 8,200 - 8,600 บาท ต่อตัน
จากสิงหาคม ถึงกุมภาพันธ์
ลดฮวบฮาบลงมาถึง 5,000 - 6,000 บาท ต่อตัน
เทียบกับระยะเวลาของรัฐบาลอนุทิน เข้ามาทำงาน 19 ก.ย. 2568 . ทำจนถึงวันนี้ 23 พ.ย. ระยะเวลาทำงานคือ 2 เดือน กับ 3 วัน / ซึ่งเป็นฤดูกาลเดียวกันกับข้าวปีที่แล้ว ที่แพทองธารเป็นรัฐบาล
ราคาข้าวเปลือกสูงเป็น 16,500 บาทต่อตัน แนวโน้มต่อไป ถ้าเทียบไปถึงกุมภาพันธ์ปีหน้า เท่ากับช่วงระยะเวลาเดียวกัน รับรองไม่ตกลงมาเหลือแค่ 8,200 - 8,600 อย่างแน่นอน
ประเทศไทย ประชาชนพื้นฐานส่วนใหญ่คือเกษตรกรรม เรามีสินค้าเกษตรมากมาย เราคือต้นทางของอาหารโลก เราต้องการคนขายของเป็น"


